Lpg_Horse เสนอ
ผมอยากจะแสดงความเห็นบ้างแบบนี้นะครับ
เรื่องข้าวถุงนั้น ผมว่าอาจจะต้องมองว่า ทุกวันนี้คนไทยก็กินข้าวอยู่แล้ว และก็กินข้าวไทยกันอยู่แล้วด้วย ดังนั้น การช่วยกันซื้อข้าว ไม่ใช่วิธีการช่วยลดปริมาณข้าวที่รัฐบาลมีแน่นอน
และที่สำคัญ ยิ่งไปซื้อข้าวจากสต๊อกรัฐไปตุนไว้ ก็ยิ่งทำให้ซื้อข้าวที่กำลังออกสู่ตลาดในรอบถัด ๆ ไปน้อยลงไปด้วย เพราะช่วยกันตุนก็ได้ปริมาณหนึ่ง พอถึงจุดนึง ก็ซื้อต่อไม่ได้ ข้าวที่ออกใหม่ก็คงขายได้ยากขึ้น
และที่สำคัญ ปริมาณข้าวที่คนไทยกินนั้น ก็แค่ปีนึงไม่ถึง 10 ล้านตันเท่านั้น และเป็นข้าวที่ปลูกเองเกือบครึ่ง ที่เหลือที่ต้องซื้อข้าวกิน ก็ประมาณ 5 ล้านตันเท่านั้น
นักวิชาเกินเสื้อแดง ขอบอกว่า
เรื่องข้าวถุง เป็นแค่ช่องทางหนึ่งในการระบายไม่ใช่ขายได้หมด
ช่องทางนี้ผมแค่ต้องการระบายที่ได้ราคาดีสุด และเกาะกระแสรักชาติ
และดูเนื้อแท้แกนนำทุกฝ่ายที่ปากบอกรักชาติ เค้ารักชาติจริงๆ หรือ
อิงประโยชน์ทางการเมือง
Lpg_Horse เสนอ
ดังนั้นข้าวที่รัฐบาลมีนั้นต้องระบายด้วยการขายออกไปต่างประเทศ จะเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดที่สุด
การขายแบบรัฐต่อรัฐด้วยการทำบาร์เตอร์เทรดนั้น ไม่ใช่รัฐบาลไม่ทำนะครับ พยายามทำแล้ว แต่ทำไม่ได้ อย่างเรื่องข้าวแลกแท็ปเล็ต ตอนแรกก็ว่าจะทำแบบนั้น แต่พอค่าแท็ปเล็ตแค่ 2 พันล้าน เทียบเป็นข้าวก็ได้ประมาณ 1 แสนตันเท่านั้น ถ้าอยากขายข้าวเป็นล้านตัน จะแลกแท็ปเล็ตมูลค่า 2 หมื่นล้าน ก็เยอะเกินไป สุดท้ายก็ต้องต่างคนต่างจ่ายเงินอยู่ดี
ข้าวแลกน้ำมัน ก็คงอย่างเดียวกัน มันไม่จำเป็นต้องผูกมัดการค้า ด้วยการแลกเปลี่ยนสินค้าหรอกครับ มันทำให้มีความยืดหยุ่นต่ำ ยิ่งทำแบบนี้ เราอยากขายข้าวมากกว่า คู่ค้าอยากได้ข้าว ยังไงก็ต้องโดนกดราคาวันยังค่ำแหละครับ
นักวิชาเกินเสื้อแดงขอบอกว่า
ส่วนเรื่องขายแบบ Barter trade ผมอยากบอกว่ามันดีกว่าขายเงินสดอย่างไร
เพราะคนซื้อข้าวได้ประโยชน์ด้วยเพราะขายของส่งออกได้ ดีกว่าที่จ่ายเงินสดซื้อ
คุณว่าจริงไหมครับ ผมก็เลยไปหาข้อมูลต่อว่าไทยนำเข้าอะไรเยอะจาก
http://www2.customs.go.th/UploadFile/Knowledge/K0112001.pdf
ได้ความว่า ไทยนำเข้าน้ำมันดิบสูงสุด อีกอย่างที่เยอะคือ โลหะสามัญ เช่น
เหล็ก ทองแดง นิคเกิล อลูมิเนียม สังกะสี
ผมว่าเราสามารถเอาข้าวแลก น้ำมัน แลก โลหะสามัญต่างๆได้
กลยุทธ์คือ ขายกับรัฐที่เค้ามีรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของ ของทรัพยากรที่เราจะไปแลก
เช่นรัสเซียมี Gazprom ส่วนประเทศอื่นผมต้องขอเวลาศึกษาหาข้อมูลก่อน
Lpg_Horse เสนอ
เรื่องประเด็นการลดต้นทุนนั้น กรมการข้าว นำเสนอมาต่อเนื่องอยู่แล้ว แต่ก็ทำไปแบบลูกเมียน้อย ได้งบประมาณมาวิจัยปีนึงหลักพันล้านแค่นั้น แนะนำรัฐบาล รัฐบาลก็ไม่สนใจ มีอยู่ครั้งเดียว ที่รัฐบาลต้องเอาเรื่องลดต้นทุนไปกลบเรื่องลดราคาจำนำข้าว ก็เลยยอมเอาหนังสือการลดต้นทุนการปลูกข้าวมาแจกชาวนา (ทำไมก็ไม่รู้ แล้วก็เงียบไป)
ทั้งเรื่องการลดต้นทุน ทั้งเรื่องการจัดโซนนิ่งพื้นที่การปลูกข้าว รัฐบาลไม่ตั้งใจจริงทั้งนั้น เน้นแต่การผลาญงบประมาณ เพื่อหาช่องทางทุจริตเป็นหลัก เลยทำให้ความช่วยเหลือที่น่าจะเป็นการช่วยแบบยั่งยืน ไม่มีรูปธรรมที่จับต้องได้สักที
