"ปล่อยวาง...ในอายตนะ อายตนะคืออะไร?
คือมีตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต มีอยู่อย่างเก่า
หู ก็จะรับเสียงฟังเสียง จมูก ก็มีหน้าที่รู้จักกลิ่นเหม็น หอม รสลิ้น ก็รู้จักรสเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม โผฏฐัพพะ ก็รู้จักเย็น ร้อน อ่อน แข็ง จิต ก็รู้จักธรรมารมณ์ ที่บังเกิดขึ้นกับจิตอยู่อย่างเก่า เขาจะทํางานอยู่อย่างเก่า อย่างเดิม ที่เรียกว่า...หู เคยได้ยินนี่ มันไม่ได้ยิน
จมูก เคยได้กลิ่น มันก็ไม่มีกลิ่น ลิ้น เคยมีรส มันก็ไม่มีรส ร่างกาย ถูกต้องโผฏฐัพพะเคยมีแล้วมันไม่มี...อย่างนั้น
อันนี้! มันอยู่เสมอเก่ามัน แต่ว่าความรู้สึกน่ะ มันจะสักแต่ว่า...ไม่มีความสําคัญมั่นหมาย
ในอายตนะต่างๆ เหล่านั้น...
ปล่อยมัน รู้ว่า...มันปล่อย
รู้ในธรรมะที่แท้จริง รู้แล้ว...มันปล่อย
รู้แล้ว...มันวาง รู้แล้ว...มันปล่อย รู้แล้ว...มันวาง ไม่ใช่ รู้แล้ว...มันยึด มันถือ รู้แล้ว...ทุกข์ ไม่ใช่ อย่างนั้น....
ความรู้ในธรรมะที่แท้จริงน่ะ!
มันรู้ปล่อย รู้วาง รู้แล้ว...มันก็ปล่อยมันวางลงไป ก็เรียกว่า...มันไม่ลูบคลํานั่นเอง
ไม่ลูบคลําในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เมื่อหากว่า...ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต มันรู้อารมณ์ขึ้นมาเช่นนี้...
ไอ้การที่เข้าไปช่วยมัน ซ้ำเติมมัน ไม่มี...
ไม่มี...เมื่อมันกระทบกันแล้ว...มันก็ปล่อยไป มันจะวางของมันไป คือหมายความว่า...ถ้ามันรัก มันจะมีอาการรัก แต่ไม่มี...อุปาทานยึดมั่นถือมั่น ถ้ามันเกลียด ก็เป็นสักแต่ว่า...เกลียด ไม่มี...ตัวประธานมั่นหมาย
คือมันรู้ปล่อย...รู้วาง...ทําไม? มันได้ปล่อย...
ได้วาง...เพราะมันเห็นว่า...สิ่งทั้งหลายเหล่านี้
มันเป็นโทษ
เห็นแล้วมันก็เฉยๆ ได้ยินแล้วมันก็เฉยๆ
ไม่เข้าข้างโน้น ไม่เข้าข้างนี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต ก็เหมือนกัน คิดขึ้นมาแล้ว...ก็เฉยๆ ปล่อยวาง...มันปล่อยวาง...เห็นว่าไอ้นั่นดี
แต่ว่า...มันก็ไม่มีอุปาทานมั่นหมายเป็นอาการของจิตเท่านั้น อันนี้ท่านเรียกว่า...สักแต่ว่า อายตนะมีอยู่...อายตนะนั้น...มีอยู่ แต่ว่า...
ไม่มี อาการไป อาการมา เหมือนไปจากบ้านนี้ไปบ้านโน้น มาจากบ้านโน้นสู่บ้านนี้...
ไม่ใช่อย่างนั้น...แต่อายตนะนั้น...มีอยู่ แต่ว่าไม่เข้าข้างโน้น ไม่เข้าข้างนี้ รู้การปล่อยวาง...
รู้แล้ว...ก็ปล่อยวางแล้วเสร็จแล้ว...
รู้ในการปล่อยวาง เช่นนี้แหละ
ทุกแง่ทุกมุม มันจะเป็นของมัน อยู่...อย่างนี้."
----------------------------------------------------------------
หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง.
