บทความนี้เขียนโดน"เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิคไทย" ที่เขียนถึงบทความว่า"ธัญพืชการเมือง" ตาม
http://www.ngthai.com/ArticleDetail.aspx?ArticleId=102#.VKzjVMtGzfo นี้เลย
ธัญพืชการเมือง
ความพยายามในการหาวิธีสร้างหลักประกันราคาข้าวรูปแบบต่างๆของฝ่ายการเมืองทุกรัฐบาล เช่น การประกันราคาข้าว คือการที่รัฐบาลรับซื้อข้าวในราคาประกันให้มากที่สุด การแทรกแซงหรือพยุงราคา คือการที่รัฐบาลรับซื้อข้าวในราคาสูงกว่าราคาตลาดเพื่อดึงราคาในตลาดให้สูงขึ้น และการจำนำข้าว คือการให้ชาวนานำข้าวไปจำนำกับรัฐบาลในราคาไม่ต่ำกว่าราคาตลาด เมื่อใดที่ราคาในตลาดสูงกว่าราคาจำนำ สามารถไถ่ถอนไปขายในตลาดได้ การสร้างหลักประกันราคาข้าวรูปแบบต่างๆดังที่กล่าวมา รัฐบาลแต่ละยุคล้วนผลัดเปลี่ยนใช้กันมาแล้วทั้งสิ้น
โครงการรับจำนำข้าวเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2525 โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) รับจำนำข้าวเปลือกในอัตราดอกเบี้ยต่ำ จูงใจให้ชาวนาชะลอขายข้าวต้นฤดูเก็บเกี่ยว โดยธกส.จะจ่ายเงินจำนำในราคาร้อยละ 80 ของราคาตลาด หรือจ่ายต่ำกว่าตลาด ให้ชาวนามีเงินไปใช้ก่อน แต่ยังไม่ขายข้าว เมื่อข้าวราคาดีก็ให้ชาวนาไถ่ถอนข้าวไปขายได้ แต่ถ้าถึงเวลาชาวนายังไม่มาไถ่ถอน ก็จะยึดข้าวมาขายในตลาดเพื่อนำเงินมาจ่ายคืนให้ธกส.
โครงการรับจำนำข้าวมีพัฒนาการมาเป็นลำดับ จนถึงขนาดทำทั่วประเทศในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2547/48 ตั้งเป้ารับจำนำข้าวเปลือก 9 ล้านตัน โดยรัฐบาลให้ธกส.เป็นผู้จ่ายเงินจำนำข้าว และให้เก็บรักษาข้าว 4.5 ล้านตันไว้ที่ยุ้งฉางของชาวนา หรือสถาบันเกษตรกร ส่วนอีก 4.5 ล้านตันเก็บไว้ที่โรงสีภายใต้การดูแลขององค์การคลังสินค้า (อคส.) กระทรวงพาณิชย์ โดย อคส.จะออกใบรับจำนำข้าวหรือ "ใบประทวน" ให้เกษตรกรนำไปแสดงกับธกส.เพื่อรับเงินจำนำ
แม้โครงการนี้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า
เป็นการบิดเบือนกลไกตลาด เพราะราคาข้าวในตลาดสูงอยู่แล้ว แต่กลับกำหนดราคารับจำนำให้สูงขึ้นไปอีก อีกทั้งแนวปฏิบัติที่ไม่โปร่งใส ไม่ยุติธรรมในการแข่งขันทางการค้า แต่ก็ถูกใจชาวนา ทำให้รัฐบาลสมัยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำหนดให้นโยบายรับจำนำข้าวเป็นนโยบายเร่งด่วน ประกาศรับจำนำข้าวทุกเมล็ดในราคาสูงกว่าตลาด ถึงร้อยละ 40 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 เป็นต้นมา เพื่อยกระดับรายได้และชีวิตความเป็นอยู่ของชาวนา เพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ แต่แล้วรัฐบาลกลับประสบภาวะขาดทุนจนไม่มีเงินจ่ายค่าจำนำข้าวให้ชาวนา ชาวนาต้องเผชิญกับวิกฤติการเงินในครอบครัว เพราะรัฐบาลจ่ายเงินโครงการรับจำนำข้าวฤดูการผลิต 2556/57 (นาปี) ช้ามาร่วม 6 เดือนแล้ว คือตั้งแต่เดือนตุลาคม 2556 จนบัดนี้มีใบประทวนที่ยังไม่ได้รับเงินอยู่ราว 1.4 ล้านราย