นักวิชาเกินเสื้อแดงขอบอกว่า
การแก้ปัญหาระยะกลาง ลดต้นทุนเพิ่มผลผลิตและคุณภาพ เพื่อทำให้รัฐบาลสามารถ ลดราคารับจำนำข้าวได้บ้างในอนาคต
โดยราคารับจำนำคูณกับจำนวนผลผลิตคิดเป็นเงินแล้ว ชาวนายังได้เงินเพิ่มขึ้น
แถลงไปเลยว่า รัฐบาลจะตั้งสถาบันวิจัยเพื่อลดต้นทุน, เพิ่มผลผลิตและพัฒนาคุณภาพข้าวแห่งชาติ
และจัดงบพิเศษให้ ใครมีผลงานดี อัดฉีดเงินให้เลย แนะนำนะครับ อาจจะเชิญชาวนาเงินล้านมาร่วมด้วย
แล้วผมเรียกร้องให้รัฐบาลก็แถลงจุดยืนไปเลย ว่า ถ้าผลผลิตเพิ่มขึ้น เราก็จะลดราคารับจำนำข้าวได้
จากการวิธีการแก้ไขปัญหาระยะกลาง ผมอยากลดราคารับจำนำแต่ต้องไม่กระทบชาวนา
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากบทวิเคราะห์ผลศึกษาทางรอดข้าวไทย เพื่อการแข่งขันในตลาดอาเซียน พบว่า ในปีนี้ประเทศไทยมีปริมาณการส่งออกข้าว 10 ล้านตัน ขณะที่เวียดนามมีปริมาณส่งออก 6 ล้านตัน
อย่างไรก็ตาม ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาเวียดนามทำตลาดเชิงรุกมาโดยตลอด ทำให้สัดส่วนการส่งออกข้าวเวียดนามในอาเซียนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 47 เป็นร้อยละ 59.9 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 ขณะที่ข้าวไทยมีส่วนแบ่งการส่งออกลดลงจากร้อยละ 49.5 เหลือร้อยละ 39.6 เท่ากับลดลงร้อยละ 10 ซึ่งหากรัฐบาลยังไม่เร่งแก้ไขปัญหานี้ จะทำให้ในอีก 10 ปีข้างหน้า ปริมาณการส่งออกข้าวของประเทศไทยจะลดต่ำลงเหลือ 8.6 ล้านตัน คือลดลงร้อยละ 14 ขณะที่เวียดนามจะส่งออกข้าวเพิ่มขึ้นเป็น 7.5 ล้านตัน ซึ่งถือว่าขยายตัวจากเดิมถึงร้อยละ 25 และในอนาคตจะส่งออกข้าวแซงหน้าประเทศไทยได้ในที่สุด
ทั้งนี้ สำหรับสาเหตุที่ทำให้ข้าวไทยสู้เวียดนามไม่ได้นั้นมี 10 ข้อก็คือ
1. ผลผลิตข้าวต่อไร่ของเวียดนามสูงกว่าไทย โดยในปี 53/54 เวียดนามมีผลผลิตข้าวสูงเป็นอันดับ 4 ของเอเชีย และเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน ส่วนข้าวไทยมีผลผลิตเป็นอันดับ 13 ของเอเชีย และเป็นอันดับ 7 ของอาเซียน และยังมีผลผลิตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก
2. เวียดนามมีต้นทุนการปลูก และผลิตข้าวต่ำกว่าไทยถึง 16.5% แต่ได้กำไรสูงกว่าถึง 67%
3. ทางการเวียดนามได้ส่งเสริมให้ชาวนาใช้นโยบาย 3 ลด 3 เพิ่ม คือ ลดปริมาณเมล็ดให้เหมาะสมต่อพื้นที่เพาะปลูก ,ลดการใช้ปุ๋ยเคมี และลดการใช้ยาปราบศัตรูพืช รวมทั้งการเพิ่มผลผลิต ,เพิ่มคุณภาพ และเพิ่มกำไร ซึ่งจากนโยบายดังกล่าวทำให้ชาวนาเวียดนามมีกำไรเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 15-20
4. ไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาดส่งออกข้าวในอาเซียน มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 ขณะที่เวียดนามกลับส่งออกมากกว่าไทยแล้วถึง 23 เท่า
5. ราคาข้าวของเวียดนามถูกกว่าไทยอย่างมาก โดยเมื่อปี 2548 ราคาข้าวไทยสูงกว่าเวียดนาม 30 ดอลลาร์สหรัฐ แต่เมื่อปี 2552 ที่ผ่านมา ราคาข้าวไทยสูงขึ้นกว่า 123 ดอลลาร์สหรัฐ
