จำนำทุกเมล็ดสร้างมหกรรมสารเคมี
นอกจากนี้ การปรัปปรุงปรับเปลี่ยนการผลิตครั้งแรกต้องใช้ทุนค่อนข้างเยอะ จึงทำให้การปรับเปลี่ยนของเขาเป็นไปได้ยาก ตนมีความเชื่อว่าภาคการเมืองและภาคประชาชนไม่มีวันที่จะวินวินด้วยกัน เพราะว่าถ้าภาคประชาชนเข้มแข็ง ภาคการเมืองอ่อนแอ ภาคประชาชนสามารถชี้นำว่าคุณต้องแบบนี้ ไม่อย่างนั้นผมไม่เอา อย่างโครงการจำนำที่ผมไม่เคยร่วมโครงการของรัฐ นี่คือความเข้มแข็งของภาคประชาชน ฉะนั้น ทำอย่างไรให้คนทุกคนมีความเข้มแข็งแบบนี้
“แต่ถ้าภาคประชาชนอ่อนแอเมื่อไหร่ ก็รอพึ่งรัฐ เฮโลไป ไม่รู้เลยว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร อันนี้ผมมีความเชื่อว่า เขา (นักการเมือง) รู้ รู้ปัญหานี้ แต่เขาต้องการควบคุมภาคประชาชนให้อยู่ เพื่อนำไปสู่ผลประโยชน์ของการเมือง นี่คือสิ่งที่ผมเห็น”
นอกจากนี้ ในเรื่องทุน รัฐต้องไม่เอาเงินไปให้ แต่สนับสนุนโดยไปตั้งเป็นกองทุนเพื่อที่จะจัดการ เพราะแต่ละกลุ่มแต่ละองค์กรที่มีอยู่ในชุมชน ในท้องที่ เขาสามารถ เขามีวิธีการ มีกฎระเบียบอยู่แล้ว เขาจัดการได้ รัฐไม่ต้องไปชี้ว่าต้องทำอย่างไร เพียงแต่ตั้งกระบวนการตรวจสอบให้เข้มข้น โปร่งใส และให้เขาจัดการ อันนี้น่าจะทำให้เกษตรกรมีความยั่งยืน
“การประกาศจำนำข้าวเมื่อ 2 ปีที่แล้ว สมาชิกข้าวอินทรีย์หดหาย เพราะรัฐจำนำข้าวในราคาสูง เหตุผลที่เกษตรกรเลิกทำอินทรีย์ก็คือ เขาบอกว่าเอาตีนเขี่ยๆ ก็ได้แล้ว 20 บาทต่อกิโลกรัม (20,000 บาทต่อตัน) คือหว่านวันเดียว หญ้ามาก็ฉีดยา ข้าวไม่งามก็ใส่ปุ๋ย มันง่ายมาก ทำให้เกษตรกรเปลี่ยน ไม่ทำเกษตรอินทรีย์ ทำให้สหกรณ์ของเราได้รับผลกระทบเยอะ เพราะมีออร์เดอร์แต่ไม่มีข้าว ข้าวอินทรีย์หายไป 300-400 ตัน ปีนี้ที่เราทำคือประกันราคาที่ 21 บาทต่อกิโลกรัม เท่ากับ 21,000 บาทต่อตัน จริงๆ ผมขายได้ 23,400 บาท เพราะเป็นข้าวคุณภาพ”
“เวลาส่งเสริมแบบนี้แล้ว รัฐอย่าไปออกนโยบายที่มันไปทำลายเขา เช่น ให้เขาทำเกษตรอินทรีย์แล้ว แต่ไปออกนโยบายจำนำข้าวทุกเมล็ด คนที่ปลูกข้าวอินทรีย์แทบอยู่ไม่ได้ ลูกค้าสั่งของไม่ได้ของ เพราะชาวนาสมาชิกเอาข้าวไปเข้าโครงการรับจำนำหมด”
ปีนี้เผาหลอกปีหน้าเผาจริง ชี้ชาวนาเนรคุณ ผลิตข้าวไร้คุณภาพ
นายเดชากล่าวว่า “วันนี้ชาวนาป่วยเพราะโรคจำนำข้าว ต้องกินยา แต่ยาที่ผมจะบอกมันขม บางคนไม่อยากกิน ที่ผมพูดมันขมทั้งนั้น แต่ถ้ากินอาจจะหาย ไม่กินตายแน่ ปี 2557 ชาวนากำลังถูกเผาหลอก ชาวนาร้องไห้ ตายไป 11 คน แล้ว นี่ยังไม่ใช่ที่สุด แค่เตือนว่าโครงการรับจำนำข้าว หากไม่ปรับตัว คราวนี้ตายหมด”
