เสียง
ติ๊ง ของข้อความที่เข้ามาบนหน้าจอโทรศัพท์ในยามค่ำคืน ทำให้ยามินทร์สะดุ้งเล็กน้อย ทั้งที่ห้องพักเงียบกริบจนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองสะท้อนกลับจากผนัง
“ทุกอย่างรอบตัวฉันปกติดี ไม่ต้องห่วง”
ข้อความสั้น ๆ จากมัชฌา
ยามินทร์จ้องหน้าจอนานกว่าปกติ รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างที่ไม่มีในถ้อยคำ
“ปกติ” ของมัชฌา ไม่ใช่ปกติของเขาอีกต่อไป…
เช้าวันถัดมา เขาเริ่มสังเกตเห็นสิ่งเล็ก ๆ ที่เหมือนการบอกใบ้จากอีกโลก
ตอนซื้อข้าวที่โรงอาหาร พนักงานยื่นใบเสร็จมา ตัวเลขบนบิลสว่างวาบ—
บิลค่าอาหารราคา 404 บาท
วันเดียวกัน ใบแจ้งค่าไฟที่เสียบอยู่หน้าห้องพักตัวเองก็มีตัวเลขเรียงท้ายว่า
404
และในตารางเรียนที่แปะอยู่บอร์ดคณะ มีรายวิชาหนึ่งถูกพิมพ์ผิดเป็น
“ห้อง 404” ทั้งที่ตึกเรียนไม่มีเลขนั้นอยู่จริง
แต่ละสิ่งเล็ก ๆ เหมือนกำลังคลืบคลานมาหาเขาทีละก้าว ไม่มีเสียง ไม่มีการเตือน เป็นเพียง “ความบังเอิญ” ที่มากเกินจะเป็นจริง
หลังเลิกเรียน เขาเดินกลับไปยังตึกเรียนเก่าตามแรงผลักบางอย่างในใจ
อาคารทั้งหลังมืดทึบ หลอดไฟตามระเบียงกะพริบแผ่ว ๆ แสงขุ่นมัวราวกับจะดับลงทุกเมื่อ
พื้นปูนเย็นเยียบสะท้อนเสียงฝีเท้าก้องไปทั่วโถงทางเดิน
กลิ่นอับชื้นตลบอบอวล มันไม่ใช่แค่กลิ่นฝุ่น แต่เป็นกลิ่นที่เหมือนเสื้อผ้าเปียกน้ำ ถูกทิ้งไว้นานจนขึ้นรา ราวกับความทรงจำที่เน่าเสีย
และที่ปลายทาง… มันอยู่ตรงนั้น—
ประตูไม้สีดำ404 ที่เขาเห็นในฝันไม่รู้กี่ครั้ง
เขาหยุดยืนตรงหน้า หัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะทะลุออกมา
แผ่นไม้เก่ามีรอยขีดข่วนลึกเป็นเส้น ๆ เหมือนใครบางคนพยายามหนีออกมา ขอบบานประตูบวมพองจนแทบแตก แต่กลับยังคงปิดสนิท
แล้วเสียงก็ดังขึ้นจากด้านใน—
เสียงกรีดร้องแหลมสูงปนเสียงกระซิบแผ่ว ๆ สลับกันเหมือนบทสวดบิดเบี้ยว
“เปิดสิ…”
เสียงนั้นลอดออกมาเหมือนมีหลายคนกำลังพูดพร้อมกัน เสียงเด็ก เสียงผู้หญิง เสียงชายชรา เสียงหัวเราะ และเสียงสะอื้นประสานกันจนแทบแยกไม่ออก
ลูกบิดสั่นไหวเหมือนมีใครจับหมุนจากข้างใน
“ไม่นะ…” ยามินทร์พึมพำกับตัวเอง เขารู้สึกกลัวเกินกว่าจะเอื้อมไปจับมันด้วยซ้ำ พลันก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว ขนทั้งร่างลุกชันราวกับมีใครกำลังเป่าลมหายใจเย็นจัดใส่ต้นคอ
เขาหนีออกมาทั้งที่หัวใจยังเต้นแรงเหมือนจะขาด ร่างกายสั่นสะท้านจนแทบทรงตัวไม่อยู่
คืนนั้น เขาหลับไปด้วยความอ่อนล้า แต่ความฝันกลับชัดเจนราวกับโลกจริง
เขายืนอยู่ในทางเดินของอาคาร บรรยากาศมันดูดูน่ากลัวกว่าที่เขาเห็นเมื่อตอนเย็นซะอีก ท่ามกลางเงามืด ไม่มีเสียง ไม่มีแสงน อกจากดวงไฟดวงเดียวที่ส่องลงมาบน…
ประตูสีดำ 404
มันตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง ทางเดินที่มืดสนิท
ลูกบิดเหล็กเย็นเยียบเชื้อเชิญให้เขาแตะต้อง
หัวใจเขาเต้นแรง มือค่อย ๆ ยื่นไปจับ ความเย็นจากโลหะซึมผ่านเข้าสู่ปลายนิ้ว เหมือนน้ำแข็งกัดกินจนเจ็บ
เพียงเสี้ยววินาทีที่เขากำลังจะหมุนเปิด—
“อย่านะ!!”