การต้องรวบรวมข้าวเพื่อควบคุมราคาในตลาด แต่ควบคุมไม่ได้ เลยขาดทุนกว่า 200,000 ล้านบาท ก่อเกิดหนี้สาธารณะไม่ต่ำกว่าร้อยละ 45 ของรายได้มวลรวมในประเทศ อีกทั้งมีข้าวค้างสต็อกกว่า 18 ล้านตัน ต้องใช้เวลาระบายกว่า 3-4 ปี และถ้าขายเป็นข้าวสารจะได้ราคาเพียงตันละไม่เกิน 10,000 บาท ขณะที่ซื้อข้าวเปลือกมาตันละ 15,000 บาท พอสีเป็นข้าวสารเหลือ 600 กิโลกรัม การพยายามควบคุมตลาดจึงเป็นการทำลายระบบตลาดข้าวไปโดยปริยาย
ในแง่หนึ่ง
โครงการรับจำนำข้าวมีประโยชน์ต่อชาวนา เหมือนการถ่ายเทเงินที่เคยขูดรีดจากชาวนาในสมัยเก็บค่าพรีเมียมข้าวกลับไปให้ชาวนา อย่างไรก็ตาม มีผู้วิเคราะห์ว่าชาวนาที่ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้มีไม่ถึงร้อยละ 50 ของชาวนาทั้งหมด 3.4 ล้านครัวเรือน
"ปัญหาใหญ่กว่าเรื่องเงินจำนำข้าว คือปัญหาที่ดินและหนี้สิน เพราะไทยมีชาวนาต้องเช่าที่ดินทำนาถึงร้อยละ 60 ของทั้งประเทศ ในพื้นที่ชลประทานชาวนาไม่มีที่ดินสูงถึงร้อยละ 80 ถ้าใช้งบประมาณเพียง 1 ใน 4 ของโครงการจำนำข้าว ภายใน 4 ปี จะแก้ปัญหาชาวนาไร้ที่ดินได้ และถ้ามีกองทุนที่ใช้งบปีละ 100,000 ล้านบาท จะแก้ปัญหาชาวนาไร้ที่ดินได้ภายใน 4 ปี" วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ จากมูลนิธิชีววิถี ให้ความเห็น
ปี พ.ศ. 2557 อาจเป็นเพียงจุดเริ่มของวิกฤติข้าวไทย เพราะหลังเปิดเสรีการค้าอาเซียน ข้าวจากพม่า กัมพูชา และเวียดนาม จะเข้าสู่ไทยโดยเสรี ขณะที่ข้าวไทยมีต้นทุนการผลิตสูงมาก ข้าวนาปรังปี พ.ศ. 2556 ในไทยลงทุน 8,711 บาทต่อตัน ขณะที่เวียดนามอยู่ที่ 4,960 บาท หากเปิดเสรีอาเซียนคาดว่า ราคาข้าวในประเทศอาจเหลือไม่เกิน 6,000 บาทต่อตัน
โครงการรับจำนาข้าวที่มีตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ. 2516 เป็นหนึ่งในโครงการ “ประชานิยม” ที่ทุกพรรคการเมืองซึ่งเคยเป็นรัฐบาลล้วนเคยนำมาใช้ เพราะตัวเลขจำนวนชาวนาซึ่งเป็นผู้มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้งเกือบ 18 ล้านคน หรือ 1 ใน 3 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด ทำให้พรรคการเมืองที่ต้องการชนะเลือกตั้งต่างคิดค้นกลยุทธ์ด้านราคาข้าวมาชวนให้เชื่อได้ว่าจะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตชาวนา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคาข้าว การอุดหนุนด้วยการให้กู้เงิน หรือปัจจัยการผลิต โดยต่างเป้าหมายที่จะโกยคะแนนเสียงในการเลือกตั้งเป็นครั้ง ๆ ไป
สิ่งที่เห็นน้อยหรือแทบไม่มีเลยในนโยบายข้าวที่มาจากฝ่ายการเมือง อาทิ การส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้เพื่อเพิ่มศักยภาพและอำนาจต่อรอง การปกป้องสิทธิของชาวนา สวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิตการใช้เคมีเกษตร การคุ้มครองเมล็ดพันธุ์และพื้นที่ผลิตอาหารหรือนาข้าว การส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อพึ่งตนเอง ลดการพึ่งพาภายนอก ลดต้นทุนการผลิต พัฒนาทักษะและเทคนิคทางการเกษตร ไปจนถึงการฟื้นฟูประเพณีที่เกี่ยวกับข้าว ทั้งหมดนี้ไม่ปรากฏในนโยบายการเมืองเรื่องข้าว
#ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย
บทความเรื่อง"อนาคตข้าวไทย จากนโยบายจำนำข้าว"
ธัญพืชการเมือง
ความพยายามในการหาวิธีสร้างหลักประกันราคาข้าวรูปแบบต่างๆของฝ่ายการเมืองทุกรัฐบาล เช่น การประกันราคาข้าว คือการที่รัฐบาลรับซื้อข้าวในราคาประกันให้มากที่สุด การแทรกแซงหรือพยุงราคา คือการที่รัฐบาลรับซื้อข้าวในราคาสูงกว่าราคาตลาดเพื่อดึงราคาในตลาดให้สูงขึ้น และการจำนำข้าว คือการให้ชาวนานำข้าวไปจำนำกับรัฐบาลในราคาไม่ต่ำกว่าราคาตลาด เมื่อใดที่ราคาในตลาดสูงกว่าราคาจำนำ สามารถไถ่ถอนไปขายในตลาดได้ การสร้างหลักประกันราคาข้าวรูปแบบต่างๆดังที่กล่าวมา รัฐบาลแต่ละยุคล้วนผลัดเปลี่ยนใช้กันมาแล้วทั้งสิ้น
โครงการรับจำนำข้าวเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2525 โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) รับจำนำข้าวเปลือกในอัตราดอกเบี้ยต่ำ จูงใจให้ชาวนาชะลอขายข้าวต้นฤดูเก็บเกี่ยว โดยธกส.จะจ่ายเงินจำนำในราคาร้อยละ 80 ของราคาตลาด หรือจ่ายต่ำกว่าตลาด ให้ชาวนามีเงินไปใช้ก่อน แต่ยังไม่ขายข้าว เมื่อข้าวราคาดีก็ให้ชาวนาไถ่ถอนข้าวไปขายได้ แต่ถ้าถึงเวลาชาวนายังไม่มาไถ่ถอน ก็จะยึดข้าวมาขายในตลาดเพื่อนำเงินมาจ่ายคืนให้ธกส.
โครงการรับจำนำข้าวมีพัฒนาการมาเป็นลำดับ จนถึงขนาดทำทั่วประเทศในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2547/48 ตั้งเป้ารับจำนำข้าวเปลือก 9 ล้านตัน โดยรัฐบาลให้ธกส.เป็นผู้จ่ายเงินจำนำข้าว และให้เก็บรักษาข้าว 4.5 ล้านตันไว้ที่ยุ้งฉางของชาวนา หรือสถาบันเกษตรกร ส่วนอีก 4.5 ล้านตันเก็บไว้ที่โรงสีภายใต้การดูแลขององค์การคลังสินค้า (อคส.) กระทรวงพาณิชย์ โดย อคส.จะออกใบรับจำนำข้าวหรือ "ใบประทวน" ให้เกษตรกรนำไปแสดงกับธกส.เพื่อรับเงินจำนำ
แม้โครงการนี้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นการบิดเบือนกลไกตลาด เพราะราคาข้าวในตลาดสูงอยู่แล้ว แต่กลับกำหนดราคารับจำนำให้สูงขึ้นไปอีก อีกทั้งแนวปฏิบัติที่ไม่โปร่งใส ไม่ยุติธรรมในการแข่งขันทางการค้า แต่ก็ถูกใจชาวนา ทำให้รัฐบาลสมัยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำหนดให้นโยบายรับจำนำข้าวเป็นนโยบายเร่งด่วน ประกาศรับจำนำข้าวทุกเมล็ดในราคาสูงกว่าตลาด ถึงร้อยละ 40 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 เป็นต้นมา เพื่อยกระดับรายได้และชีวิตความเป็นอยู่ของชาวนา เพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ แต่แล้วรัฐบาลกลับประสบภาวะขาดทุนจนไม่มีเงินจ่ายค่าจำนำข้าวให้ชาวนา ชาวนาต้องเผชิญกับวิกฤติการเงินในครอบครัว เพราะรัฐบาลจ่ายเงินโครงการรับจำนำข้าวฤดูการผลิต 2556/57 (นาปี) ช้ามาร่วม 6 เดือนแล้ว คือตั้งแต่เดือนตุลาคม 2556 จนบัดนี้มีใบประทวนที่ยังไม่ได้รับเงินอยู่ราว 1.4 ล้านราย
