ฝ่าย รัฐบาลรักษาการ นำโดย ท่านนายกยิ่งลักษณ์ ไม่ลาออกแน่ๆ แต่อาจจะเลือกวิธีไม่เป็นนายกแทนหลังการเลือกตั้ง คุณทักษิณก็ยังเป็นแบ็คอัพเช่นเดิม สาเหตุที่ไม่ออก หลักๆ ก็คือ
1. ไม่ต้องการให้ประเทศที่เจริญแล้ว มองไทยด้วยความแปลกใจ ที่มีคนไทย ส่วนหนึ่งมากดดัน จนผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญต้องลาออก ทั้งๆ ที่คนส่วนใหญ่ของประเทศยังสนับสนุนอยู่
2. ไม่ต้องการยอมสยบต่อ พวกเสียผลประโยชน์ทั้งหลาย พวกมาเฟียที่เป็นเหลือบของสังคมไทยมานานที่ต้องใช้เวลาต่อเนื่องยาวนานในการแก้ไข
3. หากหมดอำนาจ พวกมาเฟียก็สามารถรวมกลุ่มกันใหม่ และยังจะทำให้เกิดภาวะสุ่มเสี่ยงกับการโดนย้อนเกล็ด
4. ไม่อยากถูกตรวจสอบ ผลประโยชน์ทับซ้อนต่างๆ ที่ตนเองไม่อยู่ในวิสัยที่มีอำนาจในการกำหนดทิศทางการตอบได้อย่างได้เปรียบ
ฝ่าย กปปส นำโดย นายสุเทพ ก็จะ
1. ชุมนุมไปเรื่อยๆ และพยายาม ยกระดับความรุนแรง แสวงหา พันธมิตรเพิ่มเรื่อยๆ เพราะ พันธมิตรเก่ามีเข้าๆ ออกๆ เหนื่อยในการสร้างกระแสอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สื่อได้ลงข่าว
2. อาจจะเริ่มใช้วิธีที่จะก่อให้เกิดความแตกแยก รุนแรง แบบเล่นทุกอย่าง เพราะกำลังที่น้อยกว่า เช่น ตัดน้ำตัดไฟ บ้านนายก ทำเนียบรัฐบาล เอานกหวีดไปเป่า เอาคนไปขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ หากเจ้าหน้าที่จัดการ ก็จะนำภาพมาตัดต่อ แล้วลงในสื่อของตัวเอง มันตื้นเขินจนคนเหม็นเบื่อ จัดทำ วอรูม โซเชียลหลอกคนกรุงจิตอ่อน กับ ดาราละอ่อนการเมือง ต่อไปเรื่อยๆ
3. เงินทุนกลุ่มผู้สูญเสียผลประโยชน์จะร่อยหรอ เป้าหมายหลักที่นายทุนที่ลงขันกัน ไม่ใช่แค่นี้ แต่ต้องการกำจัด ชินวัตรให้สิ้นซาก สนธิ จำลอง หมดยุคแล้ว สุริยะใสก็มือไม่ถึง ดีลจึงมาตกที่สุเทพ เพราะหากชนะ ไม่ต้องติดคุก จึงทุ่มหมดหน้าตัก โดย ปชป เล่นไพ่สองหน้า ช่วยขนคนมา ในขณะเดียวกัน นายอภิสิทธิก็ยังสร้างภาพเทพต่อไป เพื่อผลทางการเมืองในอนาคต สื่อในเครือช่วยสงครามมีเดียร์ นักวิชาการมาสร้างความน่าเชื่อถือ เพื่อปลุกกระแสคลั่งชาติ แต่เหมือนการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
4. กลุ่มคนที่เสียผลประโยชน์ กับแบ็คก็จะออกหน้ากันมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่พลังบริสุทธ์จริงๆ ที่ไม่เอาทักษิณ มีบางคนเริ่มตาสว่างว่าถูกปั่นมาจนเกินสภาพความเป็นจริง จึงมาร่วมน้อยลง
