เหตุการณ์ ฉาก ตัวละคร ในเรื่องนี้ เป็นเรื่องสมมุติ เท่านั้น
หากไป พ้องรูป พ้องเสียง กับบุคคลใด และ/หรือ สถานที่ใด
ผู้เขียนขออภัย ไม่ตั้งใจ แต่ประการใด




โต๊ะ ตัวหนึ่ง.....วันนั้น และวันนี้...ที่เหมือนเดิม
===============
6 เมษายน 2557
เป็นเช้าวันอาทิตย์ ผมอกจากบ้านไปตั้งแต่เช้า มุ่งหน้าสู่เขตกองทัพอากาศ เช้านี้ท้องฟ้าแถวเขตดอนเมืองแจ่มใส หากพอตะวันขึ้นสูงฟ้าเริ่มหม่นมัวและค่อนข้างร้อน ให้ความรู้สึกอ้างว้างน่าใจหายชนิดหนึ่ง
วันนี้เป็นวันที่ทุกโรงเรียนมีการคัดเลือกเด็กระดับชั้น ม.1 มาเข้าเรียน ชั้นมัธยมปีที่ 1 โดยการจับฉลาก (ซึ่งผมไม่เคยเห็นด้วยเลย กับวิธีการแบบนี้ เพราะมันเหมือนสอนเด็ก ให้รู้จักการเสี่ยงดวง เล่นการพนัน ตั้งแต่เด็ก ซึ่งโรงเรียนที่ผมสอนมีทางเลือกคือ เด็กมีสิทธิ์จับฉลากได้.... 150 คน ไม่ได้อีก 42 คน)
เวลา 10.30น. เริ่มมีการจับฉลาก ความจริงผมเป็นกรรมการคนหนึ่งในการจับฉลาก แต่ผมอ่อนไหวมากเกินไป ไม่อยากเห็นภาพสะเทือนใจ เลยขอตัวเลี่ยงออกมาจากห้องประชุม เพราะทนรับไม่ได้กับผู้ปกครองและนักเรียนที่เดินลงมาจากหอประชุม ด้วยภาพลักษณ์ต่างกัน
“ทำไมจับไม่ได้..” พ่อแม่บางคนดุด่าว่าลูกตัวเอง ที่จับฉลากไม่ได้..โดยไม่นึกเลยว่า เด็กก็อยากจับฉลากได้เหมือนกัน แต่เมื่อจับไม่ได้ จะให้ทำอย่างไร
แต่มีบางคู่ที่เห็นแล้วสะเทือนใจ
คุณแม่น้ำตาไหลอย่างปิดกั้นไม่ได้ เพราะโรงเรียนที่ผมสอน มีเด็กสมัครเข้าเรียน ม.1 จำนวนมากเกือบเป็นที่ 1 ของประเทศก็ว่าได้ (ถ้าจำไม่ผิด แต่คงคลาดเคลื่อนไม่มากนัก) ลูกสาววัยน่ารักจูงมือแม่ เดินลงมาจากหอประชุม และพูดปลอบใจแม่ว่า
“แม่คะ...ไม่เป็นไร หนูเรียนที่อื่นได้ แม่อย่าเสียใจนะคะ”
อะไรกันนี่...ผมเห็นแล้วคิดในใจ โลกมันตาลปัตรถึงเพียงนี้เชียวหรือ ตามหลักสากลคุณแม่ต้องปลอบใจลูกไมใช่หรือ ผมมองเห็นความเข้มแข็งชองเด็กคนนั้น ทำไมไม่มีโอกาสมาเรียนกับเรานะ
ผมขอตัวหนีออกมาจากงาน หลังจากทำหนังสือแลกเปลี่ยนเวรช่วงสงกรานต์ เพราะมีโครงการจะกลับบ้านนอก กลับมาบ้านอาบน้ำเปลี่ยนชุดลำลองในช่วงบ่าย และใช้เวลากับการอ่านนิยายในถนนนักเขียน ทั้งที่อยากไปงานหนังสือ แต่ดูเวลาแล้วไม่ทัน
เจอนักเรียนมาทำงานที่อาคาร 7 มาทักทาย รู้สึกดีมากๆ แต่กลับบ้านดีกว่า
