ประเมินขาดทุนทะลุ 5 แสนล้าน “สถาบันคลังสมอง” ชี้ 3 ปีสร่างพิษรับจำนำข้าว

กระทู้สนทนา


สถาบันคลังสมองของชาติ ประเมินโครงการรับจำนำข้าวขาดทุนสูงกว่า 500,000 ล้านบาท ทำไทยแบกสต๊อกข้าวสูง ถูกตลาดโลกกดราคารับซื้อจนราคาข้าวไทยต่ำกว่าราคาข้าวเวียดนาม ทั้งที่ในอดีตมีราคาสูงกว่า มาโดยตลอด คาดใช้เวลา 3 ปีข้าวไทยจึงจะฟื้นตัวได้

นายสมพร อิศวิลานนท์ นักวิชาการอาวุโสสถาบันคลังสมองของชาติ เปิดเผยว่า ประเมินว่าโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา มีมูลค่าการขาดทุนมากกว่า 500,000 ล้านบาท เพราะจากการคำนวณเฉพาะราคาซื้อมาขายไปของโครงการนี้ก็มีส่วนขาดทุนอย่างน้อย 400,000 ล้านบาทอยู่แล้ว เมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายของโครงการข้าวในโกดังที่เสื่อมคุณภาพและด้อยราคาลงไป และข้าวสารที่หายไปอีกเกือบ 3 ล้านตัน จะทำให้มูลค่าการขาดทุนของโครงการรับจำนำข้าวเปลือกสูงกว่า 500,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ รัฐบาลรับจำนำข้าวเปลือกรวม 5 ฤดูกาล มีปริมาณข้าวเปลือกเข้าโครงการรวมประมาณ 56 ล้านตัน สีแปรสภาพแล้วได้เป็นข้าวสารประมาณ 36.4 ล้านตัน ซึ่งข้าวสารของรัฐทั้งหมดนี้มีต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ตันละประมาณ 23,000 บาท แต่ที่ผ่านมาพบว่ากระทรวงพาณิชย์ขายข้าวได้เฉลี่ยตันละประมาณ 12,000 บาท เท่ากับว่าขาดทุนอย่างน้อยตันละ 11,000 บาท คิดเป็นมูลค่าข้าวรับจำนำที่ขาดทุนเฉลี่ยอย่างน้อยอยู่ที่ประมาณ 400,000 ล้านบาท เมื่อบวกด้วยค่าดอกเบี้ยและค่าดำเนินงานรวมปีละประมาณ 45,000 ล้านบาท หรือ 2 ปี รวม 90,000 ล้านบาท บวกด้วยมูลค่าข้าวที่เสื่อมราคา และบวกด้วยมูลค่าข้าวที่หายไปจากโกดัง มูลค่าการขาดทุนจึงสูงกว่า 500,000 ล้านบาท

ส่วนประเด็นข้าวเปลือกที่หายไปจากโครงการประมาณ 3 ล้านตันนั้น ก่อนหน้านี้คณะกรรมการอนุปิดบัญชีฯ ช่วงที่มีนางสาวสุภา ปิยะจิตติ อดีตรองปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน ก็สรุปว่าข้าวหายไป 2.8 ล้านตัน แต่นายยรรยง พวงราช อดีต รมช.พาณิชย์ ชี้แจงว่า ข้าวเปลือกส่วนนี้ไม่ได้หายไป อยู่ระหว่างการส่งมอบ จึงยังไม่ได้บันทึกลงในบัญชี แต่หลังจากกระทรวงการคลังเปลี่ยนตัวประธานคณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ กลับพบว่าตัวเลขข้าวหายก็ยังอยู่ที่ 3 ล้านตัน ใกล้เคียงกับข้อมูลเดิมอยู่ดี

“โครงการนี้เป็นโครงการที่ใช้เงินงบประมาณของรัฐมหาศาล มีผลกระทบกระเทือนไปทั่วประเทศ แต่การดำเนินการกลับไม่โปร่งใส ดูขาดหลักธรรมาภิบาล ข้าวสารในสต๊อกที่ระบุว่า นำไปขายแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ได้จำนวนมากมาย แต่กลับพบว่าที่ขายได้แล้วจริงคือขายให้ประเทศโกตดิวัวร์ หรือไอวอรีโคสต์ ได้ประมาณ 200,000 ตันเท่านั้น ส่วนที่บอกว่าขายจีทูจีให้กับฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และบังกลาเทศก็ไม่เกิดขึ้นจริง ปัญหาโครงการรับจำนำข้าวจึงเหมือนกับช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวปิดไม่มิด”

