[SR] รีวิว - Bacpack ยุโรป 13 วัน: London - Paris - Lyon - Milan - Venice - Florence - Rome Part1

สวัสดีครับทุกคน
ครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ได้ไปเที่ยวยุโรปแบบคิดเอง ไปเอง ทุกอย่าง ก่อนหน้านี้ก็เคยไปเที่ยวกับทัวร์มาแล้วสองครั้ง คือ เส้นทางสายหลักของนักท่องเที่ยวไทย : อิตาลี สวิส ฝรั่งเศส และคร้งที่สองไป East Europe ในครั้งนี้เป็นการไปเที่ยวหลังเรียนจบ จึงลากพาเพื่อนๆไปรวมกันสี่คน และด้วยทุกคนยังไม่เคยไปยุโรป เลยขอจัดทริปไปประเทศที่เคยไปมาแล้วคือฝรั่งเศส และอิตาลี และแถมเพิ่มอังกฤษมาอีกประเทศนึง จึงขอเริ่มรีวิวการเที่ยวเอง คิดเองไว้ตอนนี้เลยนะครับ

ทริปในครั้งนี้เน้นดูสิ่งที่แต่ละเมืองควรดู พร้อมกับ ชมงานศิลปะและละคร รวมถึงดนตรีตลาสสิคต่างๆ(เป็นสิ่งที่ชอบส่วนตัวนะครับ)เป็นหลัก สำหรับเรื่องชอปปิ้งเนี่ย เป็นสิ่งที่ทำให้เพื่อนๆได้ไปชอป ในการรีวิวครั้งนี้จึงขอพูดถึงในแง่มุมของนักท่องเที่ยวที่ไปชมเมืองเป็นหลักนะครับ

แรกเริ่มเลยต้องทำ VISA สองที่นะครับ เพราะ อังฤษ ไม่ได้รวมกับVISA เชงเก้น ทำให้จำเป็นต้องมี VISA สองที่ โดยการทำ VISA นั้นจะต้องการหลักฐานคล้ายๆกัน ก็ทั่วๆไปแหละครับ คือหลักฐานแสดงตัว หลักซานทางการเงิน รูปถ่าย และที่สำคัญ เอกสารพวกการจองโรงแรม การจองตั๋วเครื่องบิน และรายการท่องเที่ยว รวมไปถึงพวกตั๋วรถไฟที่จะไปเมืองต่างๆ และก็สำหรับทริปนี้ มีการจองการดูละครด้วย ก็ปริ้นใบจองให้เขาไป น่าจะช่วยให้ได้ง่ายยิ่งขึ้นนะครับ

การทำ VISA อังกฤษ ให้กรอกข้อมูลผ่าน web นะครับ แล้วไปทำตรงตึกแถวราชดำริ โดยต้องนัดวันไปทำก่อน ค่าทำประมาณ 4,000 กว่า เสียในเว็บไปเลย ตอนไปทำก็ไม่ถามอะไรมากครับ เตรียมเอกสารให้พร้อม รอประมาณ 7-10 วันทำการก็ได้แล้ว ส่วนของเชงเก้น ผมไปทำกับฝรั่งเศส เพราะเข้าเป็นประเทศแรก ที่นี่ไปทำกับศูนย์รับทำ tfl ที่สาทรครับ ค่อนข้างละเอียดพอสมควร ถามเยอะ ใช้เวลาประมาณ 5 วันทำการถ้าคนไม่เยอะและเอกสารไม่มีปํญหาอะไรครับ

ส่วนเรื่องเครื่องบินไปกับ EGYPT AIR ครับ เครื่องออกจากไทยเวลาประมาณ 00.30 น(เช้าของวันเสาร์ที่ 1 มีนาคม) ไป transit ที่สนามบิน Cairo ประมาณ 2 ชม ก่อนบินต่อไปถึง Heathrow airport ที่ London ไปถึงประมาณ 12.30 ของวันที่ 1 มีนาครับ



สำหรับเรื่องการบินและอาหารของ Egypt air นั้น ก็เป็นแบบสายการบินตะวันออกกลางครับ คือกลางๆ อาหารแบบแขก กินพอได้ ส่วนตัวรู้สึกเฉยๆแต่บางคนไม่ชอบ ลางเนื้อชอบลางยาครับ ข้อดีคือบินไปถึงเป็นเวลาที่กำลังดี ไม่รู้สึก jet lag เลยครับ ราคาไปกลับ Bkk-London และ Rome-Bkk จองได้ราคา 34,000 ถือว่าไม่ถูกนักสำหรับสายการบินตะวันออกกลาง ที่แม้จองก่อนเดินทางนานมากๆ แต่ถ้าแลกมากับการเวลาการเดินทางที่ค่อนข้างสบาย ถือว่าใช้ได้เลยครับ เครื่องของสายการบินนี้ ขาเดินทางไป London ก็ไม่เก่ามากนัก แต่สำหรับขากลับไว้จะรีวิวให้ฟังอีกทีหนึ่งครับ

