พระพุทธศาสนา ดำเนินมาถึงเวลานี้ เป็นเวลาสองพันกว่าปีแล้ว
หากคำทำนายที่เราเคยได้ยินกันมา ที่ว่า พระพุทธศาสนาของ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโคตมโคดม องค์นี้จะมีอายุอยู่ห้าพันปี
ตอนนี้ก็ล่วงเข้ามาครึ่งทางแล้ว เมื่อผมพิจารณาดูแล้ว ก็พบว่า พระพุทธศาสนาได้เสื่อมลงแล้วจริงๆ ดังนี้
1.พระสงฆ์ส่วนใหญ่ไม่ทราบแล้วว่า จุดประสงค์ของการเข้ามาบวชในพุทธศาสนาเพื่ออะไร
เมื่อเข้ามาบวชแล้วควรทำอะไร และตัวเองได้ประโยชน์อะไรจากการบวช
เท่าที่ผู้เขียนเห็นโดยทั่วไป ส่วนมากจะเข้ามาบวชเพราะเห็นว่า "พระ" เป็นอาชีพหนึ่งที่เลี้ยงชีพตัวเองและครอบครัวได้
เมื่อเข้ามาบวชก็ยึดติดในลาภสักการะต่างๆที่ อุบาสก อุบาสิกา ถวายให้ จวบจนกระทั่งมรณภาพไป หากศึกษาธรรมมะ ก็เพียง
แต่เฉพาะข้อที่จะนำมาเพื่อใช้สอบเลื่อนชั้น หรือ มาเทศน์สั่งสอน บ้างตามพิธี
2. พระสงฆ์ส่วนใหญ่ หันมาเน้นเรื่องพิธีกรรม และบทสวดมนต์เป็นสำคัญ เพราะเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งลาภสักการะ ต่างๆ
จากญาติโยม และลูกศิษย์ลูกหา บางรูปก็งมงายในทางไสยศาสตร์ วันๆเอาแต่ปลุกเสกเครื่องรางของขลัง เพื่อจำหน่าย
เป็นเชิงพาณิชย์ ตามที่เห็นตามหน้าหนังสือนิตยสารต่างๆ บนแผงหนังสือทั่วไป
3. พระสงฆ์บางรูป หันมาเอาดีทางการแต่งหนังสือ และเป็นนักพูด ซึ่งนำมาซึ่งรายได้งามๆเข้ามา
แต่ภาพลักษณ์นั้นมิได้งามเลย เพราะว่าหนังสือที่แต่งส่วนใหญ่จะนำเอาหลักคุณธรรมทั่วไป
และสอดแทรกความรู้สึกส่วนตัวของตัวเองเข้าไป โดยมิได้นำเสนอ คำสอนของ
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโคตมโคดมที่แท้จริงเข้ามาเลยแม้แต่น้อย
และพระนักพูดบางรูป ก็ได้กล่าววาจามุสา และไร้สาระ ซึ่งเป็นการแสดงเจตนาผิดศีลอย่างชัดเจน
ต่อหน้าสาธารณะชน โดยไม่สะทกสะท้านใดๆทั้งสิ้น
4. หากมี อุบาสก อุบาสิกา บางท่านที่สนใจในพระธรรมคำสอนของ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโคตมโคดม
เข้ามาสอบถามปัญหาบางข้อที่สงสัย กับพระสงฆ์ พระสงฆ์ส่วนใหญ่มักจะตอบไม่ได้
และมักจะไล่ให้ไปอ่านพระไตรปิฎกเอาเอง เพราะคิดว่าโดนลองวิชาเข้าแล้ว เพระคิดว่าพระธรรม
เป็นเรื่องของคนโบราณ เข้าใจยาก ถ้าใครอยากรู้อะไร ก็ไปนั่งอ่านพระไตรปิฎกเอาเองก็ได้ ไม่ต้องมาถาม
5. พระสงฆ์ส่วนใหญ่ สมัยนี้ มิได้ใช้ชีวิตสมถะ และสันโดษ เหมือนเดิมแล้ว
ส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตเข้าใกล้เพศฆราวาสเข้าไปทุกทีแล้ว ดังจะได้เห็น พระสงฆ์ส่วนใหญ่ไม่สนใจปฏิบัติกิจที่