จนช่วงเย็น เริ่มหิว ..พอหิวเริ่มนึกถึงสโมสร แต่วันนี้เป็นวันอาทิตย์ สโมสรปิด ได้แต่นึกเสียดาย ที่ไม่ได้พูดคุยกับน้องเด็กเสิร์ฟ น้องจิ๊บ น้องเมย์ น้องกบ น้องอุ๊ น้องอิ๋ว และ..และ...อื่นๆ.. ที่สโมสร ซึ่งพวกเราเหมือนพี่เหมือนน้องกัน ไม่เคยไกลมากกว่าฝัน และไม่เคยมากกว่านั้น ต่างฝ่ายรักษาระยะที่เหมาะสมเสมอ ส่วนใหญ่น้องๆ พวกนี้จะคุ้นเคยรักใคร่กับผมดี เพราะผมสุภาพ ปฏิบัติตนพูดจาให้เกียรติพวกเธอเสมอ ไม่เคยดุด่าเวลาไม่พอใจเหมือนลูกค้าบางคน
ตะวันบ่ายคล้อย นั่งเขียนนิยายไป ฟังเพลงชุดสุดโปรด A Hard Day's Night ของวงโปรดตลอดกาล The Beatles (ไม่รู้นะ..ผมชอบผลงานช่วงแรกๆ ของวงนี้ เช่น Please Please Me ,(1963)With the Beatles (1963) เป็นงานที่อยู่นอกเหนือกาลเวลา ฟังเมื่อไรก็เพราะเมื่อนั้น ฟังเป็นร้อยๆ รอบก็ไม่เบื่อ....ไม่เคยล้าสมัยแม้ทุกวันนี้)
จู่ๆ ก็อยากไปปากซอย
ราวกับว่ามีอะไรเรียกร้อง (คิดไปเองเปล่านี่)
หลังไมค์ก็ไม่มี....เป็นช่วงแห่งความเงียบเหงาและอ้างว้างเดียวดาย สายลมยามเย็นพัดพาความทรงจำเก่าๆ มากับสายลมชวนให้หดหู่หม่นเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
เศร้าเหงา อ้างว้าง...........โดยไร้เหตุผล
กว่าจะรู้ตัว...เท้าก้าวออกจากจากบ้านแบบไม่ตั้งใจ ผ่านผู้คนมากมาย ต่างเดินไปตามจุดมุ่งหมายของตัวเอง ทุกข์สุขอย่างไรเป็นไปตามกรรมใครกรรมมัน
ข้ามถนนโดยที่ไม่ชนรถใครให้เสียหาย มายังร้านเดิมๆ ที่คุ้นเคยมานาน
มองดูรอบๆ ร้านคุ้ยเคยยังเหมือนเดิม อยู่ข้างถนน คนขาย-เจ้าของสามีภรรยาคู่เดิม ทีวีโบราณเก่าแก่ยังคงแขวนอยู่ที่เดิม ทั้งที่ร้านอื่นเปลี่ยนเป็นจอแบนไปหมดแล้ว
นั่งลง โต๊ะเก้าอี้ชุดเดิม ที่คุ้นเคย....คุ้นเคยมานานแล้ว
จำได้ว่าหลายปีมาแล้ว นั่งมองลูกสาวเจ้าของร้าน ตั้งแต่สมัยเรียน ม.ปลาย จนเรียนจบมหาวิทยาลัย จนทุกวันนี้มีเธองานทำ ได้เพียงแอบมอง โดยที่ไม่แทบไม่คุยกันเลย
มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ บางทีผมอาจเป็นคนพูดน้อย สุภาพ และขี้อาย
มองหลายปี
นั่งทานข้าวตรงกันข้ามกันหลายปี
แต่แทบไม่เคยคุยกัน
ปีละคำ ยังแทบไม่ได้ เรื่องแบบนี้มีจริง
ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน มีเพียงสื่อสายตา....
