อายุก็ปาเข้าไป 30+ ปีแล้ว ทำไมถึงยังไม่มีแฟนเหมือนใครๆ

หน้าตา ก็ไม่ได้แย่มาก พอไปวัดไปวาได้...คิดเอาเองนะครับ ฮ่าๆ
อาชีพ การงานค่อนข้างมั่นคง มีรายได้ทั้งจากงานประจำ+งานเสริม
นิสัย ภายนอกดูสุขุม ใจเย็น แต่จริงๆ ใจร้อน
ที่ผ่านมา ช่วงอายุยี่สิบต้นๆ ผมเคยมีคนที่ชอบพอ สมมติว่าชื่อ T แล้วกันนะครับ เริ่มจากเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ได้พึ่งพาอาศัย เวลาผมมีปัญหา T ก็จะมาคอยช่วย (ขอยกตัวอย่างนะครับ...ก็คนมันปลื้มนี่นา เช่นมีอยู่ครั้งหนึ่ง งานผมยุ่งมาก ต้องเดินไปนู่นมานี่ตลอด แทบไม่ได้นั่ง แทบไม่ได้กินข้าวเที่ยง พอกลับมาที่โต๊ะทำงาน เห็นมีกล่องข้าววางอยู่ พี่ข้างๆบอก เพื่อนน้องเอามาทิ้งไว้ให้...โห โครตดีใจเลย แทบอยากจะเก็บเข้าช่องแช่แข็งไว้ดูนานๆ แต่ก็จำเป็นต้องกินเพราะมันหิวมาก หรือบางครั้งพอทำงานยุ่งๆ แล้วกลับมาเคลียร์เอกสารที่โต๊ะทำงาน หันหน้ามาอีกที ไม่รู้ไอ้บ้าที่ไหน ดันมาเสนอหน้าส่งยิ้มอยู่ข้างโต๊ะเสียนี่...หายเหนื่อยเลยว่ะครับ) ส่วนเวลา T มีปัญหา ผมก็จะคอยช่วยเขาเสมอๆ จากความสนิท ก่อเกิดเป็นความผูกพันธ์ ความรัก (ผมเรียกมันว่าความรัก แต่ไม่รู้ T จะเรียกมันว่าอะไร ...ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน) ความสัมพันธ์เราไปได้ดี เป็นช่วงเวลา 1 ปีที่ผมมีความสุขมากๆ ได้เจอหน้ากันบ่อยๆ ทานข้าวกัน ไปเที่ยวดูหนังกันบ้าง แต่ T เขาค่อนข้างห่วงภาพลักษณ์ครับ ต่อหน้าคนอื่น จะทำเหมือนเพื่อนกันปกติ จะจับมือเขาได้ต้องอยู่กันสองต่อสอง หรือในตอนขับรถ ซึ่งต่างกับผม ที่ไม่แคร์หรอก ใครจะว่ายังไง เราไม่ได้ทำอะไรเสียหาย ไม่ได้ไปก่ออาชญากรรม....นี่เป็นเรื่องแรกๆ ที่เราเห็นไม่ตรงกัน
ผ่าน 1 ปี ที่แสนสุขไป พักหลัง T เริ่มทำตัวออกห่างผมไป ผมพยายามถามว่าทำอะไรผิด เขาก็ไม่พูด ไม่บอก จากที่เคยกินข้าวด้วยกันบ่อยๆ กลายเป็น เดือนละครั้ง หนักๆเข้า ก็สองเดือนครั้ง เคยเค้นคอถาม T ก็ตอบเสียงเบาๆ เขาบอกว่า เขาเป็นคนเห็นแก่ตัวเรื่องความรัก กลัวที่จะมอบความรักให้ใครไปจริงๆ...