พระสงฆ์เคยทำมาแต่อดีตแล้ว เช่นการบิณฑบาตรตอนเช้า โปรดสัตว์โลก หรือการปฏิบัติธรรมอยู่ภายในวัด
พระสงฆ์ส่วนใหญ่มีการใช้เงินซื้ออาหารทานเอง ใช้เงินไปช็อปตามห้างสรรพสินค้า เพื่อซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคเอง
ตลอดจน การหันมานิยม การ ดูทีวี ฟังเพลง และนิยมสินค้าไอทีทันสมัยเหมือนทางโลก
ตามคำนายได้กล่าวถึงว่า
เมื่อใกล้ปีห้าพัน พระสงฆ์ตอนนั้น ต้องทำไร่ไถนา หุงหา อาหาร เพื่อเลี้ยงชีพเอง เนื่องจาก ไม่มี อุบาสก และอุบาสิกา
ที่เลื่อมใส ศรัทธา และเข้ามา เป็นผู้อุปภัมภ์พระศาสนาแล้ว ถึงตอนนั้น พระสงฆ์ ไม่จำเป็นต้องแต่งกายแบบพระสงฆ์แล้ว
มีเพียงผ้าเหลืองผืนเล็กๆเหน็บหูไว้ ก็เรียกพระสงฆ์แล้ว
เมื่อถามถึงพระธรรม คำสั่งสอนของ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่ปรากฎว่า มีพระสงฆ์รูปใดรู้จักเสียแล้ว
หน้าที่ของพระสงฆ์ตอนนั้นมีเพียงอย่างเดียวคือ เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เพื่อแลกกับ สิ่งตอบแทน เลี้ยงชีพ เท่านั้นเอง
และเมื่อถึงเวลาที่ผ้าเหลืองผืนเล็กๆนั้นหายไปจากหูของพระสงฆ์แล้ว นั่นหมายความถึง เป็นปีที่ห้าพัน ซึ่งสิ้นสุดพระพุทธศาสนา
ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโคตมโคดมแล้ว!!!
"พระพุทธศาสนาปัจจุบันเริ่มเสื่อมแล้ว"
หากคำทำนายที่เราเคยได้ยินกันมา ที่ว่า พระพุทธศาสนาของ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโคตมโคดม องค์นี้จะมีอายุอยู่ห้าพันปี
ตอนนี้ก็ล่วงเข้ามาครึ่งทางแล้ว เมื่อผมพิจารณาดูแล้ว ก็พบว่า พระพุทธศาสนาได้เสื่อมลงแล้วจริงๆ ดังนี้
1.พระสงฆ์ส่วนใหญ่ไม่ทราบแล้วว่า จุดประสงค์ของการเข้ามาบวชในพุทธศาสนาเพื่ออะไร
เมื่อเข้ามาบวชแล้วควรทำอะไร และตัวเองได้ประโยชน์อะไรจากการบวช
เท่าที่ผู้เขียนเห็นโดยทั่วไป ส่วนมากจะเข้ามาบวชเพราะเห็นว่า "พระ" เป็นอาชีพหนึ่งที่เลี้ยงชีพตัวเองและครอบครัวได้
เมื่อเข้ามาบวชก็ยึดติดในลาภสักการะต่างๆที่ อุบาสก อุบาสิกา ถวายให้ จวบจนกระทั่งมรณภาพไป หากศึกษาธรรมมะ ก็เพียง
แต่เฉพาะข้อที่จะนำมาเพื่อใช้สอบเลื่อนชั้น หรือ มาเทศน์สั่งสอน บ้างตามพิธี
2. พระสงฆ์ส่วนใหญ่ หันมาเน้นเรื่องพิธีกรรม และบทสวดมนต์เป็นสำคัญ เพราะเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งลาภสักการะ ต่างๆ
จากญาติโยม และลูกศิษย์ลูกหา บางรูปก็งมงายในทางไสยศาสตร์ วันๆเอาแต่ปลุกเสกเครื่องรางของขลัง เพื่อจำหน่าย
เป็นเชิงพาณิชย์ ตามที่เห็นตามหน้าหนังสือนิตยสารต่างๆ บนแผงหนังสือทั่วไป