บางครั้ง โต๊ะว่างหลายโต๊ะ แต่เธอกลับมาที่ร้านช่วงเย็น หิวข้าว เธอเดินถือจานข้าวมานั่งกินโต๊ะเดียวกับผม ตรงกันข้าม แต่ผมยังไม่กล้าคุยกับเธอ เพราะไม่รู้จะคุยอะไร ต่างคนต่างปากหนัก ผมรู้ว่าเธอมองผมอยู่ แต่ผมแกล้งเป็นไม่เห็น ไม่รู้เพราะอะไร
แต่ที่รู้ คือผมมีความสุขที่ได้นั่งทานเบียร์เย็นๆ ไป และรู้สึกว่าเธอวนเวียนอยู่ใกล้ตัว มีความสุขเมื่อเธอมองมา แล้วผมรีบหลบตาอย่างมีชั้นเชิง มีความสุขเมื่อผมมองเธอ แล้วเธอแกล้งหลบตามองไปทีอื่น
ความสุขถูกวางบรรทัดฐานไว้ตรงนี้เอง ต่างคนต่างไม่ยอมขยับเข้าใกล้มากเกินไป บางครั้งการรักษาระยะห่างไว้ไม่ให้ใกล้เกินไป ก็เพื่อจะคบกันทางตาและใจได้นานๆ
ถ้าไม่คิดเข้าข้างตัวเอง ผมคิดว่าเธอชอบผม เหมือนที่ผมชอบเธอ เราทั้งสองสื่อกันทางสายตามานานหลายปี
มีปีหนึ่งที่เธอพูดกับผมหลายคำ ยังจำไม่เคยลืม
วันนั้นผมนั่งโต๊ะนอกร้าน ช่วงเย็นฝนเริ่มตกพรำๆ โต๊ะอื่นๆ พากันย้ายเข้าไปในร้าน หากผมมองฟ้าแล้วประเมินว่า คงไม่ตกหนัก เลยนั่งตากฝนอยู่อย่างนั้น คงเป็นเพราะความขี้เกียจย้ายด้วย ไม่สนใจคำขอเจ้าของร้านที่บอกให้ย้ายที่
จู่ๆ เธอเดินมาหา พดด้วยเสียงขอร้องกึ่งบังคับ
“ย้ายเข้าไปข้างในเถอะค่ะ ฝนตกแล้ว”
ผมตกตะลึง เพราะไม่คิดว่าเธอจะมาพูดกับผมแบบนี้ แต่พอมองลึกเข้าไปในสายตาคู่นั้น(ที่สบตากันมานานหลายปี) ผมเห็นแววห่วงไยอยู่ในสายตาคู่นั้นอย่างชัดเจน ฝนตก เดี๋ยวไม่สบายนะ...
“แต่.....”
ผมพูดยังไม่จบ เธอก็ยกจานอาหารของผมเข้าไปในร้านเฉย เหมือนยกหัวใจผมไปด้วย
นั่นเป็นครั้งเดียวที่เราพูดกันมากที่สุด
สิ่งที่ผมชื่นชมคือ เธอทำตัวดีมาก เลิกเรียนมาก็มาช่วยงานที่ร้านพ่อแม่ ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเหมือนวัยรุ่นบางคน ช่วยงานจนปิดร้านทุกคืน
ผมเรียนรู้แล้วว่า ความรักที่บริสุทธิ์คืออะไร ไม่ต้องครอบครองเป็นเจ้าของ มีความสุขที่ได้รัก ความจริงแล้วเส้นทางที่ผมขับรถกลับบ้าน มีร้านหลายร้านที่ขายบริการ มีเงินในกระเป๋าไม่ถึงสองพันก็มากพอที่จะหิ้วน้องๆ ออกมาไปคุยกันได้แล้ว อันนี้เรื่องจริง
แต่ผมไม่เคย ...ผมพอใจมานั่งมองใครบางคนเงียบๆ มากกว่า ผมแยกแยะระหว่างความรัก และความใคร่ ออกจากกันได้ อย่างน้อยผมก็เชื่อเช่นนั้น
วันนี้...ผมยังคงนั่งโต๊ะตัวเดิม ที่เราเคยนั่งใกล้กัน
วันนี้ เธอก็มานั่งโต๊ะตัวนี้..ตรงหน้าผม ห่างออกไปเพียงนิดเดียว
แต่เราไม่เคยพูดกันแม้แต่คำเดียว และชาตินี้คงไม่ได้พูดกัน
วันนี้ เธออุ้มทารกมาด้วย ลูกของเธอ...เธอแต่งงานไปแล้วเมื่อปีที่แล้ว หลังจากเรียนจบไม่นาน เป็นคนพื้นเพเดียวกัน สามีของเธอก็มาช่วยทำงานที่ร้านพ่อตาแม่ยายด้วย ต่อหน้าต่อตาผม ทั้งสองคนดูเหมาะสมและรักกันดี
แต่สายตาที่เรามองกัน เมื่อหลายปีที่แล้ว และวันนี้....ไม่เคยเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
แค่....ความทรงจำ ที่ดีๆ...