6. เวียดนามใช้วิธีการทำการตลาดแบบทีมเดียว โดยรัฐจะเจรจาขายแบบรัฐต่อรัฐ ขณะที่ภาคเอกชนจะมีหน้าที่ส่งออก ซึ่งวิธีนี้ทำให้เวียดนามได้ตลาดนอกอาเซียนเพิ่มขึ้นหลายแห่ง
7. เวียดนามเน้นการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา และพม่า เพื่อผลิตข้าวและแปรรูปสินค้าข้าว
8. รัฐบาลเวียดนามส่งเสริมการผลิตข้าวอย่างเต็มที่ ทั้งให้การอุดหนุนลดต้นทุนการผลิต ยกเว้นภาษี ค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ย และตั้งกองทุนช่วยเหลือ
9. รัฐบาลเวียดนามบังคับให้พ่อค้าคนกลางที่จะรับซื้อข้าวจากชาวนา ต้องเหลือกำไรให้ชาวนาอย่างน้อย 30% ของต้นทุน และมีโครงการช่วยเหลือชาวนาด้านอื่น ๆ
10. รัฐบาลเวียดนามเร่งเพิ่มการลงทุนตลาดค้าข้าวในต่างประเทศ เช่น ในฟิลิปปินส์ แทนซาเนีย กานา แอฟริกาใต้ และพม่า
ด้วย 10 ข้อด้อยดังกล่าว นายอัทธ์ จึงเสนอ 4 มาตรการสำคัญ เพื่อให้ไทยเร่งปรับตัว ประกอบด้วย การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้น ลดต้นทุนการผลิตข้าวให้ต่ำลง มีการปรับปรุงทางการตลาด รวมทั้งปรับปรุงคุณภาพ ให้มีความอร่อยและรสชาติต่างจากคู่แข่ง และสุดท้ายรัฐบาลต้องช่วยเหลือชาวนาให้อยู่รอดได้ โดยมีนโยบายช่วยเหลือให้ชาวนาได้กำไรจากการปลูกข้าวอย่างน้อย 30% ของต้นทุนการผลิตดังเช่นที่เวียดนาม
ด้านนายสุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการมูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า จำนวนผลผลิตข้าวไทยที่ลดลงต่อเนื่องนั้น ส่วนหนึ่งมาจากที่ผ่านมา ประเทศไทยมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมมากกว่า ทำให้แรงงานภาคเกษตรลดจำนวนลง ประกอบกับปัญหาแห้งแล้ง และน้ำท่วมที่เกิดขึ้นอยู่ทุกปี รวมทั้งขาดการจัดการระบบทรัพยากรธรรมชาติที่ดี ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ต่อไป จะทำให้ภาคเกษตรกรรมและชาวนาอ่อนแอ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ในฐานะการเป็นแหล่งอาหารของโลกอย่างแน่นอน
จากกระปุก
Lpg_Horse เสนอ
ส่วนเรื่องการสร้างแบรนด์อิมเมจนั้น ผมว่า ต้องเริ่มจากปลูกจิตสำนึกให้กับชาวนา ให้อยากผลิตสินค้าพรีเมี่ยม มากกว่าการผลิตสินค้าตลาด ที่เน้นการแข่งขันด้านราคา จะดีกว่า
เพราะทุกวันนี้ ข้าวคุณภาพของไทยมีแต่ไม่มาก ซึ่งเจ้าของผลิตภัณฑ์เหล่านั้น ก็ขายได้ราคาสูงอย่าเหมาะสมอยู่แล้ว แต่สินค้าที่ไทยมีมาก เป็นข้าวตลาดทั่วไป เพียงแต่ของไทยเมื่อเทียบกับคู่แข่งแล้ว มีความเชื่อว่า ดีกว่า ก็เลยทำให้เกิดส่วนต่างราคาขึ้นเท่านั้น
มันยังไม่ใช่สินค้าระดับสูงกว่า แต่เป็นระดับเดียวกัน ดังนั้น ถ้าราคาแพงกว่าแบบคนละเรื่อง มันคงไม่ได้ขายแน่นอนครับ
ดังนั้น การสร้างจุดขาย ต้องมีสินค้าก่อน ดังนั้นควรส่งเสริม ให้มีการปลูกข้าวพรีเมี่ยมในรูปแบบต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดความแตกต่างที่หลากหลาย ก็จะทำให้โอกาสในตลาดเฉพาะ มีมากขึ้นไปด้วย
นักวิชาเกินเสื้อแดงขอบอกว่า
การแก้ปัญหาระยะยาว สร้างคุณค่าให้ข้าวไทยเพิ่มให้ราคาสูงขึ้นเหมือนข้าวญี่ปุ่น
