บันทึกชีวิตมนุษย์เงินเดือน #3: กว่าจะได้เป็นมนุษย์เงินเดือนไม่ใช่เรื่องง่าย

จุดเริ่มต้นของมนุษย์เงินเดือน ย่อมต้องผ่านการสัมภาษณ์งานมาก่อนแทบทุกคน (นอกเสียจากว่าจะทำงานในบริษัทของคนรู้จัก) บางบริษัทคัดเลือกด้วยการสัมภาษณ์เพียงอย่างเดียว แต่บางบริษัทก็มีด่านแรกเป็นการสอบข้อเขียนก่อน ถ้าผ่านจึงจะได้เข้ารับการสัมภาษณ์ และที่โหดไปกว่านั้น บางบริษัทกว่าจะได้เข้าไปทำงาน ต้องผ่านการสอบและการสัมภาษณ์หลายรอบ แต่สิ่งที่โหดร้ายที่สุดคือ บางคนกว่าจะได้งาน ต้องผ่านกระบวนการคัดเลือกแบบนี้บริษัทแล้วบริษัทเล่าจนนับไม่ถ้วน
ผมจำไม่ได้แล้วว่าตอนจบใหม่ๆกว่าจะได้งานผมต้องผ่านการสัมภาษณ์กี่บริษัท แต่ผมยังจำบริษัทแรกที่ให้โอกาสผมเข้ารับการสัมภาษณ์ได้
ตอนที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลโทรมาเรียกตัวไปสัมภาษณ์ ผมดีใจราวกับได้คุยโทรศัพท์กับผู้หญิงที่ผมแอบชอบเป็นครั้งแรก เสียงของพนักงานสาวไพเราะราวกับเสียงของนางเอกในละคร ที่สำคัญคือ ตอนที่ได้ยินชื่อบริษัท ผมนึกไม่ออกเลยว่าบริษัทนี้ทำอะไร (ผมหว่านใบสมัครไปทั่ว จนลืมไปแล้วว่าสมัครบริษัทอะไรไปบ้าง) จะถามเขาก็เกรงใจ กลัวจะหาว่าไม่ให้ความสำคัญกับบริษัท สุดท้ายเลยต้องมานั่งถามอากู๋ (กูเกิล) ว่าบริษัทชื่อประหลาดเนี้ยเขาทำมาหากินอะไร
แล้วผมก็ได้รู้ว่า หลายสิ่งหลายอย่างรอบตัว ไม่ได้ตั้งชื่อตามบริษัทที่ผลิตเสมอไป
เมื่อก่อนคิดว่า เป๊ปซี่ ผลิตโดยบริษัทชื่อ เป๊ปซี่, ฮานามิ ผลิตด้วยบริษัทชื่อฮานามิ เบียร์สิงห์ ผลิตด้วยบริษัทชื่อเบียร์สิงห์ แต่ความจริงแล้ว มันไม่ใช่เลย บางบริษัทที่ชื่อไม่คุ้นหู อาจเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายของคุ้นตาที่เราใช้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็ได้

คืนก่อนไปสัมภาษณ์ ผมก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจสักหน่อย ความรู้ก็ไม่ค่อยมี ประสบการณ์เป็นศูนย์ ที่พอจะมีเก็บไว้ก็มีแต่ใจล้วนๆ แต่เป็นใจป๊อดๆ ที่กลัวว่า ครั้งแรก จะเป็นยังไง
ผมนั่งทำใจอยู่นาน พยายามฝึกพูดแนะนำตัว งัดเอาหนังสือเรียนมาท่องทฤษฎีพื้นฐานกันเหนียวไว้หน่อย อย่างน้อยมีอะไรก็ใช้ความรู้แบบชาวบ้านๆเหล่านี้แหละเอาตัวรอดไปตามสถานการณ์ นอกจากนี้ก็เตรียมการพูดภาษาอังกฤษเล็กน้อย พอให้มั่นใจว่า ถ้าจำเป็นก็งัดภาษาต่างชาติมาผสมกับภาษาต่างด้าวให้คนสัมภาษณ์ฟังได้

ผมพยายามทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ในคืนนั้น เพื่อให้มั่นใจว่าพรุ่งนี้จะไม่ทำได้แค่นั่งยิ้มแหยๆในห้องสัมภาษณ์ แต่เพราะมัวแต่เตรียมใจเกือบทั้งคืน จนผมลืมเตรียมตัว พอตอนเช้าหลังจากอาบน้ำเสร็จ นุ่งผ้าเช็ดตัวเดินตรงไปที่ตู้เสื้อผ้า ก็นึกขึ้นมาได้ว่า...จะใส่ชุดอะไรไปดีหว่า
ชุดที่ดูจะเรียบร้อยที่สุด มีแค่เสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาว กางเกงสแลค  กับรองเท้าหนังสีดำสนิทที่ติดตัวไปมหาลัยเป็นประจำ

ทว่าผมไม่มีอุปกรณ์เสริมหล่อที่เรียกว่าเนคไทให้ใส่ไปสัมภาษณ์สักเส้น  มองเข้าไปในตู้เห็นแค่เนคไทของมหาลัยที่นานๆทีจะใส่ไปเรียนสักครั้ง แต่ผมไม่อยากใส่ไปสัมภาษณ์งาน ก็เลยตัดสินใจว่า ไม่ต้องใส่เนคไทก็ได้มั้ง  กลายเป็นผู้ชายรักสนุก แต่ไม่คิดผูกเนคไท โดยที่ไม่สนใจกาละเทศะเลย

เวรกรรมของผมยังไม่จบ หรือจริงๆแล้วต้องเรียกว่า ความโง่ของผมยังไม่หมดมากกว่า
พอแต่งตัวเสร็จ กำลังจะก้าวออกจากห้อง แน่นอนว่าต้องคว้ารองเท้าคู่ใจมาใส่ แต่ผมดันลืมไปว่า รองเท้าหนังของผมขาด พื้นรองเท้าเปิดจนใส่ออกไปไหนไม่ได้ตั้งแต่สอบวันสุดท้าย เนื่องจากไม่ต้องใส่ไปเรียนอีก ผมก็เลยไม่ได้สนใจปล่อยมันทิ้งไว้เป็นรองเท้าพิการที่ชั้นวางรองเท้า  
โอ๊ย....อยากเดินกลับไปที่ตู้เสื้อผ้า แล้วเอาเนคไทมาผูกคอตายประชดรองเท้าจริงๆ

ผมหันซ้ายหันขวา รองเท้าผ้าใบก็ให้เพื่อนยืมไป เริ่มท้อใจจึงก้มมองนาฬิกา บริษัทดันนัดแต่เช้าอีก จะเอารองเท้าไปซ่อมก็คงไม่ทัน แถมที่ตั้งของบริษัทผมก็ไม่เคยไป ต้องเผื่อเวลาหลงทางไว้ด้วย สุดท้ายผมตัดสินใจ คว้ารองเท้าหนังอีกคู่มาใส่ มันเป็นรองเท้าแฟชั่นที่ผมเคยใส่ออกงาน อาจจะดูไม่สุภาพเท่าไหร่ แต่ก็น่าจะดีกว่าใส่รองเท้าแตะไปแหละว่ะ

ผมไม่รู้ทางไปบริษัท เลยโดดขึ้นแท๊กซี่ไป ภาวนาในใจขอให้พี่แท๊กซี่รู้ทางและพาผมไปส่งถึงที่หมายทันเวลา ไม่งั้นพี่แท๊กซี่อาจได้เพื่อร่วมอาชีพเพิ่มอีก 1 คน

ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่ ผมไปทันแบบฉิวเฉียด บริษัทนัด 8 โมงครึ่ง ผมไปถึง 8 โมง 20
แต่ในความโชคร้าย ก็มักมีความโชคร้ายกว่าอยู่เสมอ
ผมรีบวิ่งเข้าไปในตัวตึก แรกบัตรที่โต๊ะรีเซฟชั่น แล้วหันหน้าตรงไปที่ลิฟต์โดยไม่ดูซ้ายแลขวา ก่อนจะพบกับปัญหาใหญ่คือ ไอ้พวกตึกใหญ่ๆเนี่ย มันไม่ได้มีลิฟต์แค่ตัวสองตัว และลิฟต์แต่ละตัว ก็ไม่ได้จะพาเราไปส่งทุกชั้น
นี่ตูจะขึ้นลิฟต์ หรือขึ้นรถเมล์ฟระ

ตอนนั้นรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพวกบ้านนอกเข้ากรุง จะหันไปถามใคร ทุกคนก็ดูกำลังเร่งรีบเข้างานให้ทันเวลา หน้าตาบอกบุญไม่รับกันเลยสักคน ผมเลยเหลือบมองป้ายบนผนัง ไล่สายตาอยู่สักพักก็เห็นชื่อบริษัทที่รักปรากฏอยู่บนหลังตัวเลข 19 แต่...ชั้น 20 กับ 21 ก็มี
พี่จะรวยไปลงะ เช่าตั้ง 3 ชั้นเป็นออฟฟิศ ผมพยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ว่าพี่สาวเสียงใสที่โทรมานัดหมายเมื่อวันก่อนบอกให้ผมไปชั้นไหน รีเซฟชั้นมันคงอยู่ชั้นล่างสุดละมั้ง ผมรีบพุ่งเข้าลิฟต์ที่ติดป้ายบอกว่าไปส่งชั้น 19 ได้

พอประตูลิฟต์เปิดปุ๊ป ผมสายไปแล้ว  3 นาที หวังว่าพี่ HR จะต้มมาม่าเป็นอาหารเช้ารอผมอยู่
ผมเห็นหน้าคู่แข่งนั่งรออยู่ 3-4 คนตรงใกล้ๆเคาเตอร์ของรีเซฟชั่น หลังจากเข้าไปแนะนำตัวกับสาวสวย ผมก็นั่งรอข้างๆคนอื่นๆ จะทักก็ไม่กล้า เพราะเห็นหน้าตาเคร่งเครียดของแต่ละคนราวกับกำลังจะมาแข่งขันเอาชีวิตรอดจากเกาะนรก สักพักเจ้าหน้าที่ HR ก็เดินมาหา เสียงยังหวานเหมือนเดิม แต่หน้าตาต่างจากที่จินตนาการไว้ลิบลับ (บางทีเสียงกับหน้า ก็ไม่ได้ไปด้วยกันเสมอไป) เธอพาผมไปทำข้อสอบก่อนหนึ่งชั่วโมง เป็นคำถามวัดไอคิว ทัศนคติ และภาษาอังกฤษ
นี่มันข้อสอบของเด็กมัธยมชัดๆ แต่ผมดันคืนความรู้อาจารย์ไปหมดแล้วตั้งแต่ก่อนเข้ามหาลัย โอ๊ย...ไม่ยาก แต่ผมทำไม่ได้ T^T ทำเสร็จ (จริงๆยังไม่เสร็จด้วยซ้ำ เพราะทำไม่ทัน) ผมก็ไปนั่งรอสัมภาษณ์ อาจเป็นเพราะผมมาเป็นคนสุดท้าย ผมเลยต้องเข้าเป็นคนท้ายสุด ได้แต่มองดูเพื่อนใหม่และคู่แข่งตาปริบๆ ขณะที่พวกเขาหยิบกระเป๋าทยอยเข้าไปในห้องทีละคนๆ โดยทุกครั้งที่มีคนลุกจากที่นั่ง คนถัดไปก็จะขยับเข้าไปนั่งแทนที่กันเป็นทอดๆ ผมก็จะเลื่อนเข้าไปใกล้ประตูทีละนิดๆ รู้สึกเหมือนชีวิตถูกวางอยู่บนสายพาน ที่กำลังจะพาผมผ่านเข้าไปในแดนสนธยา
พอมีคนเดินออกมา ผมอยากพรุ่งเข้าไปถามว่า พี่ พี่โดนคนในห้องปู้ยี่ปู้ยำกระทำชำเราอะไรบ้าง แต่ขาของผมดันก้าวไม่ออก ปากของผมดันหนักเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ย

สุดท้ายก็ถึงเวลาที่ผมจะได้รู้ความจริงในห้องแห่งความลับแล้วว่ามีอะไรรออยู่ ผมค่อยๆเปิดประตูอย่างช้าๆ แล้วก้าวเข้าไปอย่างกล้าๆกลัวๆ ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองสั่นเบาๆทั้งๆที่อากาศในห้องก็ไม่ได้เย็นอะไร เห็นชายวัยกลางคนกับสาววัยทองนั่งมองอยู่ที่ด้านในสุดของห้องรวมสายตาแล้วได้ 5 คู่พอดิบพอดี
เยอะไปไหมครับ พี่มีอะไร พูดกับผมผมตัวต่อตัวก็ได้นะ อยากจะบ่นแบบนั้น แต่ก็ทำได้แค่สงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่เบื้องหน้าพวกเขา บรรยากาศเงียบสงัดจนผมแทบจะได้ยินเสียงยุงกัดกัน ก่อนที่ความเงียบจะถูกทำลายด้วยเสียงแหบพล่าของชายผมขาวที่นั่งตรงกลางกลุ่มที่บอกให้ผมแนะนำตัวเอง

ผมพยายามควบคุมให้ปากไม่สั่นตอนกำลังเอ่ยชื่อและการศึกษาของตัวเอง ตอนนั้นคงผ่านไปไม่ถึงสิบวิ แต่ผมรู้สึกโครตนาน พูดเสร็จ ความเงียบก็กลับมาอีกครั้ง เมื่อผมไม่รู้ว่าไอ้การแนะนำตัวเองเนี่ย ควรจะพูดอะไรต่อ บอกอายุเหรอ น้ำหนักส่วนสูงมั้ย หรือสเปคสาวที่ชอบ อาหารถูกปาก สถานที่ที่อยากไป หรือความฝันวัยเด็กด้วยรึเปล่า สุดท้ายเลยแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับยิ้มแหยๆบนหน้าซีดๆของผม
“แค่นี้เหรอครับ”
ผมนึกในใจว่า พี่ก็บอกมาสิครับว่าพี่ต้องการให้ผมพูดอะไร ดีนะที่ผมคิดเบาๆในใจ พวกพี่ที่สัมภาษณ์เลยได้ยินแค่คำว่า “ครับ” หลุดออกไปจากปากของผม
หลังจากนั้นก็มีคำถามมากมายระดมยิงออกมาจากคนทั้งห้า บางคนก็พูดเยอะ บางคนก็นานๆพูดที บางคนถามการเรียน บางคนถามเรื่องกิจกรรม บางคนสนใจอดีต บางคนอยากรู้อนาคต แต่ไม่มีใครถามเกี่ยวกับความรู้ที่ผมอุตส่าอ่านมาเมื่อคืนเลย

เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแต่ผมรู้สึกราวกับผ่านไปเป็นปี แต่ละนาทีเดินไปอย่างเชื่องช้าเหมือนคนชรา เป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัดที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต สุดท้ายการสัมภาษณ์ก็จบลงโดยที่ผมยังคงไม่หายสั่น ในใจรู้สึกโล่งที่ผ่านความยากลำบากนี้ไปได้และกำลังจะพ้นทุกข์ อยากรีบลุกจากเก้าอี้แล้วตรงปรี่ไปที่ประตูเพื่อกระโจนออกไปข้างนอกในทันที แต่ก็ถูกขัดจังหวะด้วยพี่ผู้ชายคนหนึ่งที่เอ่ยทักว่า
“ทำไมใส่รองเท้าคู่นี้มาครับ ปกติชอบแต่งตัวเหรอ”
ผมก้มลงไปมองรองเท้าตัวเอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาตอบคำถามว่า
“พอดีรองเท้าหนังที่เคยใส่มันขาดนะครับ แล้วไม่มีรองเท้าคู่อื่นนอกจากรองเท้าแตะกับคู่นี้ ก็เลยต้องใส่คู่นี้มา ถ้าใส่รองเท้าแตะก็กลัวจะไม่เรียบร้อยครับ”
“อืม ก็ดีถือว่าแต่งตัวเรียบร้อยนะ อย่างน้อยก็ใส่รองเท้าหนังมา” พี่ผู้หญิงพูดเสริมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“แต่ว่า...” พี่ผู้ชายคนเดิมกล่าวต่อ ในขณะที่ผมรอฟังด้วยหัวใจเต้นเป็นจังหวะแร๊บ
“ใส่รองเท้าหนังสีขาวมันดูเด่นไปหน่อยนะ”

หลังจากนั้น ผมก็ไม่ได้ไปตึกนั้นอีกเลย แต่ต้องไปสัมภาษณ์งานตึกอื่นๆอีกหลายที่
กว่าจะได้เป็นมนุษย์เงินเดือนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่