6 เมษายน 2557

โต๊ะ ตัวหนึ่ง.....วันนั้น และวันนี้...ที่เหมือนเดิม
หากไป พ้องรูป พ้องเสียง กับบุคคลใด และ/หรือ สถานที่ใด
ผู้เขียนขออภัย ไม่ตั้งใจ แต่ประการใด
โต๊ะ ตัวหนึ่ง.....วันนั้น และวันนี้...ที่เหมือนเดิม
===============
6 เมษายน 2557
เป็นเช้าวันอาทิตย์ ผมอกจากบ้านไปตั้งแต่เช้า มุ่งหน้าสู่เขตกองทัพอากาศ เช้านี้ท้องฟ้าแถวเขตดอนเมืองแจ่มใส หากพอตะวันขึ้นสูงฟ้าเริ่มหม่นมัวและค่อนข้างร้อน ให้ความรู้สึกอ้างว้างน่าใจหายชนิดหนึ่ง
วันนี้เป็นวันที่ทุกโรงเรียนมีการคัดเลือกเด็กระดับชั้น ม.1 มาเข้าเรียน ชั้นมัธยมปีที่ 1 โดยการจับฉลาก (ซึ่งผมไม่เคยเห็นด้วยเลย กับวิธีการแบบนี้ เพราะมันเหมือนสอนเด็ก ให้รู้จักการเสี่ยงดวง เล่นการพนัน ตั้งแต่เด็ก ซึ่งโรงเรียนที่ผมสอนมีทางเลือกคือ เด็กมีสิทธิ์จับฉลากได้.... 150 คน ไม่ได้อีก 42 คน)
เวลา 10.30น. เริ่มมีการจับฉลาก ความจริงผมเป็นกรรมการคนหนึ่งในการจับฉลาก แต่ผมอ่อนไหวมากเกินไป ไม่อยากเห็นภาพสะเทือนใจ เลยขอตัวเลี่ยงออกมาจากห้องประชุม เพราะทนรับไม่ได้กับผู้ปกครองและนักเรียนที่เดินลงมาจากหอประชุม ด้วยภาพลักษณ์ต่างกัน
“ทำไมจับไม่ได้..” พ่อแม่บางคนดุด่าว่าลูกตัวเอง ที่จับฉลากไม่ได้..โดยไม่นึกเลยว่า เด็กก็อยากจับฉลากได้เหมือนกัน แต่เมื่อจับไม่ได้ จะให้ทำอย่างไร
แต่มีบางคู่ที่เห็นแล้วสะเทือนใจ
คุณแม่น้ำตาไหลอย่างปิดกั้นไม่ได้ เพราะโรงเรียนที่ผมสอน มีเด็กสมัครเข้าเรียน ม.1 จำนวนมากเกือบเป็นที่ 1 ของประเทศก็ว่าได้ (ถ้าจำไม่ผิด แต่คงคลาดเคลื่อนไม่มากนัก) ลูกสาววัยน่ารักจูงมือแม่ เดินลงมาจากหอประชุม และพูดปลอบใจแม่ว่า
“แม่คะ...ไม่เป็นไร หนูเรียนที่อื่นได้ แม่อย่าเสียใจนะคะ”
อะไรกันนี่...ผมเห็นแล้วคิดในใจ โลกมันตาลปัตรถึงเพียงนี้เชียวหรือ ตามหลักสากลคุณแม่ต้องปลอบใจลูกไมใช่หรือ ผมมองเห็นความเข้มแข็งชองเด็กคนนั้น ทำไมไม่มีโอกาสมาเรียนกับเรานะ
ผมขอตัวหนีออกมาจากงาน หลังจากทำหนังสือแลกเปลี่ยนเวรช่วงสงกรานต์ เพราะมีโครงการจะกลับบ้านนอก กลับมาบ้านอาบน้ำเปลี่ยนชุดลำลองในช่วงบ่าย และใช้เวลากับการอ่านนิยายในถนนนักเขียน ทั้งที่อยากไปงานหนังสือ แต่ดูเวลาแล้วไม่ทัน
เจอนักเรียนมาทำงานที่อาคาร 7 มาทักทาย รู้สึกดีมากๆ แต่กลับบ้านดีกว่า
