บทความทุกตอนคลิกที่นี้......................
ตอนที่ 20 หาดใหญ่สงขลากับหมุดการท่องเที่ยวระดับโลก - รถไฟฟ้าโมโนเรลในอนาคต
จริงๆแล้ว บทความตอนนี้ จะเป็นบทความที่เป็นภาคต่อของบทความในตอนที่ 10   และเหตุที่ตั้งชื่อบทความนี้ ว่า รถไฟฟ้าโมโนเรลในอนาคต  นั่นก็เพื่อ การขยายปริมาณผู้โดยสารรถไฟฟ้าโมโนเรล  ทั้ง 3 สี ให้เต็มศักยภาพได้ในอนาคตนั่นเอง   รถไฟฟ้าโมโนเรล  1 ทาง  สามารถให้รถไฟฟ้าทั้ง 3 สี คือ แดง ม่วง และน้ำเงิน  มาใช้เส้นทางเดียวกันได้  โดยเฉพาะ    ตามรูปข้างล่างนั่นคือ  ตั้งแต่จุด A  ตรงโครงการ  MR-map  ผ่านสนามบินนานาชาติหาดใหญ่  จนถึง 3 แยก คอหงส์   ซึ่งนี้ก็คือ  "แกนกลางของเมืองหาดใหญ่"
 
จากรูปข้างบน ซึ่งเป็นรูปที่เอามาจากบทความในตอนที่ 10     เราจะเห็นถึงสิ่งที่เรียกว่า  "ภูมิเศรษฐศาสตร์"   หรือก็คือ  การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง ภูมิศาสตร์  กับเศรษฐศาสตร์  ของเมืองหาดใหญ่     ซึ่งสามารถสรุปได้อย่างชัดเจน    กล่าวคือ หาดใหญ่จะมีลักษณะที่เรียกว่า  "1 แกน 3 ปีก"    สามารถอธิบายได้เพิ่มเติมดังนี้
1 แกน  คือ  เส้นทางที่ผ่านใจกลางเมือง  จากรูปข้างบนคือ   จุด A ที่จะเชื่อมต่อกับโครงการมอเตอร์เวย์  ภายใต้ชื่อ MR-map        จุด B คือ สนามบินนานาชาติหาดใหญ่          จุด C   คือ สถานีรถไฟกลางหาดใหญ่       จนสิ้นสุดที่ 3 แยกคอหงส์   นี้คือแกนกลางของเมืองอย่างแท้จริง   ที่รถไฟฟ้าโมโนเรลทุกสี  จะต้องวิ่งผ่าน    ส่วน อีก 3 ปีกคือ
ปีกที่ 1 คือ  ส่วนหนึ่งของรถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีม่วง   ซึ่งปีกที่ 1 จะเริ่มจากจุดแยกเส้นทางที่ บริเวณวงเวียนน้ำพุหาดใหญ่  ไปจุดถึงทะเลสาบสงขลา บริเวณแหลมโพธิ์  และอาจจะต่อขยายไปจนถึง เทศบาลเมืองควนเนียง  บางเหรียง  และ ปากพยูน   จุดที่สำคัญของเส้นทางนี้คือ  ทะเลสาบสงขลา  ที่สามารถชี้เป็นชี้ตายได้ว่า  หาดใหญ่สงขลา  จะเป็นแหล่งการท่องเที่ยวระดับโลกได้หรือไม่
ปีกที่ 2  คือ  ส่วนหนึ่งของรถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีน้ำเงิน   ซึ่งปีกที่ 2 จะเริ่มจาก 3 แยกคอหงส์  ไปจนถึงหาดชลาทัศน์ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ  ความสำคัญของ ปีกที่ 2 นี้ คือ  เป็นรถไฟฟ้าโมโนเรลที่เชื่อมต่อ มหานคร 2 มหานครเข้าด้วยกัน  นั่นคือ เทศบาลนครหาดใหญ่  และเทศบาลนครสงขลา
ปีกที่ 3 คือ  ส่วนหนึ่งของรถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีแดง  ซึ่งปีกที่ 3 นี้  จะเริ่มนับตั้งแต่ 3 แยกคอหงส์  ไปจนสุดเส้นทาง  อาจจะยาวไปถึงพะตง  และเส้นทางนี้ มีการศึกษาแล้วว่า คุ้มค่ามากที่สุด   และมีอัตราการเจริญเติมโตทางเศรษฐกิจที่สูงมาก
 