3. พระสงฆ์บางรูป หันมาเอาดีทางการแต่งหนังสือ และเป็นนักพูด ซึ่งนำมาซึ่งรายได้งามๆเข้ามา
แต่ภาพลักษณ์นั้นมิได้งามเลย เพราะว่าหนังสือที่แต่งส่วนใหญ่จะนำเอาหลักคุณธรรมทั่วไป
และสอดแทรกความรู้สึกส่วนตัวของตัวเองเข้าไป โดยมิได้นำเสนอ คำสอนของ
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโคตมโคดมที่แท้จริงเข้ามาเลยแม้แต่น้อย
และพระนักพูดบางรูป ก็ได้กล่าววาจามุสา และไร้สาระ ซึ่งเป็นการแสดงเจตนาผิดศีลอย่างชัดเจน
ต่อหน้าสาธารณะชน โดยไม่สะทกสะท้านใดๆทั้งสิ้น
4. หากมี อุบาสก อุบาสิกา บางท่านที่สนใจในพระธรรมคำสอนของ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโคตมโคดม
เข้ามาสอบถามปัญหาบางข้อที่สงสัย กับพระสงฆ์ พระสงฆ์ส่วนใหญ่มักจะตอบไม่ได้
และมักจะไล่ให้ไปอ่านพระไตรปิฎกเอาเอง เพราะคิดว่าโดนลองวิชาเข้าแล้ว เพระคิดว่าพระธรรม
เป็นเรื่องของคนโบราณ เข้าใจยาก ถ้าใครอยากรู้อะไร ก็ไปนั่งอ่านพระไตรปิฎกเอาเองก็ได้ ไม่ต้องมาถาม
5. พระสงฆ์ส่วนใหญ่ สมัยนี้ มิได้ใช้ชีวิตสมถะ และสันโดษ เหมือนเดิมแล้ว
ส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตเข้าใกล้เพศฆราวาสเข้าไปทุกทีแล้ว ดังจะได้เห็น พระสงฆ์ส่วนใหญ่ไม่สนใจปฏิบัติกิจที่
พระสงฆ์เคยทำมาแต่อดีตแล้ว เช่นการบิณฑบาตรตอนเช้า โปรดสัตว์โลก หรือการปฏิบัติธรรมอยู่ภายในวัด
พระสงฆ์ส่วนใหญ่มีการใช้เงินซื้ออาหารทานเอง ใช้เงินไปช็อปตามห้างสรรพสินค้า เพื่อซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคเอง
ตลอดจน การหันมานิยม การ ดูทีวี ฟังเพลง และนิยมสินค้าไอทีทันสมัยเหมือนทางโลก
ตามคำนายได้กล่าวถึงว่า
เมื่อใกล้ปีห้าพัน พระสงฆ์ตอนนั้น ต้องทำไร่ไถนา หุงหา อาหาร เพื่อเลี้ยงชีพเอง เนื่องจาก ไม่มี อุบาสก และอุบาสิกา
ที่เลื่อมใส ศรัทธา และเข้ามา เป็นผู้อุปภัมภ์พระศาสนาแล้ว ถึงตอนนั้น พระสงฆ์ ไม่จำเป็นต้องแต่งกายแบบพระสงฆ์แล้ว
มีเพียงผ้าเหลืองผืนเล็กๆเหน็บหูไว้ ก็เรียกพระสงฆ์แล้ว
เมื่อถามถึงพระธรรม คำสั่งสอนของ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่ปรากฎว่า มีพระสงฆ์รูปใดรู้จักเสียแล้ว
หน้าที่ของพระสงฆ์ตอนนั้นมีเพียงอย่างเดียวคือ เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เพื่อแลกกับ สิ่งตอบแทน เลี้ยงชีพ เท่านั้นเอง
และเมื่อถึงเวลาที่ผ้าเหลืองผืนเล็กๆนั้นหายไปจากหูของพระสงฆ์แล้ว นั่นหมายความถึง เป็นปีที่ห้าพัน ซึ่งสิ้นสุดพระพุทธศาสนา
ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโคตมโคดมแล้ว!!!