จนช่วงเย็น เริ่มหิว ..พอหิวเริ่มนึกถึงสโมสร แต่วันนี้เป็นวันอาทิตย์ สโมสรปิด ได้แต่นึกเสียดาย ที่ไม่ได้พูดคุยกับน้องเด็กเสิร์ฟ น้องจิ๊บ น้องเมย์ น้องกบ น้องอุ๊ น้องอิ๋ว และ..และ...อื่นๆ.. ที่สโมสร ซึ่งพวกเราเหมือนพี่เหมือนน้องกัน ไม่เคยไกลมากกว่าฝัน และไม่เคยมากกว่านั้น ต่างฝ่ายรักษาระยะที่เหมาะสมเสมอ ส่วนใหญ่น้องๆ พวกนี้จะคุ้นเคยรักใคร่กับผมดี เพราะผมสุภาพ ปฏิบัติตนพูดจาให้เกียรติพวกเธอเสมอ ไม่เคยดุด่าเวลาไม่พอใจเหมือนลูกค้าบางคน
ตะวันบ่ายคล้อย นั่งเขียนนิยายไป ฟังเพลงชุดสุดโปรด A Hard Day's Night ของวงโปรดตลอดกาล The Beatles (ไม่รู้นะ..ผมชอบผลงานช่วงแรกๆ ของวงนี้ เช่น Please Please Me ,(1963)With the Beatles (1963) เป็นงานที่อยู่นอกเหนือกาลเวลา ฟังเมื่อไรก็เพราะเมื่อนั้น ฟังเป็นร้อยๆ รอบก็ไม่เบื่อ....ไม่เคยล้าสมัยแม้ทุกวันนี้)
จู่ๆ ก็อยากไปปากซอย
ราวกับว่ามีอะไรเรียกร้อง (คิดไปเองเปล่านี่)
หลังไมค์ก็ไม่มี....เป็นช่วงแห่งความเงียบเหงาและอ้างว้างเดียวดาย สายลมยามเย็นพัดพาความทรงจำเก่าๆ มากับสายลมชวนให้หดหู่หม่นเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
เศร้าเหงา อ้างว้าง...........โดยไร้เหตุผล
กว่าจะรู้ตัว...เท้าก้าวออกจากจากบ้านแบบไม่ตั้งใจ ผ่านผู้คนมากมาย ต่างเดินไปตามจุดมุ่งหมายของตัวเอง ทุกข์สุขอย่างไรเป็นไปตามกรรมใครกรรมมัน
ข้ามถนนโดยที่ไม่ชนรถใครให้เสียหาย มายังร้านเดิมๆ ที่คุ้นเคยมานาน
มองดูรอบๆ ร้านคุ้ยเคยยังเหมือนเดิม อยู่ข้างถนน คนขาย-เจ้าของสามีภรรยาคู่เดิม ทีวีโบราณเก่าแก่ยังคงแขวนอยู่ที่เดิม ทั้งที่ร้านอื่นเปลี่ยนเป็นจอแบนไปหมดแล้ว
นั่งลง โต๊ะเก้าอี้ชุดเดิม ที่คุ้นเคย....คุ้นเคยมานานแล้ว
จำได้ว่าหลายปีมาแล้ว นั่งมองลูกสาวเจ้าของร้าน ตั้งแต่สมัยเรียน ม.ปลาย จนเรียนจบมหาวิทยาลัย จนทุกวันนี้มีเธองานทำ ได้เพียงแอบมอง โดยที่ไม่แทบไม่คุยกันเลย
มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ บางทีผมอาจเป็นคนพูดน้อย สุภาพ และขี้อาย
มองหลายปี
นั่งทานข้าวตรงกันข้ามกันหลายปี
แต่แทบไม่เคยคุยกัน
ปีละคำ ยังแทบไม่ได้ เรื่องแบบนี้มีจริง
ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน มีเพียงสื่อสายตา....