การต้องรวบรวมข้าวเพื่อควบคุมราคาในตลาด แต่ควบคุมไม่ได้ เลยขาดทุนกว่า 200,000 ล้านบาท ก่อเกิดหนี้สาธารณะไม่ต่ำกว่าร้อยละ 45 ของรายได้มวลรวมในประเทศ อีกทั้งมีข้าวค้างสต็อกกว่า 18 ล้านตัน ต้องใช้เวลาระบายกว่า 3-4 ปี และถ้าขายเป็นข้าวสารจะได้ราคาเพียงตันละไม่เกิน 10,000 บาท ขณะที่ซื้อข้าวเปลือกมาตันละ 15,000 บาท พอสีเป็นข้าวสารเหลือ 600 กิโลกรัม การพยายามควบคุมตลาดจึงเป็นการทำลายระบบตลาดข้าวไปโดยปริยาย
ในแง่หนึ่ง โครงการรับจำนำข้าวมีประโยชน์ต่อชาวนา เหมือนการถ่ายเทเงินที่เคยขูดรีดจากชาวนาในสมัยเก็บค่าพรีเมียมข้าวกลับไปให้ชาวนา อย่างไรก็ตาม มีผู้วิเคราะห์ว่าชาวนาที่ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้มีไม่ถึงร้อยละ 50 ของชาวนาทั้งหมด 3.4 ล้านครัวเรือน
"ปัญหาใหญ่กว่าเรื่องเงินจำนำข้าว คือปัญหาที่ดินและหนี้สิน เพราะไทยมีชาวนาต้องเช่าที่ดินทำนาถึงร้อยละ 60 ของทั้งประเทศ ในพื้นที่ชลประทานชาวนาไม่มีที่ดินสูงถึงร้อยละ 80 ถ้าใช้งบประมาณเพียง 1 ใน 4 ของโครงการจำนำข้าว ภายใน 4 ปี จะแก้ปัญหาชาวนาไร้ที่ดินได้ และถ้ามีกองทุนที่ใช้งบปีละ 100,000 ล้านบาท จะแก้ปัญหาชาวนาไร้ที่ดินได้ภายใน 4 ปี" วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ จากมูลนิธิชีววิถี ให้ความเห็น
ปี พ.ศ. 2557 อาจเป็นเพียงจุดเริ่มของวิกฤติข้าวไทย เพราะหลังเปิดเสรีการค้าอาเซียน ข้าวจากพม่า กัมพูชา และเวียดนาม จะเข้าสู่ไทยโดยเสรี ขณะที่ข้าวไทยมีต้นทุนการผลิตสูงมาก ข้าวนาปรังปี พ.ศ. 2556 ในไทยลงทุน 8,711 บาทต่อตัน ขณะที่เวียดนามอยู่ที่ 4,960 บาท หากเปิดเสรีอาเซียนคาดว่า ราคาข้าวในประเทศอาจเหลือไม่เกิน 6,000 บาทต่อตัน
โครงการรับจำนาข้าวที่มีตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ. 2516 เป็นหนึ่งในโครงการ “ประชานิยม” ที่ทุกพรรคการเมืองซึ่งเคยเป็นรัฐบาลล้วนเคยนำมาใช้ เพราะตัวเลขจำนวนชาวนาซึ่งเป็นผู้มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้งเกือบ 18 ล้านคน หรือ 1 ใน 3 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด ทำให้พรรคการเมืองที่ต้องการชนะเลือกตั้งต่างคิดค้นกลยุทธ์ด้านราคาข้าวมาชวนให้เชื่อได้ว่าจะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตชาวนา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคาข้าว การอุดหนุนด้วยการให้กู้เงิน หรือปัจจัยการผลิต โดยต่างเป้าหมายที่จะโกยคะแนนเสียงในการเลือกตั้งเป็นครั้ง ๆ ไป
สิ่งที่เห็นน้อยหรือแทบไม่มีเลยในนโยบายข้าวที่มาจากฝ่ายการเมือง อาทิ การส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้เพื่อเพิ่มศักยภาพและอำนาจต่อรอง การปกป้องสิทธิของชาวนา สวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิตการใช้เคมีเกษตร การคุ้มครองเมล็ดพันธุ์และพื้นที่ผลิตอาหารหรือนาข้าว การส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อพึ่งตนเอง ลดการพึ่งพาภายนอก ลดต้นทุนการผลิต พัฒนาทักษะและเทคนิคทางการเกษตร ไปจนถึงการฟื้นฟูประเพณีที่เกี่ยวกับข้าว ทั้งหมดนี้ไม่ปรากฏในนโยบายการเมืองเรื่องข้าว
#ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย