ครูบาอาจารย์สายวัดป่า มักจะมีคำสอนอย่างหนึ่งว่า จงรู้จักเอากิเลสมาใช้ประโยชน์ ...
หมายถึง กิเลสไม่ได้มีแต่โทษเสมอไป ถ้าเรารู้จักวิธีคิด ก็สามารถเอามันมาใช้ประโยชน์ได้ ทำนองอุจจาระก็เอามาทำปุ๋ยได้ ซากศพก็เอามาใช้พิจารณาอสุภะจนเห็นธรรมะได้
ทุกๆอย่างทุกๆเรื่อง ถ้าใจเราเป็นธรรมก็จะสามารถมองเห็นเป็นธรรมะได้หมด ...
ขอพูดเฉพาะตัว มานะ ซึ่งเป็นกิเลสตัวหนึ่ง .. ลักษณะของตัวมานะ คือ ความถือตัวถือตน มักจะเอาตัวตนของเราไปเปรียบเทียบกับตัวตนของคนอื่นๆ ว่า สูงกว่า หรือเท่ากัน หรือ ต่ำกว่าเรา
กิเลสตัวมานะนี้ ถ้าไม่รู้วิธีใช้ มันก็จะไปผิดทาง ก่อโทษ ก่อทุกข์ ก่อไฟเผาผลาญ เช่น ถ้าไปเทียบว่า คนอื่นๆสูงกว่าเรา เราก็จะเกิดความรู้สึก อิสสาริษยาตาร้อน , ถ้าไปเทียบว่า คนอื่นๆ ต่ำกว่าเรา เราก็จะเกิดความรู้สึก ดูหมิ่น เหยียดหยาม , ถ้าไปเทียบว่าเขาเท่ากับเรา เราก็จะเกิดความรู้สึกเกิดอยากจะแข่งดีกับเขา
แต่ เราอาจจะใช้อุบายแยบคาย เอาตัวมานะมาใช้พลิกแพลงให้เกิดประโยชน์ได้ อย่างน้อย ๒ อย่าง คือ
๑. การฝึกแผ่เมตตา .... คนที่ฝึกแผ่เมตตา ถ้าสังเกตดีๆ บางครั้งที่จิตจะเกิดเมตตาก็ไม่ง่ายนัก อันนี้เป็นเพราะกำหนดจิตผิดวิธี หรือ ไม่มีแยบคายในการกำหนด ... วิธีที่จะทำให้แผ่เมตตาได้ง่าย คือ เราก็มองไปที่จุดใดจุดหนึ่งหรือหลายๆจุดที่อ่อนแอ หรือด้อยกว่าเรา ของคนที่เป็นเป้าหมายที่เราจะแผ่เมตตาให้นั้น นั่นคือ ใช้ตัวมานะไปเปรียบเทียบว่า ตัวเราเหนือกว่าคนนั้น(เฉพาะในเรื่องนั้นๆ) เมื่อใจเราเกิดความรู้สึกว่า เราเหนือกว่าเขา การแผ่เมตตาของเราต่อคนนั้นก็จะออกจากใจเราทันทีในขณะนั้น ง่ายนิดเดียว เช่น คนนั้นอาจจะมีอะไรแทบทุกๆอย่าง เหนือกว่าเรา แต่จุดด้อยของเขาคือ สายตาสั้น ต้องใส่แว่น แต่เราสายตาปกติ ...แค่จุดอ่อนด้อยกว่าเราเพียงจุดเดียวแค่นี้ เราก็เอาจุดนี้มาใช้ เราเอามาเป็นแยบคายในการใช้มานะของเราแผ่เมตตาให้เขาได้เลย คือ มองว่าเขาย่ำแย่กว่าเราในเรื่องสายตา...หลักการ คือ ให้ใจเราเกิดความรู้สึกสงสารเห็นใจในความย่ำแย่ของคนนั้นที่ด้อยกว่าเรา จุดใดจุดหนึ่งหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งของเขา.. แต่การแผ่เมตตาแบบนี้ ต้องใช้ปัญญาในการพิจารณาร่วมไปด้วยให้ดีๆ ในบางแง่มุมด้วย เมตตาจึงจะเกิดง่าย ทันที