เสียงกรีดร้องนั้นทำให้เขาสะดุ้ง
มัชฌา… เธอยืนอยู่อีกปลายทางเดิน สีหน้าซีดเผือด ดวงตาเบิกกว้างราวกับถูกฉุดมาจากโลกจริง
เธอวิ่งเข้ามาคว้ามือเขาไว้แน่นจนรู้สึกถึงแรงสั่น
“มิน อย่าเปิด… ถ้านายเปิด ทุกอย่างจะจบแบบที่นายไม่อยากเห็น”
เสียงกรีดร้องจากประตูดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้แรงจนโต๊ะไม้สั่นสะท้าน เสียงอ้อนวอน เสียงหัวเราะ เสียงร่ำไห้ก้องสะท้อนห้องเรียนราวกับมีใครนับร้อยอยู่ด้านใน
ยามินทร์หันไปมองมัชฌา เธอส่ายหัว น้ำตาไหลเอ่อเต็มขอบตา
“เชื่อฉัน… ได้โปรด”
โลกในฝันเริ่มบิดเบี้ยว ราวกับกำแพงกำลังถล่ม เสียงนั้นยังคงเรียกร้อง—
แต่เขาเลือกที่จะยืนเฉย ปล่อยให้มัชฌาจับมือแน่นไม่ยอมปล่อย
ภาพทั้งหมดแตกกระจายหายวับไปในความมืด
เขาสะดุ้งตื่นบนเตียง หายใจหอบถี่ เหงื่อเปียกโชกไปทั้งร่าง
ในหูยังคงก้องกังวานด้วยเสียงเชื้อเชิญจากบานประตูนั้น…
และเขารู้—
มันจะไม่หยุดเรียก จนกว่าเขาจะเลือก “เปิด” ด้วยมือของตัวเอง
บันทึกฝันที่ 404 ตอนที่ 10 คลืบคลาน
เสียง ติ๊ง ของข้อความที่เข้ามาบนหน้าจอโทรศัพท์ในยามค่ำคืน ทำให้ยามินทร์สะดุ้งเล็กน้อย ทั้งที่ห้องพักเงียบกริบจนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองสะท้อนกลับจากผนัง
“ทุกอย่างรอบตัวฉันปกติดี ไม่ต้องห่วง”
ข้อความสั้น ๆ จากมัชฌา
ยามินทร์จ้องหน้าจอนานกว่าปกติ รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างที่ไม่มีในถ้อยคำ
“ปกติ” ของมัชฌา ไม่ใช่ปกติของเขาอีกต่อไป…
เช้าวันถัดมา เขาเริ่มสังเกตเห็นสิ่งเล็ก ๆ ที่เหมือนการบอกใบ้จากอีกโลก
ตอนซื้อข้าวที่โรงอาหาร พนักงานยื่นใบเสร็จมา ตัวเลขบนบิลสว่างวาบ—
บิลค่าอาหารราคา 404 บาท
วันเดียวกัน ใบแจ้งค่าไฟที่เสียบอยู่หน้าห้องพักตัวเองก็มีตัวเลขเรียงท้ายว่า 404
และในตารางเรียนที่แปะอยู่บอร์ดคณะ มีรายวิชาหนึ่งถูกพิมพ์ผิดเป็น “ห้อง 404” ทั้งที่ตึกเรียนไม่มีเลขนั้นอยู่จริง
แต่ละสิ่งเล็ก ๆ เหมือนกำลังคลืบคลานมาหาเขาทีละก้าว ไม่มีเสียง ไม่มีการเตือน เป็นเพียง “ความบังเอิญ” ที่มากเกินจะเป็นจริง
หลังเลิกเรียน เขาเดินกลับไปยังตึกเรียนเก่าตามแรงผลักบางอย่างในใจ
อาคารทั้งหลังมืดทึบ หลอดไฟตามระเบียงกะพริบแผ่ว ๆ แสงขุ่นมัวราวกับจะดับลงทุกเมื่อ
พื้นปูนเย็นเยียบสะท้อนเสียงฝีเท้าก้องไปทั่วโถงทางเดิน
กลิ่นอับชื้นตลบอบอวล มันไม่ใช่แค่กลิ่นฝุ่น แต่เป็นกลิ่นที่เหมือนเสื้อผ้าเปียกน้ำ ถูกทิ้งไว้นานจนขึ้นรา ราวกับความทรงจำที่เน่าเสีย
และที่ปลายทาง… มันอยู่ตรงนั้น—