และในบทความนี้คือ บทความที่ 20 ที่ผู้เขียนขอตั้งชื่อบทความว่า รถไฟฟ้าโมโนเรลในอนาคต  ซึ่งผู้เขียนต้องการสื่อว่า   หากในอนาคต  อีกสัก 10 ปีข้างหน้า  20 ปีข้างหน้า  หรือ 50 ปีข้างหน้า  เมืองหาดใหญ่สงขลา  อาจจะมีความเจริญขึ้น  มีผู้คนมากขึ้น  ซึ่งจะส่งผลทำให้มีความต้องการในการเดินทางที่เพิ่มมากขึ้น  ซึ่งจะต้องเพิ่มความถี่ของขบวนรถ  และในปัจจุบัน  ค่าความถี่ของขบวนรถสูงสุดจะอยู่ที่  2.40 นาที/ขบวน    และสามารถเพิ่มจำนวนตู้โดยสารจาก 4 ตู้ เป็น 8 ตู้โดยสาร      โดยสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 1,436 คนต่อขบวน  ซึ่งเป็นค่าสูงสุด ที่รถไฟโมโนเรลทำได้ในปัจจุบัน   และตัวอย่างของระบบรถไฟฟ้าโมโนเรลที่เกิดขึ้นจริงแล้ว คือ โมโนเรลสายสีเหลือง และสายสีชมพู ในกรุงเทพมหานคร    
 
และด้วยข้อสมมุติฐานที่ว่า  ในอีก  50 ปีข้างหน้า   เมืองหาดใหญ่สงขลาจะเจริญขึ้น มีผู้คนมากขึ้น    ระบบโมโนเรลทั้ง 3 สี จะเพียงพอต่อการโดยสารหรือไม่  เป็นคำถามที่ผู้เขียนก็ได้คิดหาคำตอบไว้บ้างแล้ว      นั่นคือ ระบบโมโรเรล  ถือได้ว่าเป็นระบบการโดยสาร  "แบบรอง"  แต่ถึงจะเป็นระบบแบบรอง  ก็สามารถขนส่งผู้คนได้เป็นจำนวนมาก   อีกทั้ง เมืองหาดใหญ่สงขลา  ยังมีรถไฟชานเมืองสายสีแดงหาดใหญ่ตามรูปข้างบน   ที่ถือว่าเป็นระบบการขนส่งหลักเทียบเท่า BTS และ MRT ในกทม.     ดังนั้นจึงไม่น่ากังวลใจมากนัก   แต่ทว่าเรื่องที่น่ากังวลใจที่สุดกลับเป็น  "ความถี่"  ของขบวนรถไฟฟ้าโมโนเรล  นั้นเพราะ ด้วยลักษณะของ   "ภูมิเศรษฐศาสตร์"  ของเมืองหาดใหญ่ ที่เป็นลักษณะ  (1 แกน  3 ปีก)  ตามข้อมูลข้างต้น     เพราะเมื่อเพิ่มจำนวนขบวนรถโมโนเรลไปเรื่อยๆ  เราจะพบว่า  ความจุของสายทางโมโนเรลในส่วนของ  "แกนกลางของเมือง"   นั้นคือ จากสนามบินนานาชาติหาดใหญ่ ถึง 3 แยกคอหงส์  จะเริ่มเต็มความจุเส้นทางก่อนใคร หรือที่เรียกว่าเต็ม  capacity  เพราะในแกนกลางของเมือง  จะมีรถไฟโมโนเรล ถึง 3 สี  ในขณะที่ ส่วนที่ไม่ใช่แกนกลางของเมืองกลับมีความจุเส้นทางเหลือ   ดังนั้นแล้ว  เราจะแก้ไขปัญหานี้ได่อย่างไร   เพื่อให้เส้นทางโมโนเรลทุกเส้น  ทุกช่วงการเดินทางมีความจุขบวนรถเต็มศักยภาพให้ได้มากที่สุด
 
แนวทางแก้ปัญหาที่ 1    ให้เพิ่มรางโมโนเรลในแกนกลางของเมือง  จาก 2 ราง เป็น 4 ราง      ...ซึ่งแนวทางนี้  ในความคิดเห็นของผู้เขียน  เป็นแนวทางที่มีปัญหาอย่างมาก   เพราะจะทำให้การออกแบบสถานี  และระบบรางมีความยุ่งยาก  อีกทั้งยังยากต่อการบำรุงรักษาขบวบนรถ   และที่สำคัญหากใช้แนวทาง 4 รางที่ว่านี้  ตัวรางโมโนเรล จะต้องมีการเลี้ยวเบี่ยงซ้าย  เบี่ยงขวา  เพื่อเข้าจอดในทุกสถานี  จะทำให้ขบวนรถส่ายไปส่ายมา  ไม่มีความเสถียร   นอกจากจะทำให้อายุการใช้งานของขวบนรถสั้นลงแล้ว  ยังทำให้เกิดความไม่สบายตัวกับผู้โดยสารอีกด้วย  แม้ว่า ความสามารถของระบบโมโนเรล  คือการเลี้ยวได้ในมุมแคบๆ  และสามารถขึ้นทางลาดหรือลงทางลาดชันๆได้  แต่ก็จะต้องแลกมากับ ความโครงเครงของขบวนรถ    และจริงๆแล้ว โมโนเรลของหาดใหญ่ ไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถข้อนี้ของระบบโมโนเรลก็ได้   เพราะหาดใหญ่ไม่ได้มีระบบรถไฟฟ้า และทางด่วนที่วุ่นวายแบบกทม.  ที่ตัวระบบโมโนเรล  โดยเฉพาะสายสีเหลืองในกทม.   ที่มีการขึ้นเนิน  ลงเนิน  มุดลอดทางด่วน  เลี้ยวหักศอก  หากลองศึกษาระบบของโมโนเรลสายสีเหลืองในกทม. จะเข้าใจ  เพราะรางเหมือนรถไฟเหาะจริงๆ   ดังนั้นแล้ว ระบบโมโนเรลของหาดใหญ่  ควรออกแบบรางให้ตรงที่สุด  และมีความลาดชันน้อยที่สุด  เพื่อให้การเดินทางของตัวรถโมโนเรลราบเรียบ นิ่มนวลให้ได้มากที่สุด  ทั้งนี้  และทั้งนั้น   ก็เพื่อความสบายตัวของผู้โดยสาร   เพื่อการก่อสร้างที่ง่าย  และการถนอมตัวรถให้ใช้ได้นานๆ
 
แนวทางแก้ปัญหาที่ 2     เพิ่มขบวนรถแบบทับซ้อนเส้นทาง  เพื่อเพิ่มความถี่ในการเดินรถ      แนวทางนี้ในความเห็นของผู้เขียนคิดว่า    เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพกว่ามากๆ    แต่อาจจะต้องอธิบายยาวซักหน่อย        เริ่มจากสมมุติฐานที่ว่า  อีก 50 ปีข้างหน้า  ผู้โดยสารมากขึ้นเรื่อยๆ  ทางรถไฟโมโนเรลทั้ง 3 สี ก็จะมีการก่อสร้างส่วนต่อขยายไปเรื่อยๆ   และมีการเพิ่มขบวนรถไฟโมโนเรลทั้ง 3 สีไปเรื่อยๆ  ซึ่งก็จะทำให้เส้นทางตรงแกนกลางของเมืองเต็มความจุ  ด้านขบวนรถก่อนใคร  ดังนั้น สิ่งที่เราจะสร้างคือ  ขบวนรถสีม่วงสาย 2     ขบวนรถสีน้ำเงินสาย 2  และ  ขบวนรถสีแดงสาย 2    มาถึงตรงนี้  คงต้องขยายความกันหน่อยแล้ว
ขบวนรถสีม่วงสาย 1       รถไฟโมโนเรลนี้ จะวิ่งจากทะเลสาบสงขลาจนถึงสนามบินนานาชาติหาดใหญ่
ขบวนรถสีน้ำเงินสาย 1    รถไฟโมโนเรลนี้ จะวิ่งจากหาดชลาทัศน์จนถึงสนามบินนานาชาติหาดใหญ่
ขบวนรถสีแดงสาย 1       รถไฟโมโนเรลนี้ จะวิ่งจากบ้านพรุถึงสนามบินนานาชาติหาดใหญ่
ขบวนรถสีม่วงสาย 2       รถไฟขบวนนี้จะหยุดและกลับรถที่ วงเวียนน้ำพุหาดใหญ่
ขบวนรถสีน้ำเงินสาย 2    รถไฟโมโนเรลขบวนนี้จะหยุดและกลับรถที่ 3 แยกคอหงส์
ขวบนรถสีแดงสาย 2       รถไฟโมโนเรลขบวนนี้จะหยุดและกลับรถที่ 3 แยกคอหงส์
ขบวนรถแต่ละขบวนจะมีป้ายไฟแสดงว่าเป็นขบวนที่ 1 หรือ 2   และแต่ละสถานีก็จะมีป้ายบอกว่า ขบวนอะไรที่กำลังจะเข้ามาเทียบชานชลาของสถานี
 
จากรูปข้างบน  อาจจะดูแล้ววุ่นวายหน่อย  แต่นี้คือแบบอย่างง่าย  ของรางรถไฟฟ้าโมโนเรลตรงบริเวณวงเวียนน้ำพุหาดใหญ่ ซึ่งเราจะพบว่า จะมีทางแยก หรือ Switch Beam  อยู่บริเวณนี้  เพื่อให้ขบวนรถสายสีม่วง 1 วิ่งไปจนถึงสนามบินนานาชาติหาดใหญ่    และหากมองไปที่หน้า โรเรียนเทศบาล 1  เราจะพบ  Switch Beam อีก 1 ตัว   นั่นคือ จุดกลับขบวนรถสีม่วงสาย 2      และสถานีโมโนเรลขนส่งผู้โดยสารตรงจะนี้  จะอยู่ที่หน้าโรงพยาบาลหาดใหญ่ 1        และเมื่อมองไปทางถนนเพชรเกษม  เราก็จะพบ  Switch Beam  อีก 1 ตัว  ที่ไว้ใช้สำหรับ "สำรอง"  และ Switch Beam สำรองตัวนนี้  สามารถให้ ขบวนรถสีแดงสาย 2 วิ่งมาถึงจุดนนี้ได้ในกรณีชั่วโม่งเร่งด่วน  หรือขบวนรถไม่เพียงพอ    การเชื่อต่อการเดินทางในบริเวณนนี้ เราจะเชื่อมด้วย ทางเดินลอยฟ้า  หรือ Sky walk   ระหว่างสถานีต่อสถานีเป็นสำคัญ
 
รูปด้านบนคืออีกจุดหนึ่งที่มีความสำคัญ  นี้คือบริเวณ 3 แยกคอหงส์  ซึ่งจะเป็นจุดกลับรถของรถโมโนเรลสีน้ำเงินสายที่ 2    และเป็นจุดกลับรถของรถโมโนเรลสีแดงสาย 2 ด้วยเช่นกัน   อีกทั้งยังเป็นจุดแยกสายทางโมโนเรล 2 เส้นอีกด้วย  สถานีทั้ง 2 จะมีการเชื่อมต่อกันด้วยทางเดินลอยฟ้า  หรือ Sky walk  ระหว่างสถานีกับสถานีเป็นสำคัญ
 
อีกปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือ  ตามรูปข้างบนจะพบว่า รถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีน้ำเงิน(เส้นที่จะไปสงขลา)  และโมโนเรลสายสีแดง (เส้นที่จะไปบ้านพรุ)  จะมีเส้นทางบางส่วนทับซ้อนกับรถไฟชานเมืองสายสีแดงหาดใหญ่  หรือเส้นทางรถไฟเก่าของ รฟท. ราง 1 เมตร  แล้วจะมีปัญหาการแย่งผู้โดยสารกันหรือไม่      ...ดังนั้นแล้ว ผู้เขียนขอตอบตรงนี้เลยว่า  ผู้โดยสารทั้ง 2 ระบบ เป็นคนละกลุ่มกัน   เพราะระบบรถไฟฟ้าโมโนเรลจะวิ่งบนถนนเดิมที่มีอยู่แล้ว  ซึ่งมีบ้านเรือนผู้คนอยู่เป็นจำนวนมา่ก  ดังนั้นจึงเน้นการขนส่งในเมืองเป็นหลัก  อีกทั้งยังมีสถานีโดยสารที่ถี่กว่ามาก   ส่วนรถไฟฟ้าชานเมือง   ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า  "ชานเมือง"   ที่เน้นขนส่งผู้คนจากรอบๆเมืองหาดใหญ่  เข้าสู่สถานีรถไฟกลางหาดใหญ่เป็นสำคัญ   อีกทั้งไม่มีระบบถนนขนาดใหญ่รองรับแบบระบบโมโนเรล     สถานีแต่ละสถานีก็ห่างกันมากกว่า  ดังนั้นจึง สามารถสร้างทับซ้อนกันได้เลย  เพราะผู้โดยสารทั้ง 2 ระบบ เป็นคนละกลุ่มกัน
ตอนต่อไปคลิกที่นี้......................																																	  
							 
						
ตอนที่ 20 หาดใหญ่สงขลากับหมุดการท่องเที่ยวระดับโลก - รถไฟฟ้าโมโนเรลในอนาคต
ตอนที่ 20 หาดใหญ่สงขลากับหมุดการท่องเที่ยวระดับโลก - รถไฟฟ้าโมโนเรลในอนาคต
จริงๆแล้ว บทความตอนนี้ จะเป็นบทความที่เป็นภาคต่อของบทความในตอนที่ 10 และเหตุที่ตั้งชื่อบทความนี้ ว่า รถไฟฟ้าโมโนเรลในอนาคต นั่นก็เพื่อ การขยายปริมาณผู้โดยสารรถไฟฟ้าโมโนเรล ทั้ง 3 สี ให้เต็มศักยภาพได้ในอนาคตนั่นเอง รถไฟฟ้าโมโนเรล 1 ทาง สามารถให้รถไฟฟ้าทั้ง 3 สี คือ แดง ม่วง และน้ำเงิน มาใช้เส้นทางเดียวกันได้ โดยเฉพาะ ตามรูปข้างล่างนั่นคือ ตั้งแต่จุด A ตรงโครงการ MR-map ผ่านสนามบินนานาชาติหาดใหญ่ จนถึง 3 แยก คอหงส์ ซึ่งนี้ก็คือ "แกนกลางของเมืองหาดใหญ่"
จากรูปข้างบน ซึ่งเป็นรูปที่เอามาจากบทความในตอนที่ 10 เราจะเห็นถึงสิ่งที่เรียกว่า "ภูมิเศรษฐศาสตร์" หรือก็คือ การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง ภูมิศาสตร์ กับเศรษฐศาสตร์ ของเมืองหาดใหญ่ ซึ่งสามารถสรุปได้อย่างชัดเจน กล่าวคือ หาดใหญ่จะมีลักษณะที่เรียกว่า "1 แกน 3 ปีก" สามารถอธิบายได้เพิ่มเติมดังนี้
1 แกน คือ เส้นทางที่ผ่านใจกลางเมือง จากรูปข้างบนคือ จุด A ที่จะเชื่อมต่อกับโครงการมอเตอร์เวย์ ภายใต้ชื่อ MR-map จุด B คือ สนามบินนานาชาติหาดใหญ่ จุด C คือ สถานีรถไฟกลางหาดใหญ่ จนสิ้นสุดที่ 3 แยกคอหงส์ นี้คือแกนกลางของเมืองอย่างแท้จริง ที่รถไฟฟ้าโมโนเรลทุกสี จะต้องวิ่งผ่าน ส่วน อีก 3 ปีกคือ
ปีกที่ 1 คือ ส่วนหนึ่งของรถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีม่วง ซึ่งปีกที่ 1 จะเริ่มจากจุดแยกเส้นทางที่ บริเวณวงเวียนน้ำพุหาดใหญ่ ไปจุดถึงทะเลสาบสงขลา บริเวณแหลมโพธิ์ และอาจจะต่อขยายไปจนถึง เทศบาลเมืองควนเนียง บางเหรียง และ ปากพยูน จุดที่สำคัญของเส้นทางนี้คือ ทะเลสาบสงขลา ที่สามารถชี้เป็นชี้ตายได้ว่า หาดใหญ่สงขลา จะเป็นแหล่งการท่องเที่ยวระดับโลกได้หรือไม่
ปีกที่ 2 คือ ส่วนหนึ่งของรถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีน้ำเงิน ซึ่งปีกที่ 2 จะเริ่มจาก 3 แยกคอหงส์ ไปจนถึงหาดชลาทัศน์ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ความสำคัญของ ปีกที่ 2 นี้ คือ เป็นรถไฟฟ้าโมโนเรลที่เชื่อมต่อ มหานคร 2 มหานครเข้าด้วยกัน นั่นคือ เทศบาลนครหาดใหญ่ และเทศบาลนครสงขลา
ปีกที่ 3 คือ ส่วนหนึ่งของรถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีแดง ซึ่งปีกที่ 3 นี้ จะเริ่มนับตั้งแต่ 3 แยกคอหงส์ ไปจนสุดเส้นทาง อาจจะยาวไปถึงพะตง และเส้นทางนี้ มีการศึกษาแล้วว่า คุ้มค่ามากที่สุด และมีอัตราการเจริญเติมโตทางเศรษฐกิจที่สูงมาก
และในบทความนี้คือ บทความที่ 20 ที่ผู้เขียนขอตั้งชื่อบทความว่า รถไฟฟ้าโมโนเรลในอนาคต ซึ่งผู้เขียนต้องการสื่อว่า หากในอนาคต อีกสัก 10 ปีข้างหน้า 20 ปีข้างหน้า หรือ 50 ปีข้างหน้า เมืองหาดใหญ่สงขลา อาจจะมีความเจริญขึ้น มีผู้คนมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลทำให้มีความต้องการในการเดินทางที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะต้องเพิ่มความถี่ของขบวนรถ และในปัจจุบัน ค่าความถี่ของขบวนรถสูงสุดจะอยู่ที่ 2.40 นาที/ขบวน และสามารถเพิ่มจำนวนตู้โดยสารจาก 4 ตู้ เป็น 8 ตู้โดยสาร โดยสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 1,436 คนต่อขบวน ซึ่งเป็นค่าสูงสุด ที่รถไฟโมโนเรลทำได้ในปัจจุบัน และตัวอย่างของระบบรถไฟฟ้าโมโนเรลที่เกิดขึ้นจริงแล้ว คือ โมโนเรลสายสีเหลือง และสายสีชมพู ในกรุงเทพมหานคร
และด้วยข้อสมมุติฐานที่ว่า ในอีก 50 ปีข้างหน้า เมืองหาดใหญ่สงขลาจะเจริญขึ้น มีผู้คนมากขึ้น ระบบโมโนเรลทั้ง 3 สี จะเพียงพอต่อการโดยสารหรือไม่ เป็นคำถามที่ผู้เขียนก็ได้คิดหาคำตอบไว้บ้างแล้ว นั่นคือ ระบบโมโรเรล ถือได้ว่าเป็นระบบการโดยสาร "แบบรอง" แต่ถึงจะเป็นระบบแบบรอง ก็สามารถขนส่งผู้คนได้เป็นจำนวนมาก อีกทั้ง เมืองหาดใหญ่สงขลา ยังมีรถไฟชานเมืองสายสีแดงหาดใหญ่ตามรูปข้างบน ที่ถือว่าเป็นระบบการขนส่งหลักเทียบเท่า BTS และ MRT ในกทม. ดังนั้นจึงไม่น่ากังวลใจมากนัก แต่ทว่าเรื่องที่น่ากังวลใจที่สุดกลับเป็น "ความถี่" ของขบวนรถไฟฟ้าโมโนเรล นั้นเพราะ ด้วยลักษณะของ "ภูมิเศรษฐศาสตร์" ของเมืองหาดใหญ่ ที่เป็นลักษณะ (1 แกน 3 ปีก) ตามข้อมูลข้างต้น เพราะเมื่อเพิ่มจำนวนขบวนรถโมโนเรลไปเรื่อยๆ เราจะพบว่า ความจุของสายทางโมโนเรลในส่วนของ "แกนกลางของเมือง" นั้นคือ จากสนามบินนานาชาติหาดใหญ่ ถึง 3 แยกคอหงส์ จะเริ่มเต็มความจุเส้นทางก่อนใคร หรือที่เรียกว่าเต็ม capacity เพราะในแกนกลางของเมือง จะมีรถไฟโมโนเรล ถึง 3 สี ในขณะที่ ส่วนที่ไม่ใช่แกนกลางของเมืองกลับมีความจุเส้นทางเหลือ ดังนั้นแล้ว เราจะแก้ไขปัญหานี้ได่อย่างไร เพื่อให้เส้นทางโมโนเรลทุกเส้น ทุกช่วงการเดินทางมีความจุขบวนรถเต็มศักยภาพให้ได้มากที่สุด
แนวทางแก้ปัญหาที่ 1 ให้เพิ่มรางโมโนเรลในแกนกลางของเมือง จาก 2 ราง เป็น 4 ราง ...ซึ่งแนวทางนี้ ในความคิดเห็นของผู้เขียน เป็นแนวทางที่มีปัญหาอย่างมาก เพราะจะทำให้การออกแบบสถานี และระบบรางมีความยุ่งยาก อีกทั้งยังยากต่อการบำรุงรักษาขบวบนรถ และที่สำคัญหากใช้แนวทาง 4 รางที่ว่านี้ ตัวรางโมโนเรล จะต้องมีการเลี้ยวเบี่ยงซ้าย เบี่ยงขวา เพื่อเข้าจอดในทุกสถานี จะทำให้ขบวนรถส่ายไปส่ายมา ไม่มีความเสถียร นอกจากจะทำให้อายุการใช้งานของขวบนรถสั้นลงแล้ว ยังทำให้เกิดความไม่สบายตัวกับผู้โดยสารอีกด้วย แม้ว่า ความสามารถของระบบโมโนเรล คือการเลี้ยวได้ในมุมแคบๆ และสามารถขึ้นทางลาดหรือลงทางลาดชันๆได้ แต่ก็จะต้องแลกมากับ ความโครงเครงของขบวนรถ และจริงๆแล้ว โมโนเรลของหาดใหญ่ ไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถข้อนี้ของระบบโมโนเรลก็ได้ เพราะหาดใหญ่ไม่ได้มีระบบรถไฟฟ้า และทางด่วนที่วุ่นวายแบบกทม. ที่ตัวระบบโมโนเรล โดยเฉพาะสายสีเหลืองในกทม. ที่มีการขึ้นเนิน ลงเนิน มุดลอดทางด่วน เลี้ยวหักศอก หากลองศึกษาระบบของโมโนเรลสายสีเหลืองในกทม. จะเข้าใจ เพราะรางเหมือนรถไฟเหาะจริงๆ ดังนั้นแล้ว ระบบโมโนเรลของหาดใหญ่ ควรออกแบบรางให้ตรงที่สุด และมีความลาดชันน้อยที่สุด เพื่อให้การเดินทางของตัวรถโมโนเรลราบเรียบ นิ่มนวลให้ได้มากที่สุด ทั้งนี้ และทั้งนั้น ก็เพื่อความสบายตัวของผู้โดยสาร เพื่อการก่อสร้างที่ง่าย และการถนอมตัวรถให้ใช้ได้นานๆ
แนวทางแก้ปัญหาที่ 2 เพิ่มขบวนรถแบบทับซ้อนเส้นทาง เพื่อเพิ่มความถี่ในการเดินรถ แนวทางนี้ในความเห็นของผู้เขียนคิดว่า เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพกว่ามากๆ แต่อาจจะต้องอธิบายยาวซักหน่อย เริ่มจากสมมุติฐานที่ว่า อีก 50 ปีข้างหน้า ผู้โดยสารมากขึ้นเรื่อยๆ ทางรถไฟโมโนเรลทั้ง 3 สี ก็จะมีการก่อสร้างส่วนต่อขยายไปเรื่อยๆ และมีการเพิ่มขบวนรถไฟโมโนเรลทั้ง 3 สีไปเรื่อยๆ ซึ่งก็จะทำให้เส้นทางตรงแกนกลางของเมืองเต็มความจุ ด้านขบวนรถก่อนใคร ดังนั้น สิ่งที่เราจะสร้างคือ ขบวนรถสีม่วงสาย 2 ขบวนรถสีน้ำเงินสาย 2 และ ขบวนรถสีแดงสาย 2 มาถึงตรงนี้ คงต้องขยายความกันหน่อยแล้ว
ขบวนรถสีม่วงสาย 1 รถไฟโมโนเรลนี้ จะวิ่งจากทะเลสาบสงขลาจนถึงสนามบินนานาชาติหาดใหญ่
ขบวนรถสีน้ำเงินสาย 1 รถไฟโมโนเรลนี้ จะวิ่งจากหาดชลาทัศน์จนถึงสนามบินนานาชาติหาดใหญ่
ขบวนรถสีแดงสาย 1 รถไฟโมโนเรลนี้ จะวิ่งจากบ้านพรุถึงสนามบินนานาชาติหาดใหญ่
ขบวนรถสีม่วงสาย 2 รถไฟขบวนนี้จะหยุดและกลับรถที่ วงเวียนน้ำพุหาดใหญ่
ขบวนรถสีน้ำเงินสาย 2 รถไฟโมโนเรลขบวนนี้จะหยุดและกลับรถที่ 3 แยกคอหงส์
ขวบนรถสีแดงสาย 2 รถไฟโมโนเรลขบวนนี้จะหยุดและกลับรถที่ 3 แยกคอหงส์