เราต้องใช้วิธีการเหมือนเกาหลีที่ทำ Copy and Development ถึงเจริญ อย่างซัมซุงก็อบแอ็บเปิ้ลแล้ว
มาพัฒนาต่อ ตอนนี้ยอดขายสูสี K-Pop ก็อบ J-Pop แต่ตอนนี้ดังกว่า ซีรี่ย์เกาหลีก็อบซีรี่ย์ญี่ปุ่น ตอนนี้ดังกว่า
ผมอยากให้ก็อบญี่ปุ่นครับ ร้านอาหารญี่ปุ่นใน ไทยเยอะมาก ร้านฟูจิมีแทบทุกห้างทั่วประเทศ นอกจากนี้
คนไทยยังกินกันเต็มต้องรอคิวอีก ญี่ปุ่นเค้าทำได้ไง เค้าทำได้โดยใช้สื่อครับ รายการเชฟกระทะเหล็ก
รายการตะเวนกินอาหารในญี่ปุ่น ส่วนเกาหลีเค้าใช้ แด จัง กึม ซีรี่ย์ดังของเค้า
สื่อทำให้คนดูอยากกินอาหารญี่ปุ่นครับ เราต้องใช้สื่อช่วย สื่อในประเทศไทยนี่ระดับโลกครับ วงการโฆษณา
เราได้รางวัลระดับโลกมาแล้ว คิดดูซิครับสื่อไทยสามารถทำให้ สุเทพโครตโกง เป็นลุงกำนันสุเทพต้านได้
สิ่งที่เราต้องทำให้ได้คือ เราต้องมีแฟรนไชส์ร้านอาหารไทยให้มันฮอตฮิตเหมือนฟูจิที่คนไทยชอบ
แต่ทีนี้เราต้องให้ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน และประเทศในอาเซียนมาชอบอาหารไทย อย่างที่คนไทยชอบอาหารญี่ปุ่น
ส่วนอเมริกากับยุโรป ค่อยเป็นก็อกสอง เพราะตอนนี้เศรษฐกิจตกต่ำอยู่
วิธีการที่เราจะเจาะตลาดนะครับ
การใช้สื่อมี ๒ อย่าง
อย่างแรก การโฆษณา เน้นการยิงนัดเดียวได้สองตัว คือ มาเมืองไทยเพื่อชิมอาหารไทย amazing thai food สิ่งที่
ต้องเน้นอีกอย่างคือ original thai food เบื้องหลังคือต้องใช้วัตถุดิบจากไทยเท่านั้น โฆษณานี้ต้องว่าคนต่างชาติมา
เมืองไทยแล้ว ทานอาหารไทยเค้ารู้สึกยังไง ทำให้คนอื่นอยากมา แล้วต่อรองกับรายการเชฟกระทะเหล็กว่า
ถ้าเค้ามีเชฟกระทะเหล็กอาหารไทย จะอัดโฆษณาให้เค้าเต็มที่
อย่างที่สอง ผมเรียกร้องให้รัฐบาลจ้างเอกชน ผลิตรายการ
ตะลุยหาอาหารไทยในเมืองไทย, รายการเคล็ดลับการทำอาหารไทย, ซีรี่ย์ไทยเกี่ยวกับอาหาร
โดยรายการเหล่านี้รัฐบาลผลิต content ให้ฟรี ให้ประมูลว่าช่องไหนในแต่ละประเทศ จะให้เวลาฉายที่ดีที่สุด
โดยรัฐบาลขอแค่โฆษณา ๑ ครั้งทุกครั้งที่ตัดเข้าโฆษณา
รายการตะลุยหาอาหารให้ทำเหมือนเชฟกระทะเหล็กช่วงค้นหาวัตถุดิบ
ส่วนเคล็ดลับการทำอาหารไทยให้ทำเหมือนช่วง โรงเรียนกระทะเหล็ก
ส่วนซีรี่ย์ไทยเกี่ยวกับอาหารผมแนะนำให้ทำคล้ายการ์ตูนเกี่ยวกับอาหารของญี่ปุ่น มีการไปหาวัตถุดิบ
มีการแข่งทำอาหาร มันจะยั่วให้คนออยากทานมาก เน้นหาวัตถุดิบในประเทศไทยเท่านั้น
หลังจากให้เค้าเสพสื่อแล้ว ก็หาเอกชนลงทุนทำแฟรนไชส์อาหารไทย โดยรัฐบาลจะสนับสนุนเต็มที่
มีข้อแม้อย่างเดียววัตถุดิบต้องซื้อจากไทยเท่านั้น
สิ่งที่เราจะได้คือ คุณค่าของอาหารไทยจะสูงขึ้น ราคาข้าว ราคาเครื่องเทศไทยจะสูงขึ้นเพราะความต้องการที่มากขึ้น
นี่คือกลยุทธ์ Differentiate สินค้า จากการวิธีการแก้ไขปัญหาระยะยาว ผมได้สร้างความแตกต่าง
ให้อาหารไทยทำให้มีคุณค่ามากขึ้น แล้วเป็นกลยุทธ์ที่ทำได้จริง พิสูจน์แล้วโดยร้านอาหารญี่ปุ่นในไทย
โดยเฉพาะฟูจิ นอกจากจะทำให้ข้าวไทยมีมูลค่าสูงขึ้น ยังต่อยอดให้กับชาวสวนที่ปลูกเครื่องเทศอีก
แถมได้โบนัสในการทำให้ชาวต่างชาติอยากเที่ยวไทย
+.+.+.+.+.+.นักวิชาเกินเสื้อแดงและ Lpg_Horse ร่วมกันคิดเรื่องจำนำข้าว.+.+.+.+.+.