ผมเองก็รับฟังมาแบบงงๆ ต้องมาแปลไทยเป็นไทยอีกที แล้วสุดท้ายเขาก็ย้ายไปที่ทำงานใหม่ ไกลจากที่เดิม 500 กม...ผมใจหายวูบ อย่างที่ไม่เคยรุ้สึกมาก่อน ช่วงนั้นผมแทบไม่เป็นอันทำงาน ทำงานไม่มีสมาธิ ใจมันว้าวุ่นคิดถึงเขาตลอด หลังจากนั้น เราแทบไม่ได้คุยกันอีกเลย 1-2 เดือน ผมจะโทรหาแล้วได้คุยกับเขาสักครั้ง ส่วนเรื่องที่เขาจะโทรมาหา ลืมไปได้เลย เป็นแบบนี้อยู่ 3-4 ปี แล้ว T ก็ค่อยๆทำตัวหายไปกับกาลเวลา แต่ภาพของเขายังชัดเจนในใจผมตลอด ผมไม่เคยลืมเขาได้เลย เสื้อที่เขาซื้อให้ หนังที่เคยไปดูด้วยกัน ที่ๆเคยไปด้วยกัน.. ผมพยายามพิจารณาจิตตัวเอง นั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรม จนถึงขั้นบวช จนคิดว่าสามารถปล่อยวางได้แล้ว ช่วงนี้ผมดีขึ้น
จนมาเมื่อปี 2554 ผมได้ย้ายไปทำงานที่อำเภอบ้านเกิดของ T (สาบานจริงๆว่าไม่ได้เจาะจงมา คงเป็นเพราะชะตาลิขิต) คุณแม่ของ T พอรู้ว่า “เพื่อนสนิท”ของลูก มาอยู่ใกล้ๆ ท่านดีใจมาก ก่อนหน้านี้ก็เคยพบท่านบ้าง แต่ไม่ได้สนิทอะไร พอได้มาอยู่ใกล้ๆท่านแล้ว รู้สึกอบอุ่นมาก ท่านให้ความรัก และเมตตาผม เหมือนผมเป็นลูกคนหนึ่งเลยทีเดียว บ่นกับผมบ่อยๆ ว่า T ไปทำงานไกลบ้าน ไม่ค่อยได้กลับบ้านเลย ผมกับคุณแม่ T ก็ไปมาหาสู่ ช่วยเหลือกันตลอด มีของฝาก ของกิน ขนมมาไม่ขาด ถูกใจผมมาก ช่วงนี้ผมก็ถือว่ามีความสุขพอควร ได้เห็นหน้าแม่ก็เหมือนเห็นหน้าลูก ได้ช่วยเหลือในหลายๆอย่าง ทำในหลายๆสิ่ง เพื่อแม่ของคนที่เรารัก ก็สุขใจไปอีกแบบ
ต้นปี 2556 T กลับมาบ้าน เลยได้คุยกัน เขาชวนผมไปกินข้าว ตอนแรกลังเลว่าจะไปดีไหม แต่คิดว่าที่ผ่านมาเราได้ฝึกจนเข้มแข็ง คงไม่อ่อนแออีกแล้ว เลยตัดสินใจไปกินข้าวกัน แต่หลังหลับจากกินข้าวด้วยกันเสร็จ ผมพบว่า สิ่งที่ผมฝึกจิต เฝ้าปล่อยวาง ทำว่าเข้มแข็งมาคลอด 6-7 ปีนั้น มันไม่ประโยชน์อะไรเลย ผมยังเป็นไอ้คนอ่อนแอคนเดิม อ่อนแอไปกับความรู้สึกที่หวั่นไหว ยังคงรักเขาเหมือนๆ เดิมที่ผ่านๆมา โทรไปร้องไห้กับเพื่อนเสร็จ เพื่อนมันก็ด่าว่า ยังสาระแนไปเจอเขาอีกนะ แกน่ะเลิกรัก T ไม่ได้หรอก...