นายเดชากล่าวต่อว่าปี 2558 เผาจริง เกษตรกรยังไม่รู้เรื่องว่าตัวเองจะตายปีหน้า เพราะปีหน้า AEC มันเปิด แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ข้าวจากพม่า ข้าวจากเขมร ข้าวจากเวียดนาม เข้ามาในไทยโดยเสรีไม่มีภาษี เรารู้ตัวไหมว่าชาวนาไทยต้นทุนสูงมาก ข้าวนาปรัง ปี 2556 ต้นทุน 8,711 บาทต่อตัน ของเวียดนามปีเดียวกัน 4,960 บาท
“เพราะฉะนั้น AEC เปิดเมื่อไร ราคาข้าวเหลือ 6,000 บาทต่อตัน ผมว่าบุญแล้ว เราตายตั้งแต่ก่อนจะขายแล้ว แต่ไม่น่ากลัวเท่าพม่ากับเขมร เพราะต้นทุนเขาต่ำกว่านี้ เขาไม่บอก เขามีกำไรแน่นอน และพม่ากับเขมรชายแดนติดกับไทย ปีที่แล้ว ขนาดไม่เปิดเสรี ก็นำเข้ามาแล้วตั้ง 7 แสนกว่าตัน เข้ามาผิดกฎหมาย และที่น่ากลัวคือคุณภาพข้าวเขมรและพม่ามันสูงกว่าข้าวไทยมาก เพราะเขามีแต่ข้าวพื้นบ้าน ข้าวนาปี การประกวดข้าวโลก 5 ปีที่ผ่านมา ข้าวหมอมะลิไทยชนะแค่ 2 ปีแรกเท่านั้น ปีที่ 3 ข้าวไข่มุกพม่า ปีที่ 4-5 เขมรชนะ จะเห็นว่าข้าวที่ดีที่สุดในโลกอยู่ที่พม่ากับเขมร และอยู่ติดกับไทย ราคาถูกกว่าเรา อย่างนี้ตายไหม แล้วใครจะช่วย”
นายเดชากล่าวย้ำว่า เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดมาก ตนฟันธงว่าอีก 10 ปีชาวนาเหลือไม่ถึง 5% คนที่เหลือคือคนที่ปลูกข้าวคุณภาพสูง หรือพวกปลูกข้าวอินทรีย์ส่งต่างประเทศ และคนที่มีต้นทุนต่ำมาก แต่ถ้าหากไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น สิ่งที่ต้องช่วยกันทำคือ เกษตรกรรวมตัวกันกับสภาการเกษตร ไปปิดล้อมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อไปบอกว่าก่อนจะเปิด AEC ให้เอาข้าวไปขึ้นบัญชีเป็นสินค้าอ่อนไหว เอาไปใส่ให้ได้สัก 5 ปีเป็นอย่างน้อย
“ประเทศอื่นไม่เอา แต่ของไทยเปิดไปได้อย่างไร คนตั้ง 18 ล้านคนอยู่ในภาคนี้ สู้ไม่ได้เลยทั้งต้นทุน คุณภาพ ปริมาณ หากยกเป็นสินค้าอ่อนไหวไม่ได้ ก็ต้องเรียกร้องรัฐ คือ 1. ให้จัดโครงสร้างพื้นฐานให้เรียบร้อย ชาวนาต้องมีที่ดิน ตอนนี้ที่ดินอยู่ในมือใคร ชาวนาเช่านากี่เปอร์เซ็นต์ คุณปฏิรูปที่ดินมาตั้งแต่ปี 2517 ไม่สำเร็จเลย เป็นการเอาที่ดินสาธารณะไปผ่านมือคนจนสักหน่อย แล้วไปอยู่มือคนรวย ไม่เคยเอาที่ดินคนรวยมาให้คนจนได้สักไร่เดียว ไปดูวังน้ำเขียว เขตปฏิรูป มีคนจนไหม ดูได้จากรีสอร์ททั้งหลาย”
http://thaipublica.org/2014/02/rnn-thailand-reform-2-1/