ผมอยากจะแสดงความเห็นบ้างแบบนี้นะครับ
เรื่องข้าวถุงนั้น ผมว่าอาจจะต้องมองว่า ทุกวันนี้คนไทยก็กินข้าวอยู่แล้ว และก็กินข้าวไทยกันอยู่แล้วด้วย ดังนั้น การช่วยกันซื้อข้าว ไม่ใช่วิธีการช่วยลดปริมาณข้าวที่รัฐบาลมีแน่นอน
และที่สำคัญ ยิ่งไปซื้อข้าวจากสต๊อกรัฐไปตุนไว้ ก็ยิ่งทำให้ซื้อข้าวที่กำลังออกสู่ตลาดในรอบถัด ๆ ไปน้อยลงไปด้วย เพราะช่วยกันตุนก็ได้ปริมาณหนึ่ง พอถึงจุดนึง ก็ซื้อต่อไม่ได้ ข้าวที่ออกใหม่ก็คงขายได้ยากขึ้น
และที่สำคัญ ปริมาณข้าวที่คนไทยกินนั้น ก็แค่ปีนึงไม่ถึง 10 ล้านตันเท่านั้น และเป็นข้าวที่ปลูกเองเกือบครึ่ง ที่เหลือที่ต้องซื้อข้าวกิน ก็ประมาณ 5 ล้านตันเท่านั้น
นักวิชาเกินเสื้อแดง ขอบอกว่า
เรื่องข้าวถุง เป็นแค่ช่องทางหนึ่งในการระบายไม่ใช่ขายได้หมด
ช่องทางนี้ผมแค่ต้องการระบายที่ได้ราคาดีสุด และเกาะกระแสรักชาติ
และดูเนื้อแท้แกนนำทุกฝ่ายที่ปากบอกรักชาติ เค้ารักชาติจริงๆ หรือ
อิงประโยชน์ทางการเมือง
Lpg_Horse เสนอ
ดังนั้นข้าวที่รัฐบาลมีนั้นต้องระบายด้วยการขายออกไปต่างประเทศ จะเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดที่สุด
การขายแบบรัฐต่อรัฐด้วยการทำบาร์เตอร์เทรดนั้น ไม่ใช่รัฐบาลไม่ทำนะครับ พยายามทำแล้ว แต่ทำไม่ได้ อย่างเรื่องข้าวแลกแท็ปเล็ต ตอนแรกก็ว่าจะทำแบบนั้น แต่พอค่าแท็ปเล็ตแค่ 2 พันล้าน เทียบเป็นข้าวก็ได้ประมาณ 1 แสนตันเท่านั้น ถ้าอยากขายข้าวเป็นล้านตัน จะแลกแท็ปเล็ตมูลค่า 2 หมื่นล้าน ก็เยอะเกินไป สุดท้ายก็ต้องต่างคนต่างจ่ายเงินอยู่ดี
ข้าวแลกน้ำมัน ก็คงอย่างเดียวกัน มันไม่จำเป็นต้องผูกมัดการค้า ด้วยการแลกเปลี่ยนสินค้าหรอกครับ มันทำให้มีความยืดหยุ่นต่ำ ยิ่งทำแบบนี้ เราอยากขายข้าวมากกว่า คู่ค้าอยากได้ข้าว ยังไงก็ต้องโดนกดราคาวันยังค่ำแหละครับ
นักวิชาเกินเสื้อแดงขอบอกว่า
ส่วนเรื่องขายแบบ Barter trade ผมอยากบอกว่ามันดีกว่าขายเงินสดอย่างไร
เพราะคนซื้อข้าวได้ประโยชน์ด้วยเพราะขายของส่งออกได้ ดีกว่าที่จ่ายเงินสดซื้อ
คุณว่าจริงไหมครับ ผมก็เลยไปหาข้อมูลต่อว่าไทยนำเข้าอะไรเยอะจาก
http://www2.customs.go.th/UploadFile/Knowledge/K0112001.pdf
ได้ความว่า ไทยนำเข้าน้ำมันดิบสูงสุด อีกอย่างที่เยอะคือ โลหะสามัญ เช่น
เหล็ก ทองแดง นิคเกิล อลูมิเนียม สังกะสี
ผมว่าเราสามารถเอาข้าวแลก น้ำมัน แลก โลหะสามัญต่างๆได้
กลยุทธ์คือ ขายกับรัฐที่เค้ามีรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของ ของทรัพยากรที่เราจะไปแลก
เช่นรัสเซียมี Gazprom ส่วนประเทศอื่นผมต้องขอเวลาศึกษาหาข้อมูลก่อน
Lpg_Horse เสนอ
เรื่องประเด็นการลดต้นทุนนั้น กรมการข้าว นำเสนอมาต่อเนื่องอยู่แล้ว แต่ก็ทำไปแบบลูกเมียน้อย ได้งบประมาณมาวิจัยปีนึงหลักพันล้านแค่นั้น แนะนำรัฐบาล รัฐบาลก็ไม่สนใจ มีอยู่ครั้งเดียว ที่รัฐบาลต้องเอาเรื่องลดต้นทุนไปกลบเรื่องลดราคาจำนำข้าว ก็เลยยอมเอาหนังสือการลดต้นทุนการปลูกข้าวมาแจกชาวนา (ทำไมก็ไม่รู้ แล้วก็เงียบไป)