ขบวนรถแต่ละขบวนจะมีป้ายไฟแสดงว่าเป็นขบวนที่ 1 หรือ 2 และแต่ละสถานีก็จะมีป้ายบอกว่า ขบวนอะไรที่กำลังจะเข้ามาเทียบชานชลาของสถานี
จากรูปข้างบน อาจจะดูแล้ววุ่นวายหน่อย แต่นี้คือแบบอย่างง่าย ของรางรถไฟฟ้าโมโนเรลตรงบริเวณวงเวียนน้ำพุหาดใหญ่ ซึ่งเราจะพบว่า จะมีทางแยก หรือ Switch Beam อยู่บริเวณนี้ เพื่อให้ขบวนรถสายสีม่วง 1 วิ่งไปจนถึงสนามบินนานาชาติหาดใหญ่ และหากมองไปที่หน้า โรเรียนเทศบาล 1 เราจะพบ Switch Beam อีก 1 ตัว นั่นคือ จุดกลับขบวนรถสีม่วงสาย 2 และสถานีโมโนเรลขนส่งผู้โดยสารตรงจะนี้ จะอยู่ที่หน้าโรงพยาบาลหาดใหญ่ 1 และเมื่อมองไปทางถนนเพชรเกษม เราก็จะพบ Switch Beam อีก 1 ตัว ที่ไว้ใช้สำหรับ "สำรอง" และ Switch Beam สำรองตัวนนี้ สามารถให้ ขบวนรถสีแดงสาย 2 วิ่งมาถึงจุดนนี้ได้ในกรณีชั่วโม่งเร่งด่วน หรือขบวนรถไม่เพียงพอ การเชื่อต่อการเดินทางในบริเวณนนี้ เราจะเชื่อมด้วย ทางเดินลอยฟ้า หรือ Sky walk ระหว่างสถานีต่อสถานีเป็นสำคัญ
รูปด้านบนคืออีกจุดหนึ่งที่มีความสำคัญ นี้คือบริเวณ 3 แยกคอหงส์ ซึ่งจะเป็นจุดกลับรถของรถโมโนเรลสีน้ำเงินสายที่ 2 และเป็นจุดกลับรถของรถโมโนเรลสีแดงสาย 2 ด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นจุดแยกสายทางโมโนเรล 2 เส้นอีกด้วย สถานีทั้ง 2 จะมีการเชื่อมต่อกันด้วยทางเดินลอยฟ้า หรือ Sky walk ระหว่างสถานีกับสถานีเป็นสำคัญ
อีกปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือ ตามรูปข้างบนจะพบว่า รถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีน้ำเงิน(เส้นที่จะไปสงขลา) และโมโนเรลสายสีแดง (เส้นที่จะไปบ้านพรุ) จะมีเส้นทางบางส่วนทับซ้อนกับรถไฟชานเมืองสายสีแดงหาดใหญ่ หรือเส้นทางรถไฟเก่าของ รฟท. ราง 1 เมตร แล้วจะมีปัญหาการแย่งผู้โดยสารกันหรือไม่ ...ดังนั้นแล้ว ผู้เขียนขอตอบตรงนี้เลยว่า ผู้โดยสารทั้ง 2 ระบบ เป็นคนละกลุ่มกัน เพราะระบบรถไฟฟ้าโมโนเรลจะวิ่งบนถนนเดิมที่มีอยู่แล้ว ซึ่งมีบ้านเรือนผู้คนอยู่เป็นจำนวนมา่ก ดังนั้นจึงเน้นการขนส่งในเมืองเป็นหลัก อีกทั้งยังมีสถานีโดยสารที่ถี่กว่ามาก ส่วนรถไฟฟ้าชานเมือง ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า "ชานเมือง" ที่เน้นขนส่งผู้คนจากรอบๆเมืองหาดใหญ่ เข้าสู่สถานีรถไฟกลางหาดใหญ่เป็นสำคัญ อีกทั้งไม่มีระบบถนนขนาดใหญ่รองรับแบบระบบโมโนเรล สถานีแต่ละสถานีก็ห่างกันมากกว่า ดังนั้นจึง สามารถสร้างทับซ้อนกันได้เลย เพราะผู้โดยสารทั้ง 2 ระบบ เป็นคนละกลุ่มกัน
ตอนต่อไปคลิกที่นี้......................