Day1
เดินทางมาถึงสนามบิน Heathrow เวลาประมาณ 12.30 อากาศกำลังดีครับ ไม่หนาวเกินไป แดดอุ่นๆทำให้การปรับตัวไม่ลำบากนัก เครื่องลงที่ Terminal 3 ครับ ก่อนเครื่องลง บนเครื่องเขาจะแจกใบเข้าประเทศให้ครับ ก็กรอกไปตามนั้นเลยครับ ในส่วนของสนามบินสุดท้ายที่เราออกมา ก็ให้กรอก Cairo International airport ไปครับ ส่วนรายละเอียดที่เหลือก็เป็นข้อมูลทั่วๆไป พอเราเดินมาถึง Immigration ก็เดินไปฝั่งที่เป็น non-EU แล้วก็ยื่นใบนี้กับ passport ให้เขาไปครับ จะต้องกดลายนิ้วมือด้วยนะครับ เพราะตอนเราไปทำ Visa เขาก็จะเก็บข้อมูลลายนิ้วมือเรา ขั้นตอนไม่ยุ่งยากครับ เจ้าหน้าที่เขาถามแค่ว่ามาทำอะไร ก็ตอบไปว่ามาท่องเที่ยว ไม่นานเราก็เข้าพรมแดนอังกฤษได้สบายๆครับ

สำหรับการเดินทางในเมือง London นั้น แนะนำให้ใช้รถไฟใต้ดิน หรือที่ชาวอังกฤษรู้จักกันว่า Tube ไม่แปลกใจเลยครับที่เรียกเช่นนั้น เพราะระบบรถไฟใต้ดินของอังกฤษนี่ดีมากๆ มีทางเชื่อมต่อมากมาย เหมือนเป็นเมืองอีกเมืองหนึ่งที่อยู่ใต้มหานครนี้เลยทีเดียวครับ สำหรับผมการเดินทางออกจากสนามบิน Heathrow มีหลายทางเลือกนะครับ เช่น รถไฟใต้ดิน รถไฟ รถ taxi แต่สิ่งที่คิดว่าสะดวกที่สุดคือเจ้า tube นี่แหละครับ
โดย tube ที่สนามบินสามารถขึ้นได้จากสถานี terminal 1,2,3 มุ่งหน้าตรงสู่ใจกลางเมืองได้เลยครับ สำหรับทางเดินไปสถานีนั้น ไม่ลำบากเลยครับ เพราะมีป้ายบอกตลอดทาง เดินตามป้ายไปเรื่อยๆครับ อาจจะไกลหน่อย สำหรับคนที่เอากระเป่าเดินทางขนาดใหญ่และหนักมาด้วย อาจลำบากบ้าง แต่ผมก็ใช้กระเป๋าลากขนาด 28” หนักประมาณ 20 kg ก็ถือว่าโอเคนะครับ ไม่เหนื่อยมาก พอมาถึงบริเวณสถานีรถไฟใต้ดิน ที่นี่แนะนำให้ลองฝึกซื้อตั๋วและใช้บัตรดูนะครับ โดยทั่วไปบัตรจะมีสองแบบคือ
1)    บัตร Oyster Card หรือที่คนไทยเรียกบัตรหอย (เพราะจากชื่อมันเนี่ยแหละครับ) บัตรนี้จะมีลักษณะเป็นบัตรที่สามารถเติมเงินเข้าไปได้ และราคาค่ารถไฟแต่ละเที่ยวจะถูกกว่าปกติ โดยราคาแต่ละเที่ยวขึ้นกับการเดินทางว่าไป zone ใดของ London และเวลาใด เช่นถ้าเดินทางจาก zone 1-6 ก็จะแพงกว่าแค่ใน zone1 หรือเดินทางช่วงเวลา peak(ประมาณตีสี่ถึงเก้าโมงกว่าของวันทำงาน) ราคาก็จะแพงกว่าเวลานอกจากนั้น ซึ่งต้องทำการเติมเงินก่อนที่จะขึ้น ถ้าเงินไม่พอมันจะบอกครับ วิธีใช้คล้ายกับบัตรรถไฟใต้ดินบ้านเราเลยครับ คือวางแปะแล้วประตูจะเปิดออก ในบัตรแบบนี้สามารถซื้อบัตรครั้งเดียวได้ และใช้ได้หลายวัน จนวันที่จะออกจากอังกฤษ จึงค่อยแลกบัตรคืนครับ แนะนำบัตรแบบนี้สำหรับคนที่ไม่ได้เดินทางเยอะมากนัก แต่ถ้าไม่รู้อะไร ไม่แน่ใจการเดินทางของตัวเอง เช่นหลงบ่อยๆ แนะนำซื้อบัตรอีกแบบดีกว่าครับ
2)    บัตร One-day travelcard เป็นบัตรกระดาษ วิธีใช้เหมือนบัตรรถไฟฟ้าบ้านเราครับ เสียบเข้าไปแล้วดึงบัตรออก ประตูจะเปิด โดยบัตรแบบนี้จะใช้ขึ้นรถไฟใต้ดิน, รถไฟ, รถบัส ได้ไม่จำกัดจำนวนเที่ยว แต่ต้องเป็นไปตาม zone และ เวลาที่กำหนดไว้ตามบัตร ซึ่งราคาก็จะแตกต่างกันไปครับ ข้อดีคือใช้ได้เรื่อยๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะหลง
สรุปผมเลือกซื้อ one-day travelcard zone1-6 สำหรับการเดินทางวันแรก วันที่ผมไปถึงเป็นวันเสาร์จึงไม่มีให้เลือกเรื่องเวลา ว่าเป็น peak หรือ off-peak ที่เลือก zone1-6 เพราะสนามบิน Heathrow นั้นอยู่ใน zone6 ราคาประมาณ 8 GBP ส่วนการซื้อนั้น สามารถซื้อได้จากกดที่ตู้ หรือจะไปซื้อกับเจ้าหน้าที่เลยโดยตรงเลยก็ได้ครับ