5. ไม่ต้องแปลกใจ ที่กลุ่มข้าราชการ ระดับสูงหัวเก่า นายทหารคอนเซอเวทีฟ นักวิชาการที่ยังเดินวนอยู่กับกับดักความคิดเก่าๆ พวก ศิลปินเพื่อชีวิต ที่มีชีวิตจริงๆ เป็นจินตภาพ และ กลุ่มโน้นกลุ่มนี้ ที่ตั้งกันเป็นสมาพันธ์ เพื่ออยากดัง ก็จะเข้าร่วมกับม็อบมากขึ้น
6. ตัวชี้วัดไปว่ากันที่ ปปช. หาก ปปช เล่นงานรัฐบาล สส สว เลือกตั้ง เพื่อพยายามปิดเกม ทั้ง ปปช. กปปส. หรือแม้แต่ ปชป คงอยู่ยาก เพราะมวลมหาประชาชนของจริงที่ถูกแอบอ้างมาตลอดหลายเดือนจะออกมา เกมวัดใจจึงอยู่ตรงนี้
ฝ่ายพวกสนับสนุนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ก็จะ
1. ไม่พอใจ และเกิดความเครียดขึ้นเรื่อยๆ รอวันที่จะระเบิด บางทีจะเครียดมากกว่า ผู้ชุมนุมด้วยซ้ำ เพราะพวกผู้ชุมนุมได้ปลดปล่อย มีผู้นำมาแหกปากพูดให้ฟังในสิ่งที่คาดหวังมาจากบ้านแล้วว่าจะได้ยิน
2. อาจมีผู้นำที่ไม่ใช่ 3 เกลอ แต่เป็นผู้ทรงอิทธิพลต่อสังคมไทย ซึ่งยากที่จะมี เพราะนิสัยคนไทย ส่วนใหญ่ คนที่มีความเป็นอยู่ที่ดีๆ อยู่แล้ว มักไม่มีใครมีความจำเป็นถึงขนาดต้องออกมาเป็นผู้นำ มีคุณทักษิณคนเดียวที่ทำได้ หากตอนปี 49 ไม่ไปประชุมที่ต่างประเทศ มีหรือ พลเอกสนธิจะกล้าทำ รัฐประหาร
3. เมื่อถึงที่สุด หากฝ่ายไล่ชินวัตร กระทำการอย่างหนึ่ง อย่างใด ที่ขัดต่อกฎหมายอย่างชัดแจ้ง เช่น ไปบุกทำลายสถานที่ราชการ คราวนี้อาจเกิดม็อบชนม็อบ ซึ่งจะไปเข้าทางอำนาจมืดอีก
4. ฝ่ายสนันสนุนรัฐบาล ซึ่งก็มีปัญญาชนไม่น้อยไปกว่า กลุ่มไล่ ก็จะเริ่มงัดการตอบโต้ มาใช้ เช่น รวมตัวกันยื่นหนังสือ เพื่อถอดถอน คนหรือคณะที่เขามองว่า ไม่เป็นกลาง วุ่นวายไปหมด รวมทั้งใช้วิธี จรยุทธ์ แบบ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน เหมือนกับ ที่ม็อบ กปปส ใช้ คือ ไปกดดัน ตลก กดดัน พรรค ปชป กดดัน บริษัทที่เป็นท่อน้ำเลี้ยง หรือแม้แต่ไปกดดันนักวิชาการเผด็จการเสียงส่วนน้อย
5. ท้ายที่สุดรุนแรงจริงๆ อาจมีพวกสุดขั้ว ยอมติดคุก เพื่อกระทำการอย่างใด อย่างหนึ่งกับ ผู้นำม็อบและผู้สนับสนุน
ฝ่ายค้านนำโดย นายอภิสิทธิ์ก็จะ
1. พลาดไปแล้ว เพราะคิดว่า การแตกหักคราวนี้ นายกยิ่งลักษณ์ลาออกแน่ๆ แต่ ผู้นำ ม็อบคุมเกมไม่อยู่ เริ่มพลาดซ้ำ พลาดซาก เปลี่ยนเป้าหมาย จนไม่มีจุดยืน