ประตูไม้สีดำ404 ที่เขาเห็นในฝันไม่รู้กี่ครั้ง
เขาหยุดยืนตรงหน้า หัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะทะลุออกมา
แผ่นไม้เก่ามีรอยขีดข่วนลึกเป็นเส้น ๆ เหมือนใครบางคนพยายามหนีออกมา ขอบบานประตูบวมพองจนแทบแตก แต่กลับยังคงปิดสนิท
แล้วเสียงก็ดังขึ้นจากด้านใน—
เสียงกรีดร้องแหลมสูงปนเสียงกระซิบแผ่ว ๆ สลับกันเหมือนบทสวดบิดเบี้ยว
“เปิดสิ…”
เสียงนั้นลอดออกมาเหมือนมีหลายคนกำลังพูดพร้อมกัน เสียงเด็ก เสียงผู้หญิง เสียงชายชรา เสียงหัวเราะ และเสียงสะอื้นประสานกันจนแทบแยกไม่ออก
ลูกบิดสั่นไหวเหมือนมีใครจับหมุนจากข้างใน
“ไม่นะ…” ยามินทร์พึมพำกับตัวเอง เขารู้สึกกลัวเกินกว่าจะเอื้อมไปจับมันด้วยซ้ำ พลันก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว ขนทั้งร่างลุกชันราวกับมีใครกำลังเป่าลมหายใจเย็นจัดใส่ต้นคอ
เขาหนีออกมาทั้งที่หัวใจยังเต้นแรงเหมือนจะขาด ร่างกายสั่นสะท้านจนแทบทรงตัวไม่อยู่
คืนนั้น เขาหลับไปด้วยความอ่อนล้า แต่ความฝันกลับชัดเจนราวกับโลกจริง
เขายืนอยู่ในทางเดินของอาคาร บรรยากาศมันดูดูน่ากลัวกว่าที่เขาเห็นเมื่อตอนเย็นซะอีก ท่ามกลางเงามืด ไม่มีเสียง ไม่มีแสงน อกจากดวงไฟดวงเดียวที่ส่องลงมาบน… ประตูสีดำ 404
มันตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง ทางเดินที่มืดสนิท
ลูกบิดเหล็กเย็นเยียบเชื้อเชิญให้เขาแตะต้อง
หัวใจเขาเต้นแรง มือค่อย ๆ ยื่นไปจับ ความเย็นจากโลหะซึมผ่านเข้าสู่ปลายนิ้ว เหมือนน้ำแข็งกัดกินจนเจ็บ
เพียงเสี้ยววินาทีที่เขากำลังจะหมุนเปิด—
“อย่านะ!!”
เสียงกรีดร้องนั้นทำให้เขาสะดุ้ง
มัชฌา… เธอยืนอยู่อีกปลายทางเดิน สีหน้าซีดเผือด ดวงตาเบิกกว้างราวกับถูกฉุดมาจากโลกจริง
เธอวิ่งเข้ามาคว้ามือเขาไว้แน่นจนรู้สึกถึงแรงสั่น
“มิน อย่าเปิด… ถ้านายเปิด ทุกอย่างจะจบแบบที่นายไม่อยากเห็น”
เสียงกรีดร้องจากประตูดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้แรงจนโต๊ะไม้สั่นสะท้าน เสียงอ้อนวอน เสียงหัวเราะ เสียงร่ำไห้ก้องสะท้อนห้องเรียนราวกับมีใครนับร้อยอยู่ด้านใน
ยามินทร์หันไปมองมัชฌา เธอส่ายหัว น้ำตาไหลเอ่อเต็มขอบตา
“เชื่อฉัน… ได้โปรด”
โลกในฝันเริ่มบิดเบี้ยว ราวกับกำแพงกำลังถล่ม เสียงนั้นยังคงเรียกร้อง—
แต่เขาเลือกที่จะยืนเฉย ปล่อยให้มัชฌาจับมือแน่นไม่ยอมปล่อย
ภาพทั้งหมดแตกกระจายหายวับไปในความมืด
เขาสะดุ้งตื่นบนเตียง หายใจหอบถี่ เหงื่อเปียกโชกไปทั้งร่าง
ในหูยังคงก้องกังวานด้วยเสียงเชื้อเชิญจากบานประตูนั้น…
และเขารู้—
มันจะไม่หยุดเรียก จนกว่าเขาจะเลือก “เปิด” ด้วยมือของตัวเอง