ธค 2556 ผมได้รับทราบข่าวว่า T มีแฟนใหม่ (จริงๆ อาจมีมาก่อนหน้านั้น แต่ผมไม่ทราบเอง) เป็นรุ่นน้องหน้าตาดี ทำงานอยู่ที่เดียวกัน (ผมดูในเฟซบุค น้องเขาก็น่ารักจริงๆ ดูเหมาะสมกันดี) นับว่าควรเป็นข่าวดี ที่ผมน่าจะดีใจไปกับคนที่ผมรักใช่ไหมครับ...แต่ ไอ้คนเห็นแก่ตัวคนนี้ กลับรู้สึกเฮริ์ทมาก (ไม่รู้จะเฮริ์ททำไม แฟนก็ไม่ใช่) กินไม่ได้ นอนไม่หลับ หวง ไม่ยอมปล่อย วัฏจักรความเศร้าเดิมๆ วนเข้ามาอีกแล้ว จิตดิ่งสู่ความมืดอย่างที่สุด ต้องกินยาจิตเวชต้านเศร้า และคลายเครียด เรื่องที่จะไปก่อกวน รบกวนหึงหวงที่ที่ทำงานเขา ผมคงไม่ทำ (ผมจะไม่ทำให้คนที่ผมรักต้องเสียประวัติด้วยเรื่องพวกนี้เด็ดขาด) ตอนนี้ที่ทำได้คือ นั่งมองจิตของตัวเอง พยายามฝึกที่จะปล่อยวางอีกครั้ง...แต่หนนี้ ยากมากจริงๆครับ ยังทำไม่สำเร็จ และผมคงไม่สามารถที่จะรักใครได้อีกเลย หรือว่าชาติที่แล้ว ผมคงไปก่อกรรมกับเขาไว้มาก ชาตินี้เขาถึงได้มาเป็นเจ้ากรรมนายเวร ตามมาเอาคืนผมอย่างสาสมปางตาย (จริงๆเขาแทบไม่ได้ทำอะไรเลย มีแต่ความคิดของเราที่ทำร้ายตัวเราเอง) บางครั้งคิดดูเหมือนตัวเองไม่มีค่า ถึงไม่มีใครอยากอยู่ด้วย
ผมควรจะทำอย่างไรต่อไปดีครับ

ขอบคุณที่ทนอ่านเรื่องน้ำเน่าๆ ของคนขี้แพ้คนหนึ่งนะครับ


ปล.ผมและ T เป็นเกย์นะครับ (แต่ไม่แสดงออกวี้ดว้าย คงด้วยเพราะอาชีพการงาน ที่ต้องอาศัยความน่าเชื่อถือ)
Lonely guy ทำไมผมถึงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว
หน้าตา ก็ไม่ได้แย่มาก พอไปวัดไปวาได้...คิดเอาเองนะครับ ฮ่าๆ
อาชีพ การงานค่อนข้างมั่นคง มีรายได้ทั้งจากงานประจำ+งานเสริม
นิสัย ภายนอกดูสุขุม ใจเย็น แต่จริงๆ ใจร้อน
ที่ผ่านมา ช่วงอายุยี่สิบต้นๆ ผมเคยมีคนที่ชอบพอ สมมติว่าชื่อ T แล้วกันนะครับ เริ่มจากเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ได้พึ่งพาอาศัย เวลาผมมีปัญหา T ก็จะมาคอยช่วย (ขอยกตัวอย่างนะครับ...ก็คนมันปลื้มนี่นา เช่นมีอยู่ครั้งหนึ่ง งานผมยุ่งมาก ต้องเดินไปนู่นมานี่ตลอด แทบไม่ได้นั่ง แทบไม่ได้กินข้าวเที่ยง พอกลับมาที่โต๊ะทำงาน เห็นมีกล่องข้าววางอยู่ พี่ข้างๆบอก เพื่อนน้องเอามาทิ้งไว้ให้...โห โครตดีใจเลย แทบอยากจะเก็บเข้าช่องแช่แข็งไว้ดูนานๆ แต่ก็จำเป็นต้องกินเพราะมันหิวมาก หรือบางครั้งพอทำงานยุ่งๆ แล้วกลับมาเคลียร์เอกสารที่โต๊ะทำงาน หันหน้ามาอีกที ไม่รู้ไอ้บ้าที่ไหน ดันมาเสนอหน้าส่งยิ้มอยู่ข้างโต๊ะเสียนี่...