2. เดินสายชี้แจง เพื่อรักษาฐานที่มั่นเอาไว้ โดยเผื่อเหนียวไว้ สองชั้น คือ หากนายกยิ่งลักษณ์ต้องออกจริงๆ โดยอำนาจที่ปฏิเสธไม่ได้ ตัวเองก็หวังว่าจะได้นายกและรัฐบาล นอมินี ซึ่งพวกตัวตั้งขึ้นมา ซึ่งจริงๆ แล้วก็ทำไม่ได้ นายกจึงไม่เอาด้วยเพราะเป็นหลุมพรางที่วางเอาไว้ แต่หากไม่ลาออก ก็จะสนับสนุนให้มีการขัดขวางไม่เรื่อยๆ แบบคนไม่มีอะไรจะเสีย
3. จะเกิดการระแวง และแตกแยกกันภายในอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตอนนี้ก็ถึงขั้น ปู่พิชัย อดีตหัวหน้าพรรค ก็ร้องไห้ออกมาอย่างเสียใจ ไม่น่าปล่อยศูนย์กลางอำนาจจาก ผู้ดี รัตนโกสินทร์ ไปอยู่ในมือ ของเทพเจ้าแห่งภาคใต้เลย พรรคจึงมีแต่ความตกต่ำลงเรื่อยๆ ตั้งแต่นั้นมา จนตกต่ำสุดขีดในยุค นายอภิสิทธิ์นี่เอง
นี่เป็นเพียงการวิเคราะห์ของ บุคคลเพียงคนเดียว ที่เชื่อเอาเองว่ามองอะไรกว้างกว่าพวกนักวิชาการที่จบ ปริญญาเอกหลายๆ ท่าน ที่ไม่เคยทำงานด้านการบริหารจริงๆ ในองค์กรภาคเอกชน เลยยึดแต่ตำรา โดยไม่อยู่บนรากฐานของการนำไปใช้จริง ไม่จำเป็นต้องเชื่อครับ
สถานการณ์ของประเทศตอนนี้ ผมเห็นอย่างนี้ครับ
1. ไม่ต้องการให้ประเทศที่เจริญแล้ว มองไทยด้วยความแปลกใจ ที่มีคนไทย ส่วนหนึ่งมากดดัน จนผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญต้องลาออก ทั้งๆ ที่คนส่วนใหญ่ของประเทศยังสนับสนุนอยู่
2. ไม่ต้องการยอมสยบต่อ พวกเสียผลประโยชน์ทั้งหลาย พวกมาเฟียที่เป็นเหลือบของสังคมไทยมานานที่ต้องใช้เวลาต่อเนื่องยาวนานในการแก้ไข
3. หากหมดอำนาจ พวกมาเฟียก็สามารถรวมกลุ่มกันใหม่ และยังจะทำให้เกิดภาวะสุ่มเสี่ยงกับการโดนย้อนเกล็ด
4. ไม่อยากถูกตรวจสอบ ผลประโยชน์ทับซ้อนต่างๆ ที่ตนเองไม่อยู่ในวิสัยที่มีอำนาจในการกำหนดทิศทางการตอบได้อย่างได้เปรียบ
ฝ่าย กปปส นำโดย นายสุเทพ ก็จะ
1. ชุมนุมไปเรื่อยๆ และพยายาม ยกระดับความรุนแรง แสวงหา พันธมิตรเพิ่มเรื่อยๆ เพราะ พันธมิตรเก่ามีเข้าๆ ออกๆ เหนื่อยในการสร้างกระแสอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สื่อได้ลงข่าว
2. อาจจะเริ่มใช้วิธีที่จะก่อให้เกิดความแตกแยก รุนแรง แบบเล่นทุกอย่าง เพราะกำลังที่น้อยกว่า เช่น ตัดน้ำตัดไฟ บ้านนายก ทำเนียบรัฐบาล เอานกหวีดไปเป่า เอาคนไปขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ หากเจ้าหน้าที่จัดการ ก็จะนำภาพมาตัดต่อ แล้วลงในสื่อของตัวเอง มันตื้นเขินจนคนเหม็นเบื่อ จัดทำ วอรูม โซเชียลหลอกคนกรุงจิตอ่อน กับ ดาราละอ่อนการเมือง ต่อไปเรื่อยๆ