๒. การก่อความรู้สึกขำ ... เมื่อใดคนเรารู้สึกขำ ไม่ว่าขำต่ออะไรก็ตาม ตอนนั้นจิตจะรู้สึกเพลิดเพลิน สบาย อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ... ที่จริงความรู้สึกขำ ก็เกิดจากตัวมานะ นี่เอง... คือ เมื่อใดที่เราเห็นใคร ทำอะไรเซ่อๆซ่าๆ เปิ่นๆ โง่ๆ เราก็รู้สึกขำอยากหัวเราะ หรือหัวเราะก๊ากออกมาทันที เพราะตอนนั้นในจิตเราเกิดตัวมานะขึ้นมาทันทีโดยอัตโมัติ คือ เกิดมานะเทียบเคียงว่าตัวเราเหนือกว่าคนนั้น , หลักการในการทำให้เกิดความขำ หรือ ตลก ก็มาจากเรื่องนี้เอง
กิเลสตัวอื่นๆบางตัว หลายๆตัว ก็อาจจะสามารถเอามันมาใช้ประโยชน์ได้ในหลายๆแง่มุม ขึ้นอยู่กับความฉลาดของคนใช้ เช่น ตัวโทสะ ถ้ารู้จักควบคุมปล่อยออกมาดีๆ ก็เอามาใช้เป็นอำนาจในการควบคุมคนอื่นๆ หรือทำให้คนอื่นๆกลัวได้ ..เป็นต้น..
(( ที่ว่าไปข้างบนทั้งหมดนั้น ไม่จำเป็นต้องเชื่อ..แต่ ให้พวกคุณลองสังเกตใจของคุณดีๆ ในชีวิตประจำวัน ก็จะเห็นตามที่ผมว่ามานั้น ... เพระาผมสังเกตเห็นมานานแล้ว ในเรื่องเหล่านี้ ตั้งแต่สมัยเริ่มฝึกจิตใหม่ๆ ... จึงเอาข้อสังเกตเหล่านี้มาบอกเล่ากัน เผื่ออาจจะมีประโยชน์บ้าง ))
( ตั้งในหมวดกระทู้คำถาม เพื่อให้ขาบัตรผ่านได้ร่วมแจม แต่ไม่ได้ถามอะไร )
$$$$$ กิเลสตัว "มานะ" เอามาใช้ประโยชน์ได้ดีในการฝึกแผ่เมตตา และ ให้เกิดความรู้สึกขำ หรือ ตลก $$$$$
หมายถึง กิเลสไม่ได้มีแต่โทษเสมอไป ถ้าเรารู้จักวิธีคิด ก็สามารถเอามันมาใช้ประโยชน์ได้ ทำนองอุจจาระก็เอามาทำปุ๋ยได้ ซากศพก็เอามาใช้พิจารณาอสุภะจนเห็นธรรมะได้
ทุกๆอย่างทุกๆเรื่อง ถ้าใจเราเป็นธรรมก็จะสามารถมองเห็นเป็นธรรมะได้หมด ...
ขอพูดเฉพาะตัว มานะ ซึ่งเป็นกิเลสตัวหนึ่ง .. ลักษณะของตัวมานะ คือ ความถือตัวถือตน มักจะเอาตัวตนของเราไปเปรียบเทียบกับตัวตนของคนอื่นๆ ว่า สูงกว่า หรือเท่ากัน หรือ ต่ำกว่าเรา
กิเลสตัวมานะนี้ ถ้าไม่รู้วิธีใช้ มันก็จะไปผิดทาง ก่อโทษ ก่อทุกข์ ก่อไฟเผาผลาญ เช่น ถ้าไปเทียบว่า คนอื่นๆสูงกว่าเรา เราก็จะเกิดความรู้สึก อิสสาริษยาตาร้อน , ถ้าไปเทียบว่า คนอื่นๆ ต่ำกว่าเรา เราก็จะเกิดความรู้สึก ดูหมิ่น เหยียดหยาม , ถ้าไปเทียบว่าเขาเท่ากับเรา เราก็จะเกิดความรู้สึกเกิดอยากจะแข่งดีกับเขา
แต่ เราอาจจะใช้อุบายแยบคาย เอาตัวมานะมาใช้พลิกแพลงให้เกิดประโยชน์ได้ อย่างน้อย ๒ อย่าง คือ