ทั้งเรื่องการลดต้นทุน ทั้งเรื่องการจัดโซนนิ่งพื้นที่การปลูกข้าว รัฐบาลไม่ตั้งใจจริงทั้งนั้น เน้นแต่การผลาญงบประมาณ เพื่อหาช่องทางทุจริตเป็นหลัก เลยทำให้ความช่วยเหลือที่น่าจะเป็นการช่วยแบบยั่งยืน ไม่มีรูปธรรมที่จับต้องได้สักที
นักวิชาเกินเสื้อแดงขอบอกว่า
การแก้ปัญหาระยะกลาง ลดต้นทุนเพิ่มผลผลิตและคุณภาพ เพื่อทำให้รัฐบาลสามารถ ลดราคารับจำนำข้าวได้บ้างในอนาคต
โดยราคารับจำนำคูณกับจำนวนผลผลิตคิดเป็นเงินแล้ว ชาวนายังได้เงินเพิ่มขึ้น
แถลงไปเลยว่า รัฐบาลจะตั้งสถาบันวิจัยเพื่อลดต้นทุน, เพิ่มผลผลิตและพัฒนาคุณภาพข้าวแห่งชาติ
และจัดงบพิเศษให้ ใครมีผลงานดี อัดฉีดเงินให้เลย แนะนำนะครับ อาจจะเชิญชาวนาเงินล้านมาร่วมด้วย
แล้วผมเรียกร้องให้รัฐบาลก็แถลงจุดยืนไปเลย ว่า ถ้าผลผลิตเพิ่มขึ้น เราก็จะลดราคารับจำนำข้าวได้
จากการวิธีการแก้ไขปัญหาระยะกลาง ผมอยากลดราคารับจำนำแต่ต้องไม่กระทบชาวนา
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากบทวิเคราะห์ผลศึกษาทางรอดข้าวไทย เพื่อการแข่งขันในตลาดอาเซียน พบว่า ในปีนี้ประเทศไทยมีปริมาณการส่งออกข้าว 10 ล้านตัน ขณะที่เวียดนามมีปริมาณส่งออก 6 ล้านตัน
อย่างไรก็ตาม ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาเวียดนามทำตลาดเชิงรุกมาโดยตลอด ทำให้สัดส่วนการส่งออกข้าวเวียดนามในอาเซียนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 47 เป็นร้อยละ 59.9 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 ขณะที่ข้าวไทยมีส่วนแบ่งการส่งออกลดลงจากร้อยละ 49.5 เหลือร้อยละ 39.6 เท่ากับลดลงร้อยละ 10 ซึ่งหากรัฐบาลยังไม่เร่งแก้ไขปัญหานี้ จะทำให้ในอีก 10 ปีข้างหน้า ปริมาณการส่งออกข้าวของประเทศไทยจะลดต่ำลงเหลือ 8.6 ล้านตัน คือลดลงร้อยละ 14 ขณะที่เวียดนามจะส่งออกข้าวเพิ่มขึ้นเป็น 7.5 ล้านตัน ซึ่งถือว่าขยายตัวจากเดิมถึงร้อยละ 25 และในอนาคตจะส่งออกข้าวแซงหน้าประเทศไทยได้ในที่สุด
ทั้งนี้ สำหรับสาเหตุที่ทำให้ข้าวไทยสู้เวียดนามไม่ได้นั้นมี 10 ข้อก็คือ
1. ผลผลิตข้าวต่อไร่ของเวียดนามสูงกว่าไทย โดยในปี 53/54 เวียดนามมีผลผลิตข้าวสูงเป็นอันดับ 4 ของเอเชีย และเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน ส่วนข้าวไทยมีผลผลิตเป็นอันดับ 13 ของเอเชีย และเป็นอันดับ 7 ของอาเซียน และยังมีผลผลิตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก
2. เวียดนามมีต้นทุนการปลูก และผลิตข้าวต่ำกว่าไทยถึง 16.5% แต่ได้กำไรสูงกว่าถึง 67%
3. ทางการเวียดนามได้ส่งเสริมให้ชาวนาใช้นโยบาย 3 ลด 3 เพิ่ม คือ ลดปริมาณเมล็ดให้เหมาะสมต่อพื้นที่เพาะปลูก ,ลดการใช้ปุ๋ยเคมี และลดการใช้ยาปราบศัตรูพืช รวมทั้งการเพิ่มผลผลิต ,เพิ่มคุณภาพ และเพิ่มกำไร ซึ่งจากนโยบายดังกล่าวทำให้ชาวนาเวียดนามมีกำไรเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 15-20
4. ไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาดส่งออกข้าวในอาเซียน มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 ขณะที่เวียดนามกลับส่งออกมากกว่าไทยแล้วถึง 23 เท่า
5. ราคาข้าวของเวียดนามถูกกว่าไทยอย่างมาก โดยเมื่อปี 2548 ราคาข้าวไทยสูงกว่าเวียดนาม 30 ดอลลาร์สหรัฐ แต่เมื่อปี 2552 ที่ผ่านมา ราคาข้าวไทยสูงขึ้นกว่า 123 ดอลลาร์สหรัฐ