หายเหนื่อยเลยว่ะครับ) ส่วนเวลา T มีปัญหา ผมก็จะคอยช่วยเขาเสมอๆ จากความสนิท ก่อเกิดเป็นความผูกพันธ์ ความรัก (ผมเรียกมันว่าความรัก แต่ไม่รู้ T จะเรียกมันว่าอะไร ...ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน) ความสัมพันธ์เราไปได้ดี เป็นช่วงเวลา 1 ปีที่ผมมีความสุขมากๆ ได้เจอหน้ากันบ่อยๆ ทานข้าวกัน ไปเที่ยวดูหนังกันบ้าง แต่ T เขาค่อนข้างห่วงภาพลักษณ์ครับ ต่อหน้าคนอื่น จะทำเหมือนเพื่อนกันปกติ จะจับมือเขาได้ต้องอยู่กันสองต่อสอง หรือในตอนขับรถ ซึ่งต่างกับผม ที่ไม่แคร์หรอก ใครจะว่ายังไง เราไม่ได้ทำอะไรเสียหาย ไม่ได้ไปก่ออาชญากรรม....นี่เป็นเรื่องแรกๆ ที่เราเห็นไม่ตรงกัน
ผ่าน 1 ปี ที่แสนสุขไป พักหลัง T เริ่มทำตัวออกห่างผมไป ผมพยายามถามว่าทำอะไรผิด เขาก็ไม่พูด ไม่บอก จากที่เคยกินข้าวด้วยกันบ่อยๆ กลายเป็น เดือนละครั้ง หนักๆเข้า ก็สองเดือนครั้ง เคยเค้นคอถาม T ก็ตอบเสียงเบาๆ เขาบอกว่า เขาเป็นคนเห็นแก่ตัวเรื่องความรัก กลัวที่จะมอบความรักให้ใครไปจริงๆ...ผมเองก็รับฟังมาแบบงงๆ ต้องมาแปลไทยเป็นไทยอีกที แล้วสุดท้ายเขาก็ย้ายไปที่ทำงานใหม่ ไกลจากที่เดิม 500 กม...ผมใจหายวูบ อย่างที่ไม่เคยรุ้สึกมาก่อน ช่วงนั้นผมแทบไม่เป็นอันทำงาน ทำงานไม่มีสมาธิ ใจมันว้าวุ่นคิดถึงเขาตลอด หลังจากนั้น เราแทบไม่ได้คุยกันอีกเลย 1-2 เดือน ผมจะโทรหาแล้วได้คุยกับเขาสักครั้ง ส่วนเรื่องที่เขาจะโทรมาหา ลืมไปได้เลย เป็นแบบนี้อยู่ 3-4 ปี แล้ว T ก็ค่อยๆทำตัวหายไปกับกาลเวลา แต่ภาพของเขายังชัดเจนในใจผมตลอด ผมไม่เคยลืมเขาได้เลย เสื้อที่เขาซื้อให้ หนังที่เคยไปดูด้วยกัน ที่ๆเคยไปด้วยกัน.. ผมพยายามพิจารณาจิตตัวเอง นั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรม จนถึงขั้นบวช จนคิดว่าสามารถปล่อยวางได้แล้ว ช่วงนี้ผมดีขึ้น
จนมาเมื่อปี 2554 ผมได้ย้ายไปทำงานที่อำเภอบ้านเกิดของ T (สาบานจริงๆว่าไม่ได้เจาะจงมา คงเป็นเพราะชะตาลิขิต) คุณแม่ของ T พอรู้ว่า “เพื่อนสนิท”ของลูก มาอยู่ใกล้ๆ ท่านดีใจมาก ก่อนหน้านี้ก็เคยพบท่านบ้าง แต่ไม่ได้สนิทอะไร พอได้มาอยู่ใกล้ๆท่านแล้ว รู้สึกอบอุ่นมาก ท่านให้ความรัก และเมตตาผม เหมือนผมเป็นลูกคนหนึ่งเลยทีเดียว