๑. การฝึกแผ่เมตตา .... คนที่ฝึกแผ่เมตตา ถ้าสังเกตดีๆ บางครั้งที่จิตจะเกิดเมตตาก็ไม่ง่ายนัก อันนี้เป็นเพราะกำหนดจิตผิดวิธี หรือ ไม่มีแยบคายในการกำหนด ... วิธีที่จะทำให้แผ่เมตตาได้ง่าย คือ เราก็มองไปที่จุดใดจุดหนึ่งหรือหลายๆจุดที่อ่อนแอ หรือด้อยกว่าเรา ของคนที่เป็นเป้าหมายที่เราจะแผ่เมตตาให้นั้น นั่นคือ ใช้ตัวมานะไปเปรียบเทียบว่า ตัวเราเหนือกว่าคนนั้น(เฉพาะในเรื่องนั้นๆ) เมื่อใจเราเกิดความรู้สึกว่า เราเหนือกว่าเขา การแผ่เมตตาของเราต่อคนนั้นก็จะออกจากใจเราทันทีในขณะนั้น ง่ายนิดเดียว เช่น คนนั้นอาจจะมีอะไรแทบทุกๆอย่าง เหนือกว่าเรา แต่จุดด้อยของเขาคือ สายตาสั้น ต้องใส่แว่น แต่เราสายตาปกติ ...แค่จุดอ่อนด้อยกว่าเราเพียงจุดเดียวแค่นี้ เราก็เอาจุดนี้มาใช้ เราเอามาเป็นแยบคายในการใช้มานะของเราแผ่เมตตาให้เขาได้เลย คือ มองว่าเขาย่ำแย่กว่าเราในเรื่องสายตา...หลักการ คือ ให้ใจเราเกิดความรู้สึกสงสารเห็นใจในความย่ำแย่ของคนนั้นที่ด้อยกว่าเรา จุดใดจุดหนึ่งหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งของเขา.. แต่การแผ่เมตตาแบบนี้ ต้องใช้ปัญญาในการพิจารณาร่วมไปด้วยให้ดีๆ ในบางแง่มุมด้วย เมตตาจึงจะเกิดง่าย ทันที
๒. การก่อความรู้สึกขำ ... เมื่อใดคนเรารู้สึกขำ ไม่ว่าขำต่ออะไรก็ตาม ตอนนั้นจิตจะรู้สึกเพลิดเพลิน สบาย อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ... ที่จริงความรู้สึกขำ ก็เกิดจากตัวมานะ นี่เอง... คือ เมื่อใดที่เราเห็นใคร ทำอะไรเซ่อๆซ่าๆ เปิ่นๆ โง่ๆ เราก็รู้สึกขำอยากหัวเราะ หรือหัวเราะก๊ากออกมาทันที เพราะตอนนั้นในจิตเราเกิดตัวมานะขึ้นมาทันทีโดยอัตโมัติ คือ เกิดมานะเทียบเคียงว่าตัวเราเหนือกว่าคนนั้น , หลักการในการทำให้เกิดความขำ หรือ ตลก ก็มาจากเรื่องนี้เอง
กิเลสตัวอื่นๆบางตัว หลายๆตัว ก็อาจจะสามารถเอามันมาใช้ประโยชน์ได้ในหลายๆแง่มุม ขึ้นอยู่กับความฉลาดของคนใช้ เช่น ตัวโทสะ ถ้ารู้จักควบคุมปล่อยออกมาดีๆ ก็เอามาใช้เป็นอำนาจในการควบคุมคนอื่นๆ หรือทำให้คนอื่นๆกลัวได้ ..เป็นต้น..
(( ที่ว่าไปข้างบนทั้งหมดนั้น ไม่จำเป็นต้องเชื่อ..แต่ ให้พวกคุณลองสังเกตใจของคุณดีๆ ในชีวิตประจำวัน ก็จะเห็นตามที่ผมว่ามานั้น ... เพระาผมสังเกตเห็นมานานแล้ว ในเรื่องเหล่านี้ ตั้งแต่สมัยเริ่มฝึกจิตใหม่ๆ ... จึงเอาข้อสังเกตเหล่านี้มาบอกเล่ากัน เผื่ออาจจะมีประโยชน์บ้าง ))
( ตั้งในหมวดกระทู้คำถาม เพื่อให้ขาบัตรผ่านได้ร่วมแจม แต่ไม่ได้ถามอะไร )