6. เวียดนามใช้วิธีการทำการตลาดแบบทีมเดียว โดยรัฐจะเจรจาขายแบบรัฐต่อรัฐ ขณะที่ภาคเอกชนจะมีหน้าที่ส่งออก ซึ่งวิธีนี้ทำให้เวียดนามได้ตลาดนอกอาเซียนเพิ่มขึ้นหลายแห่ง
7. เวียดนามเน้นการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา และพม่า เพื่อผลิตข้าวและแปรรูปสินค้าข้าว
8. รัฐบาลเวียดนามส่งเสริมการผลิตข้าวอย่างเต็มที่ ทั้งให้การอุดหนุนลดต้นทุนการผลิต ยกเว้นภาษี ค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ย และตั้งกองทุนช่วยเหลือ
9. รัฐบาลเวียดนามบังคับให้พ่อค้าคนกลางที่จะรับซื้อข้าวจากชาวนา ต้องเหลือกำไรให้ชาวนาอย่างน้อย 30% ของต้นทุน และมีโครงการช่วยเหลือชาวนาด้านอื่น ๆ
10. รัฐบาลเวียดนามเร่งเพิ่มการลงทุนตลาดค้าข้าวในต่างประเทศ เช่น ในฟิลิปปินส์ แทนซาเนีย กานา แอฟริกาใต้ และพม่า
ด้วย 10 ข้อด้อยดังกล่าว นายอัทธ์ จึงเสนอ 4 มาตรการสำคัญ เพื่อให้ไทยเร่งปรับตัว ประกอบด้วย การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้น ลดต้นทุนการผลิตข้าวให้ต่ำลง มีการปรับปรุงทางการตลาด รวมทั้งปรับปรุงคุณภาพ ให้มีความอร่อยและรสชาติต่างจากคู่แข่ง และสุดท้ายรัฐบาลต้องช่วยเหลือชาวนาให้อยู่รอดได้ โดยมีนโยบายช่วยเหลือให้ชาวนาได้กำไรจากการปลูกข้าวอย่างน้อย 30% ของต้นทุนการผลิตดังเช่นที่เวียดนาม
ด้านนายสุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการมูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า จำนวนผลผลิตข้าวไทยที่ลดลงต่อเนื่องนั้น ส่วนหนึ่งมาจากที่ผ่านมา ประเทศไทยมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมมากกว่า ทำให้แรงงานภาคเกษตรลดจำนวนลง ประกอบกับปัญหาแห้งแล้ง และน้ำท่วมที่เกิดขึ้นอยู่ทุกปี รวมทั้งขาดการจัดการระบบทรัพยากรธรรมชาติที่ดี ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ต่อไป จะทำให้ภาคเกษตรกรรมและชาวนาอ่อนแอ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ในฐานะการเป็นแหล่งอาหารของโลกอย่างแน่นอน
จากกระปุก
Lpg_Horse เสนอ
ส่วนเรื่องการสร้างแบรนด์อิมเมจนั้น ผมว่า ต้องเริ่มจากปลูกจิตสำนึกให้กับชาวนา ให้อยากผลิตสินค้าพรีเมี่ยม มากกว่าการผลิตสินค้าตลาด ที่เน้นการแข่งขันด้านราคา จะดีกว่า
เพราะทุกวันนี้ ข้าวคุณภาพของไทยมีแต่ไม่มาก ซึ่งเจ้าของผลิตภัณฑ์เหล่านั้น ก็ขายได้ราคาสูงอย่าเหมาะสมอยู่แล้ว แต่สินค้าที่ไทยมีมาก เป็นข้าวตลาดทั่วไป เพียงแต่ของไทยเมื่อเทียบกับคู่แข่งแล้ว มีความเชื่อว่า ดีกว่า ก็เลยทำให้เกิดส่วนต่างราคาขึ้นเท่านั้น
มันยังไม่ใช่สินค้าระดับสูงกว่า แต่เป็นระดับเดียวกัน ดังนั้น ถ้าราคาแพงกว่าแบบคนละเรื่อง มันคงไม่ได้ขายแน่นอนครับ
ดังนั้น การสร้างจุดขาย ต้องมีสินค้าก่อน ดังนั้นควรส่งเสริม ให้มีการปลูกข้าวพรีเมี่ยมในรูปแบบต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดความแตกต่างที่หลากหลาย ก็จะทำให้โอกาสในตลาดเฉพาะ มีมากขึ้นไปด้วย
นักวิชาเกินเสื้อแดงขอบอกว่า