บ่นกับผมบ่อยๆ ว่า T ไปทำงานไกลบ้าน ไม่ค่อยได้กลับบ้านเลย ผมกับคุณแม่ T ก็ไปมาหาสู่ ช่วยเหลือกันตลอด มีของฝาก ของกิน ขนมมาไม่ขาด ถูกใจผมมาก ช่วงนี้ผมก็ถือว่ามีความสุขพอควร ได้เห็นหน้าแม่ก็เหมือนเห็นหน้าลูก ได้ช่วยเหลือในหลายๆอย่าง ทำในหลายๆสิ่ง เพื่อแม่ของคนที่เรารัก ก็สุขใจไปอีกแบบ
ต้นปี 2556 T กลับมาบ้าน เลยได้คุยกัน เขาชวนผมไปกินข้าว ตอนแรกลังเลว่าจะไปดีไหม แต่คิดว่าที่ผ่านมาเราได้ฝึกจนเข้มแข็ง คงไม่อ่อนแออีกแล้ว เลยตัดสินใจไปกินข้าวกัน แต่หลังหลับจากกินข้าวด้วยกันเสร็จ ผมพบว่า สิ่งที่ผมฝึกจิต เฝ้าปล่อยวาง ทำว่าเข้มแข็งมาคลอด 6-7 ปีนั้น มันไม่ประโยชน์อะไรเลย ผมยังเป็นไอ้คนอ่อนแอคนเดิม อ่อนแอไปกับความรู้สึกที่หวั่นไหว ยังคงรักเขาเหมือนๆ เดิมที่ผ่านๆมา โทรไปร้องไห้กับเพื่อนเสร็จ เพื่อนมันก็ด่าว่า ยังสาระแนไปเจอเขาอีกนะ แกน่ะเลิกรัก T ไม่ได้หรอก...
ธค 2556 ผมได้รับทราบข่าวว่า T มีแฟนใหม่ (จริงๆ อาจมีมาก่อนหน้านั้น แต่ผมไม่ทราบเอง) เป็นรุ่นน้องหน้าตาดี ทำงานอยู่ที่เดียวกัน (ผมดูในเฟซบุค น้องเขาก็น่ารักจริงๆ ดูเหมาะสมกันดี) นับว่าควรเป็นข่าวดี ที่ผมน่าจะดีใจไปกับคนที่ผมรักใช่ไหมครับ...แต่ ไอ้คนเห็นแก่ตัวคนนี้ กลับรู้สึกเฮริ์ทมาก (ไม่รู้จะเฮริ์ททำไม แฟนก็ไม่ใช่) กินไม่ได้ นอนไม่หลับ หวง ไม่ยอมปล่อย วัฏจักรความเศร้าเดิมๆ วนเข้ามาอีกแล้ว จิตดิ่งสู่ความมืดอย่างที่สุด ต้องกินยาจิตเวชต้านเศร้า และคลายเครียด เรื่องที่จะไปก่อกวน รบกวนหึงหวงที่ที่ทำงานเขา ผมคงไม่ทำ (ผมจะไม่ทำให้คนที่ผมรักต้องเสียประวัติด้วยเรื่องพวกนี้เด็ดขาด) ตอนนี้ที่ทำได้คือ นั่งมองจิตของตัวเอง พยายามฝึกที่จะปล่อยวางอีกครั้ง...แต่หนนี้ ยากมากจริงๆครับ ยังทำไม่สำเร็จ และผมคงไม่สามารถที่จะรักใครได้อีกเลย หรือว่าชาติที่แล้ว ผมคงไปก่อกรรมกับเขาไว้มาก ชาตินี้เขาถึงได้มาเป็นเจ้ากรรมนายเวร ตามมาเอาคืนผมอย่างสาสมปางตาย (จริงๆเขาแทบไม่ได้ทำอะไรเลย มีแต่ความคิดของเราที่ทำร้ายตัวเราเอง) บางครั้งคิดดูเหมือนตัวเองไม่มีค่า ถึงไม่มีใครอยากอยู่ด้วย
ผมควรจะทำอย่างไรต่อไปดีครับ
ขอบคุณที่ทนอ่านเรื่องน้ำเน่าๆ ของคนขี้แพ้คนหนึ่งนะครับ
ปล.ผมและ T เป็นเกย์นะครับ (แต่ไม่แสดงออกวี้ดว้าย คงด้วยเพราะอาชีพการงาน ที่ต้องอาศัยความน่าเชื่อถือ)