เสร็จแล้วก็เดินไปรถไฟใต้ดินครับ เลือกประตูสำหรับคนพิการจะได้ง่ายต่อการลากกระเป๋าครับ สถานีรถไฟใต้ดินส่วนใหญ่จะมีบันไดเลื่อน หรือลิฟต์ เพื่อช่วยเหลือคนพิการ บ้านเมืองเขาถือว่า support คนทุกกลุ่มดีมากๆครับ

รถไฟใต้ดินที่ออกจากสนามบินจะเป็นสาย Picadilly Line ครับ วิ่งเข้าสู่ใจกลางเมืองเลย เพราะต้นสายอยู่ที่นี่ แนะนำให้ศึกษาแผนที่รถไฟใต้ดินถึงสถานีที่จะเดินทางไป หรือโหลด app ในโทรศัพท์มาใช้ก็ดีมากๆครับ หาเส้นทางให้เราได้ด้วย พอขึ้นรถไฟ ในช่วงแรกจะยังไม่ค่อยมีคนครับ หาที่วางกระเป๋าได้ง่าย จะมีสัญลักษณ์อยู่แถวๆใกล้ประตู วางแล้วก็นั่งที่นั่งข้างๆนั้นเลย ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีที่วางครับ แต่ให้กังวลว่าพอถึงสถานีกลางๆเมือง คนจะเข้ามาเยอะแล้วจะมานั่งบนกระเป๋าของเราดีกว่า
สำหรับที่พักผมอยู่ที่บริเวณสถานี Swiss Cottage ต้องเปลี่ยนสายที่สถานี Baker Street ครับ เมื่อลงที่สถานีเพื่อเปลี่ยนสายแล้ว ให้เดินตามทางไปยังสายที่เราจะไปครับ เช่นผมจะไปสาย Jubilee Line ให้เดินตามป้ายไปเรื่อยๆครับ ไม่หลงแน่นอน เพราะป้ายเยอะมาก แต่อย่างไรก็ตาม อาจเสียเวลายกกระเป๋าขึ้นลงลิฟต์หน่อย พอไปถึงสถานี ให้ดูป้ายว่าทิศทางรถไฟไปทางไหนครับ โดยส่วนมากจะมีป้ายบอกสถานีที่รถไฟจะวิ่งไปก่อนจะเดินลงไปที่ชานชาลาอยู่แล้วครับ และเมื่อยืนรอที่ชานชาลาแล้ว ก็จะมีป้ายอยู่หน้าเราเลยครับ ว่ารถไฟนี้จะวิ่งไปที่ที่เราต้องการหรือไม่ครับ คราวนี้การขึ้นรถไฟอาจจะลำบากมากขึ้นครับ เพราะคนจะเยอะพอสมควร แต่เขาจะพยามหลบเรา เพราะเข้าใจว่าเราเป็นนักท่องเที่ยวครับ
พอเดินลงจากสถานีก็เดินไปที่ที่พักของผมครับ เสร็จแล้วก็ check-in ที่พัก โดยผมอยู่แบบ hostel ชื่อ Palmers Lodge Swiss Cottage Hostel (Review โรงแรมไปอ่านได้ใน Booking.com นะครับ) หลังจากเข้าเก็บของในห้องพักแล้วก็เตรียมตัวออกเดินทางไปเที่ยวในวันแรกครับ: British Museum

เดี๋ยวมาต่อนะครับ





ชื่อสินค้า:   เที่ยวยุโรป
คะแนน:     
**SR - Sponsored Review : ผู้เขียนรีวิวนี้ไม่ได้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง แต่มีผู้สนับสนุนสินค้าหรือบริการนี้ให้แก่ผู้เขียนรีวิว โดยที่ผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนอื่นใดในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่