นายสมพร กล่าวว่า ความเสียหายของอุตสาหกรรมข้าวไทย ที่เกิดขึ้นจากโครงการรับจำนำข้าวเปลือก อาจต้องใช้เวลาฟื้นฟูอย่างน้อย 3 ปี เพราะสร้างปัญหาในหลายด้าน ประการแรก คือ ปริมาณข้าวในสต๊อกรัฐที่มีอยู่สูงมาก และยากที่จะระบายออกได้หมดในเวลาอันรวดเร็ว เพราะหากระบายข้าวออกจากสต๊อกครั้งละมากๆ เช่น ระบายเป็นหลักล้านตัน ก็จะซ้ำเติมให้ราคาข้าวในตลาดตกต่ำ จึงต้องทยอยระบายอย่างต่อเนื่อง วิธีที่ดีที่สุด คือ ระบายผ่านตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (เอเฟท) อาจจะครั้งละ 100,000 -200,000 ตัน เพราะมีความโปร่งใส

ประการที่สอง คือ การที่ปริมาณข้าวในสต๊อกรัฐมีสูงมาก เป็นสาเหตุที่ทำให้ตลาดโลก สามารถกดราคาซื้อข้าวสารจากไทย เห็นได้จากราคาข้าวสารตลาดโลก ณ วันที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมา ราคาข้าวไทยอยู่ที่ตันละประมาณ 380 เหรียญสหรัฐฯ ต่ำกว่าราคาข้าวเวียดนาม ซึ่งอยู่ที่ตันละ 392 เหรียญสหรัฐฯ ทั้งที่ในอดีตที่ผ่านมาข้าวไทยเป็นข้าวที่มีคุณภาพในสายตาตลาดโลก มีราคาสูงกว่าราคาข้าวเวียดนามอย่างน้อยตันละ 50 เหรียญสหรัฐฯ มาโดยตลอด

นายสมพร กล่าวว่า การแก้ปัญหาตลาดข้าวไทยในวันนี้ นอกจากทยอยระบายข้าวในสต๊อกอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้ต่างชาติกดราคาข้าวไทยได้แล้ว จะต้องวางแผนปรับโครงสร้างการผลิตด้วย เพราะยุทธศาสตร์การปลูกข้าวของไทยที่ผ่านมา วางแผนขยายพื้นที่ปลูกจากเดิม 27-28 ล้านไร่ จนปัจจุบันมาอยู่ที่ 37 ล้านไร่ แต่ตลาดข้าวโลกมีปริมาณการซื้อขายคงที่ประมาณปีละ 30 ล้านตันเท่านั้น ดังนั้น ต้องมาวางแผนการเพาะปลูกกันใหม่ ต้องลดพื้นที่ปลูกข้าวลงอย่างน้อย 20% จากพื้นที่ปลูกรวมในปัจจุบัน 37 ล้านไร่ เหลือ 30 ล้านไร่

“วิธีการลดพื้นที่ปลูกข้าวที่ทำได้ทันที คือ ลดพื้นที่ปลูกข้าวนาปรังในเขตชลประทาน ซึ่งผลิตข้าวขาวออกมาเป็นจำนวนมากจนกระทบราคาขาย โดยให้กรมชลประทานลดปริมาณน้ำที่ส่งให้ชาวนาทำนาปรัง”.

ปล. ท้ายที่สุด โครงการนี้ก็ต้องเลิกไป ไม่ใช่โครงการไม่ดี เป็นโครงการที่ดี แต่ไร้กลยุทธ เพราะเล่นกำหนดราคามาลอยๆ แต่ไม่มีมาตรการทางการตลาด และการพัฒนาสินค้า แถมด้วยไม่ดูตาม้าตาเรือ กลไกราคาในตลาดโลก แถมหน้าใหญ่ทำตัวเป็นพ่อค้ารับซื้อข้าวเสียเอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่