บางครั้ง โต๊ะว่างหลายโต๊ะ แต่เธอกลับมาที่ร้านช่วงเย็น หิวข้าว เธอเดินถือจานข้าวมานั่งกินโต๊ะเดียวกับผม ตรงกันข้าม แต่ผมยังไม่กล้าคุยกับเธอ เพราะไม่รู้จะคุยอะไร ต่างคนต่างปากหนัก ผมรู้ว่าเธอมองผมอยู่ แต่ผมแกล้งเป็นไม่เห็น ไม่รู้เพราะอะไร
แต่ที่รู้ คือผมมีความสุขที่ได้นั่งทานเบียร์เย็นๆ ไป และรู้สึกว่าเธอวนเวียนอยู่ใกล้ตัว มีความสุขเมื่อเธอมองมา แล้วผมรีบหลบตาอย่างมีชั้นเชิง มีความสุขเมื่อผมมองเธอ แล้วเธอแกล้งหลบตามองไปทีอื่น
ความสุขถูกวางบรรทัดฐานไว้ตรงนี้เอง ต่างคนต่างไม่ยอมขยับเข้าใกล้มากเกินไป บางครั้งการรักษาระยะห่างไว้ไม่ให้ใกล้เกินไป ก็เพื่อจะคบกันทางตาและใจได้นานๆ
ถ้าไม่คิดเข้าข้างตัวเอง ผมคิดว่าเธอชอบผม เหมือนที่ผมชอบเธอ เราทั้งสองสื่อกันทางสายตามานานหลายปี
มีปีหนึ่งที่เธอพูดกับผมหลายคำ ยังจำไม่เคยลืม
วันนั้นผมนั่งโต๊ะนอกร้าน ช่วงเย็นฝนเริ่มตกพรำๆ โต๊ะอื่นๆ พากันย้ายเข้าไปในร้าน หากผมมองฟ้าแล้วประเมินว่า คงไม่ตกหนัก เลยนั่งตากฝนอยู่อย่างนั้น คงเป็นเพราะความขี้เกียจย้ายด้วย ไม่สนใจคำขอเจ้าของร้านที่บอกให้ย้ายที่
จู่ๆ เธอเดินมาหา พดด้วยเสียงขอร้องกึ่งบังคับ
“ย้ายเข้าไปข้างในเถอะค่ะ ฝนตกแล้ว”
ผมตกตะลึง เพราะไม่คิดว่าเธอจะมาพูดกับผมแบบนี้ แต่พอมองลึกเข้าไปในสายตาคู่นั้น(ที่สบตากันมานานหลายปี) ผมเห็นแววห่วงไยอยู่ในสายตาคู่นั้นอย่างชัดเจน ฝนตก เดี๋ยวไม่สบายนะ...
“แต่.....”
ผมพูดยังไม่จบ เธอก็ยกจานอาหารของผมเข้าไปในร้านเฉย เหมือนยกหัวใจผมไปด้วย
นั่นเป็นครั้งเดียวที่เราพูดกันมากที่สุด
สิ่งที่ผมชื่นชมคือ เธอทำตัวดีมาก เลิกเรียนมาก็มาช่วยงานที่ร้านพ่อแม่ ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเหมือนวัยรุ่นบางคน ช่วยงานจนปิดร้านทุกคืน
ผมเรียนรู้แล้วว่า ความรักที่บริสุทธิ์คืออะไร ไม่ต้องครอบครองเป็นเจ้าของ มีความสุขที่ได้รัก ความจริงแล้วเส้นทางที่ผมขับรถกลับบ้าน มีร้านหลายร้านที่ขายบริการ มีเงินในกระเป๋าไม่ถึงสองพันก็มากพอที่จะหิ้วน้องๆ ออกมาไปคุยกันได้แล้ว อันนี้เรื่องจริง
แต่ผมไม่เคย ...ผมพอใจมานั่งมองใครบางคนเงียบๆ มากกว่า ผมแยกแยะระหว่างความรัก และความใคร่ ออกจากกันได้ อย่างน้อยผมก็เชื่อเช่นนั้น
วันนี้...ผมยังคงนั่งโต๊ะตัวเดิม ที่เราเคยนั่งใกล้กัน
วันนี้ เธอก็มานั่งโต๊ะตัวนี้..ตรงหน้าผม ห่างออกไปเพียงนิดเดียว
แต่เราไม่เคยพูดกันแม้แต่คำเดียว และชาตินี้คงไม่ได้พูดกัน
วันนี้ เธออุ้มทารกมาด้วย ลูกของเธอ...เธอแต่งงานไปแล้วเมื่อปีที่แล้ว หลังจากเรียนจบไม่นาน เป็นคนพื้นเพเดียวกัน สามีของเธอก็มาช่วยทำงานที่ร้านพ่อตาแม่ยายด้วย ต่อหน้าต่อตาผม ทั้งสองคนดูเหมาะสมและรักกันดี
แต่สายตาที่เรามองกัน เมื่อหลายปีที่แล้ว และวันนี้....ไม่เคยเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
แค่....ความทรงจำ ที่ดีๆ...
6 เมษายน 2557