กูรูชาวนาแนะบทเรียนจำนำข้าว ต้อง “ปฏิรูปชาวนา” วิพากษ์”เนรคุณ” ผลิตข้าวไร้คุณภาพ-มหกรรมใช้สารพิษ
นอกจากนี้ การปรัปปรุงปรับเปลี่ยนการผลิตครั้งแรกต้องใช้ทุนค่อนข้างเยอะ จึงทำให้การปรับเปลี่ยนของเขาเป็นไปได้ยาก ตนมีความเชื่อว่าภาคการเมืองและภาคประชาชนไม่มีวันที่จะวินวินด้วยกัน เพราะว่าถ้าภาคประชาชนเข้มแข็ง ภาคการเมืองอ่อนแอ ภาคประชาชนสามารถชี้นำว่าคุณต้องแบบนี้ ไม่อย่างนั้นผมไม่เอา อย่างโครงการจำนำที่ผมไม่เคยร่วมโครงการของรัฐ นี่คือความเข้มแข็งของภาคประชาชน ฉะนั้น ทำอย่างไรให้คนทุกคนมีความเข้มแข็งแบบนี้
“แต่ถ้าภาคประชาชนอ่อนแอเมื่อไหร่ ก็รอพึ่งรัฐ เฮโลไป ไม่รู้เลยว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร อันนี้ผมมีความเชื่อว่า เขา (นักการเมือง) รู้ รู้ปัญหานี้ แต่เขาต้องการควบคุมภาคประชาชนให้อยู่ เพื่อนำไปสู่ผลประโยชน์ของการเมือง นี่คือสิ่งที่ผมเห็น”
นอกจากนี้ ในเรื่องทุน รัฐต้องไม่เอาเงินไปให้ แต่สนับสนุนโดยไปตั้งเป็นกองทุนเพื่อที่จะจัดการ เพราะแต่ละกลุ่มแต่ละองค์กรที่มีอยู่ในชุมชน ในท้องที่ เขาสามารถ เขามีวิธีการ มีกฎระเบียบอยู่แล้ว เขาจัดการได้ รัฐไม่ต้องไปชี้ว่าต้องทำอย่างไร เพียงแต่ตั้งกระบวนการตรวจสอบให้เข้มข้น โปร่งใส และให้เขาจัดการ อันนี้น่าจะทำให้เกษตรกรมีความยั่งยืน
“การประกาศจำนำข้าวเมื่อ 2 ปีที่แล้ว สมาชิกข้าวอินทรีย์หดหาย เพราะรัฐจำนำข้าวในราคาสูง เหตุผลที่เกษตรกรเลิกทำอินทรีย์ก็คือ เขาบอกว่าเอาตีนเขี่ยๆ ก็ได้แล้ว 20 บาทต่อกิโลกรัม (20,000 บาทต่อตัน) คือหว่านวันเดียว หญ้ามาก็ฉีดยา ข้าวไม่งามก็ใส่ปุ๋ย มันง่ายมาก ทำให้เกษตรกรเปลี่ยน ไม่ทำเกษตรอินทรีย์ ทำให้สหกรณ์ของเราได้รับผลกระทบเยอะ เพราะมีออร์เดอร์แต่ไม่มีข้าว ข้าวอินทรีย์หายไป 300-400 ตัน ปีนี้ที่เราทำคือประกันราคาที่ 21 บาทต่อกิโลกรัม เท่ากับ 21,000 บาทต่อตัน จริงๆ ผมขายได้ 23,400 บาท เพราะเป็นข้าวคุณภาพ”
“เวลาส่งเสริมแบบนี้แล้ว รัฐอย่าไปออกนโยบายที่มันไปทำลายเขา เช่น ให้เขาทำเกษตรอินทรีย์แล้ว แต่ไปออกนโยบายจำนำข้าวทุกเมล็ด คนที่ปลูกข้าวอินทรีย์แทบอยู่ไม่ได้ ลูกค้าสั่งของไม่ได้ของ เพราะชาวนาสมาชิกเอาข้าวไปเข้าโครงการรับจำนำหมด”
ปีนี้เผาหลอกปีหน้าเผาจริง ชี้ชาวนาเนรคุณ ผลิตข้าวไร้คุณภาพ
นายเดชากล่าวว่า “วันนี้ชาวนาป่วยเพราะโรคจำนำข้าว ต้องกินยา แต่ยาที่ผมจะบอกมันขม บางคนไม่อยากกิน ที่ผมพูดมันขมทั้งนั้น แต่ถ้ากินอาจจะหาย ไม่กินตายแน่ ปี 2557 ชาวนากำลังถูกเผาหลอก ชาวนาร้องไห้ ตายไป 11 คน แล้ว นี่ยังไม่ใช่ที่สุด แค่เตือนว่าโครงการรับจำนำข้าว หากไม่ปรับตัว คราวนี้ตายหมด”