จาก มรดกธรรมเล่มที่ ๑๐ “ภาวนาคือพิจารณาให้รู้ตามเป็นจริง” หน้า ๑๖-๑๗"
หลวงพ่อชาสอน อายตนะเป็นแบบนี้
คือมีตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต มีอยู่อย่างเก่า
หู ก็จะรับเสียงฟังเสียง จมูก ก็มีหน้าที่รู้จักกลิ่นเหม็น หอม รสลิ้น ก็รู้จักรสเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม โผฏฐัพพะ ก็รู้จักเย็น ร้อน อ่อน แข็ง จิต ก็รู้จักธรรมารมณ์ ที่บังเกิดขึ้นกับจิตอยู่อย่างเก่า เขาจะทํางานอยู่อย่างเก่า อย่างเดิม ที่เรียกว่า...หู เคยได้ยินนี่ มันไม่ได้ยิน
จมูก เคยได้กลิ่น มันก็ไม่มีกลิ่น ลิ้น เคยมีรส มันก็ไม่มีรส ร่างกาย ถูกต้องโผฏฐัพพะเคยมีแล้วมันไม่มี...อย่างนั้น
อันนี้! มันอยู่เสมอเก่ามัน แต่ว่าความรู้สึกน่ะ มันจะสักแต่ว่า...ไม่มีความสําคัญมั่นหมาย
ในอายตนะต่างๆ เหล่านั้น...
ปล่อยมัน รู้ว่า...มันปล่อย
รู้ในธรรมะที่แท้จริง รู้แล้ว...มันปล่อย
รู้แล้ว...มันวาง รู้แล้ว...มันปล่อย รู้แล้ว...มันวาง ไม่ใช่ รู้แล้ว...มันยึด มันถือ รู้แล้ว...ทุกข์ ไม่ใช่ อย่างนั้น....
ความรู้ในธรรมะที่แท้จริงน่ะ!
มันรู้ปล่อย รู้วาง รู้แล้ว...มันก็ปล่อยมันวางลงไป ก็เรียกว่า...มันไม่ลูบคลํานั่นเอง
ไม่ลูบคลําในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เมื่อหากว่า...ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต มันรู้อารมณ์ขึ้นมาเช่นนี้...
ไอ้การที่เข้าไปช่วยมัน ซ้ำเติมมัน ไม่มี...
ไม่มี...เมื่อมันกระทบกันแล้ว...มันก็ปล่อยไป มันจะวางของมันไป คือหมายความว่า...ถ้ามันรัก มันจะมีอาการรัก แต่ไม่มี...อุปาทานยึดมั่นถือมั่น ถ้ามันเกลียด ก็เป็นสักแต่ว่า...เกลียด ไม่มี...ตัวประธานมั่นหมาย
คือมันรู้ปล่อย...รู้วาง...ทําไม? มันได้ปล่อย...
ได้วาง...เพราะมันเห็นว่า...สิ่งทั้งหลายเหล่านี้
มันเป็นโทษ
เห็นแล้วมันก็เฉยๆ ได้ยินแล้วมันก็เฉยๆ
ไม่เข้าข้างโน้น ไม่เข้าข้างนี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต ก็เหมือนกัน คิดขึ้นมาแล้ว...ก็เฉยๆ ปล่อยวาง...มันปล่อยวาง...เห็นว่าไอ้นั่นดี
แต่ว่า...มันก็ไม่มีอุปาทานมั่นหมายเป็นอาการของจิตเท่านั้น อันนี้ท่านเรียกว่า...สักแต่ว่า อายตนะมีอยู่...อายตนะนั้น...มีอยู่ แต่ว่า...
ไม่มี อาการไป อาการมา เหมือนไปจากบ้านนี้ไปบ้านโน้น มาจากบ้านโน้นสู่บ้านนี้...
ไม่ใช่อย่างนั้น...แต่อายตนะนั้น...มีอยู่ แต่ว่าไม่เข้าข้างโน้น ไม่เข้าข้างนี้ รู้การปล่อยวาง...
รู้แล้ว...ก็ปล่อยวางแล้วเสร็จแล้ว...
รู้ในการปล่อยวาง เช่นนี้แหละ
ทุกแง่ทุกมุม มันจะเป็นของมัน อยู่...อย่างนี้."
----------------------------------------------------------------
หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง.
จาก มรดกธรรมเล่มที่ ๑๐ “ภาวนาคือพิจารณาให้รู้ตามเป็นจริง” หน้า ๑๖-๑๗"