การแก้ปัญหาระยะยาว สร้างคุณค่าให้ข้าวไทยเพิ่มให้ราคาสูงขึ้นเหมือนข้าวญี่ปุ่น
เราต้องใช้วิธีการเหมือนเกาหลีที่ทำ Copy and Development ถึงเจริญ อย่างซัมซุงก็อบแอ็บเปิ้ลแล้ว
มาพัฒนาต่อ ตอนนี้ยอดขายสูสี K-Pop ก็อบ J-Pop แต่ตอนนี้ดังกว่า ซีรี่ย์เกาหลีก็อบซีรี่ย์ญี่ปุ่น ตอนนี้ดังกว่า
ผมอยากให้ก็อบญี่ปุ่นครับ ร้านอาหารญี่ปุ่นใน ไทยเยอะมาก ร้านฟูจิมีแทบทุกห้างทั่วประเทศ นอกจากนี้
คนไทยยังกินกันเต็มต้องรอคิวอีก ญี่ปุ่นเค้าทำได้ไง เค้าทำได้โดยใช้สื่อครับ รายการเชฟกระทะเหล็ก
รายการตะเวนกินอาหารในญี่ปุ่น ส่วนเกาหลีเค้าใช้ แด จัง กึม ซีรี่ย์ดังของเค้า
สื่อทำให้คนดูอยากกินอาหารญี่ปุ่นครับ เราต้องใช้สื่อช่วย สื่อในประเทศไทยนี่ระดับโลกครับ วงการโฆษณา
เราได้รางวัลระดับโลกมาแล้ว คิดดูซิครับสื่อไทยสามารถทำให้ สุเทพโครตโกง เป็นลุงกำนันสุเทพต้านได้
สิ่งที่เราต้องทำให้ได้คือ เราต้องมีแฟรนไชส์ร้านอาหารไทยให้มันฮอตฮิตเหมือนฟูจิที่คนไทยชอบ
แต่ทีนี้เราต้องให้ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน และประเทศในอาเซียนมาชอบอาหารไทย อย่างที่คนไทยชอบอาหารญี่ปุ่น
ส่วนอเมริกากับยุโรป ค่อยเป็นก็อกสอง เพราะตอนนี้เศรษฐกิจตกต่ำอยู่
วิธีการที่เราจะเจาะตลาดนะครับ
การใช้สื่อมี ๒ อย่าง
อย่างแรก การโฆษณา เน้นการยิงนัดเดียวได้สองตัว คือ มาเมืองไทยเพื่อชิมอาหารไทย amazing thai food สิ่งที่
ต้องเน้นอีกอย่างคือ original thai food เบื้องหลังคือต้องใช้วัตถุดิบจากไทยเท่านั้น โฆษณานี้ต้องว่าคนต่างชาติมา
เมืองไทยแล้ว ทานอาหารไทยเค้ารู้สึกยังไง ทำให้คนอื่นอยากมา แล้วต่อรองกับรายการเชฟกระทะเหล็กว่า
ถ้าเค้ามีเชฟกระทะเหล็กอาหารไทย จะอัดโฆษณาให้เค้าเต็มที่
อย่างที่สอง ผมเรียกร้องให้รัฐบาลจ้างเอกชน ผลิตรายการ
ตะลุยหาอาหารไทยในเมืองไทย, รายการเคล็ดลับการทำอาหารไทย, ซีรี่ย์ไทยเกี่ยวกับอาหาร
โดยรายการเหล่านี้รัฐบาลผลิต content ให้ฟรี ให้ประมูลว่าช่องไหนในแต่ละประเทศ จะให้เวลาฉายที่ดีที่สุด
โดยรัฐบาลขอแค่โฆษณา ๑ ครั้งทุกครั้งที่ตัดเข้าโฆษณา
รายการตะลุยหาอาหารให้ทำเหมือนเชฟกระทะเหล็กช่วงค้นหาวัตถุดิบ
ส่วนเคล็ดลับการทำอาหารไทยให้ทำเหมือนช่วง โรงเรียนกระทะเหล็ก
ส่วนซีรี่ย์ไทยเกี่ยวกับอาหารผมแนะนำให้ทำคล้ายการ์ตูนเกี่ยวกับอาหารของญี่ปุ่น มีการไปหาวัตถุดิบ
มีการแข่งทำอาหาร มันจะยั่วให้คนออยากทานมาก เน้นหาวัตถุดิบในประเทศไทยเท่านั้น
หลังจากให้เค้าเสพสื่อแล้ว ก็หาเอกชนลงทุนทำแฟรนไชส์อาหารไทย โดยรัฐบาลจะสนับสนุนเต็มที่
มีข้อแม้อย่างเดียววัตถุดิบต้องซื้อจากไทยเท่านั้น
สิ่งที่เราจะได้คือ คุณค่าของอาหารไทยจะสูงขึ้น ราคาข้าว ราคาเครื่องเทศไทยจะสูงขึ้นเพราะความต้องการที่มากขึ้น
นี่คือกลยุทธ์ Differentiate สินค้า จากการวิธีการแก้ไขปัญหาระยะยาว ผมได้สร้างความแตกต่าง
ให้อาหารไทยทำให้มีคุณค่ามากขึ้น แล้วเป็นกลยุทธ์ที่ทำได้จริง พิสูจน์แล้วโดยร้านอาหารญี่ปุ่นในไทย
โดยเฉพาะฟูจิ นอกจากจะทำให้ข้าวไทยมีมูลค่าสูงขึ้น ยังต่อยอดให้กับชาวสวนที่ปลูกเครื่องเทศอีก
แถมได้โบนัสในการทำให้ชาวต่างชาติอยากเที่ยวไทย