นายเดชากล่าวต่อว่าปี 2558 เผาจริง เกษตรกรยังไม่รู้เรื่องว่าตัวเองจะตายปีหน้า เพราะปีหน้า AEC มันเปิด แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ข้าวจากพม่า ข้าวจากเขมร ข้าวจากเวียดนาม เข้ามาในไทยโดยเสรีไม่มีภาษี เรารู้ตัวไหมว่าชาวนาไทยต้นทุนสูงมาก ข้าวนาปรัง ปี 2556 ต้นทุน 8,711 บาทต่อตัน ของเวียดนามปีเดียวกัน 4,960 บาท
“เพราะฉะนั้น AEC เปิดเมื่อไร ราคาข้าวเหลือ 6,000 บาทต่อตัน ผมว่าบุญแล้ว เราตายตั้งแต่ก่อนจะขายแล้ว แต่ไม่น่ากลัวเท่าพม่ากับเขมร เพราะต้นทุนเขาต่ำกว่านี้ เขาไม่บอก เขามีกำไรแน่นอน และพม่ากับเขมรชายแดนติดกับไทย ปีที่แล้ว ขนาดไม่เปิดเสรี ก็นำเข้ามาแล้วตั้ง 7 แสนกว่าตัน เข้ามาผิดกฎหมาย และที่น่ากลัวคือคุณภาพข้าวเขมรและพม่ามันสูงกว่าข้าวไทยมาก เพราะเขามีแต่ข้าวพื้นบ้าน ข้าวนาปี การประกวดข้าวโลก 5 ปีที่ผ่านมา ข้าวหมอมะลิไทยชนะแค่ 2 ปีแรกเท่านั้น ปีที่ 3 ข้าวไข่มุกพม่า ปีที่ 4-5 เขมรชนะ จะเห็นว่าข้าวที่ดีที่สุดในโลกอยู่ที่พม่ากับเขมร และอยู่ติดกับไทย ราคาถูกกว่าเรา อย่างนี้ตายไหม แล้วใครจะช่วย”
นายเดชากล่าวย้ำว่า เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดมาก ตนฟันธงว่าอีก 10 ปีชาวนาเหลือไม่ถึง 5% คนที่เหลือคือคนที่ปลูกข้าวคุณภาพสูง หรือพวกปลูกข้าวอินทรีย์ส่งต่างประเทศ และคนที่มีต้นทุนต่ำมาก แต่ถ้าหากไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น สิ่งที่ต้องช่วยกันทำคือ เกษตรกรรวมตัวกันกับสภาการเกษตร ไปปิดล้อมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อไปบอกว่าก่อนจะเปิด AEC ให้เอาข้าวไปขึ้นบัญชีเป็นสินค้าอ่อนไหว เอาไปใส่ให้ได้สัก 5 ปีเป็นอย่างน้อย
“ประเทศอื่นไม่เอา แต่ของไทยเปิดไปได้อย่างไร คนตั้ง 18 ล้านคนอยู่ในภาคนี้ สู้ไม่ได้เลยทั้งต้นทุน คุณภาพ ปริมาณ หากยกเป็นสินค้าอ่อนไหวไม่ได้ ก็ต้องเรียกร้องรัฐ คือ 1. ให้จัดโครงสร้างพื้นฐานให้เรียบร้อย ชาวนาต้องมีที่ดิน ตอนนี้ที่ดินอยู่ในมือใคร ชาวนาเช่านากี่เปอร์เซ็นต์ คุณปฏิรูปที่ดินมาตั้งแต่ปี 2517 ไม่สำเร็จเลย เป็นการเอาที่ดินสาธารณะไปผ่านมือคนจนสักหน่อย แล้วไปอยู่มือคนรวย ไม่เคยเอาที่ดินคนรวยมาให้คนจนได้สักไร่เดียว ไปดูวังน้ำเขียว เขตปฏิรูป มีคนจนไหม ดูได้จากรีสอร์ททั้งหลาย”
http://thaipublica.org/2014/02/rnn-thailand-reform-2-1/