3. เงินทุนกลุ่มผู้สูญเสียผลประโยชน์จะร่อยหรอ เป้าหมายหลักที่นายทุนที่ลงขันกัน ไม่ใช่แค่นี้ แต่ต้องการกำจัด ชินวัตรให้สิ้นซาก สนธิ จำลอง หมดยุคแล้ว สุริยะใสก็มือไม่ถึง ดีลจึงมาตกที่สุเทพ เพราะหากชนะ ไม่ต้องติดคุก จึงทุ่มหมดหน้าตัก โดย ปชป เล่นไพ่สองหน้า ช่วยขนคนมา ในขณะเดียวกัน นายอภิสิทธิก็ยังสร้างภาพเทพต่อไป เพื่อผลทางการเมืองในอนาคต สื่อในเครือช่วยสงครามมีเดียร์ นักวิชาการมาสร้างความน่าเชื่อถือ เพื่อปลุกกระแสคลั่งชาติ แต่เหมือนการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
4. กลุ่มคนที่เสียผลประโยชน์ กับแบ็คก็จะออกหน้ากันมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่พลังบริสุทธ์จริงๆ ที่ไม่เอาทักษิณ มีบางคนเริ่มตาสว่างว่าถูกปั่นมาจนเกินสภาพความเป็นจริง จึงมาร่วมน้อยลง
5. ไม่ต้องแปลกใจ ที่กลุ่มข้าราชการ ระดับสูงหัวเก่า นายทหารคอนเซอเวทีฟ นักวิชาการที่ยังเดินวนอยู่กับกับดักความคิดเก่าๆ พวก ศิลปินเพื่อชีวิต ที่มีชีวิตจริงๆ เป็นจินตภาพ และ กลุ่มโน้นกลุ่มนี้ ที่ตั้งกันเป็นสมาพันธ์ เพื่ออยากดัง ก็จะเข้าร่วมกับม็อบมากขึ้น
6. ตัวชี้วัดไปว่ากันที่ ปปช. หาก ปปช เล่นงานรัฐบาล สส สว เลือกตั้ง เพื่อพยายามปิดเกม ทั้ง ปปช. กปปส. หรือแม้แต่ ปชป คงอยู่ยาก เพราะมวลมหาประชาชนของจริงที่ถูกแอบอ้างมาตลอดหลายเดือนจะออกมา เกมวัดใจจึงอยู่ตรงนี้
ฝ่ายพวกสนับสนุนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ก็จะ
1. ไม่พอใจ และเกิดความเครียดขึ้นเรื่อยๆ รอวันที่จะระเบิด บางทีจะเครียดมากกว่า ผู้ชุมนุมด้วยซ้ำ เพราะพวกผู้ชุมนุมได้ปลดปล่อย มีผู้นำมาแหกปากพูดให้ฟังในสิ่งที่คาดหวังมาจากบ้านแล้วว่าจะได้ยิน
2. อาจมีผู้นำที่ไม่ใช่ 3 เกลอ แต่เป็นผู้ทรงอิทธิพลต่อสังคมไทย ซึ่งยากที่จะมี เพราะนิสัยคนไทย ส่วนใหญ่ คนที่มีความเป็นอยู่ที่ดีๆ อยู่แล้ว มักไม่มีใครมีความจำเป็นถึงขนาดต้องออกมาเป็นผู้นำ มีคุณทักษิณคนเดียวที่ทำได้ หากตอนปี 49 ไม่ไปประชุมที่ต่างประเทศ มีหรือ พลเอกสนธิจะกล้าทำ รัฐประหาร
3. เมื่อถึงที่สุด หากฝ่ายไล่ชินวัตร กระทำการอย่างหนึ่ง อย่างใด ที่ขัดต่อกฎหมายอย่างชัดแจ้ง เช่น ไปบุกทำลายสถานที่ราชการ คราวนี้อาจเกิดม็อบชนม็อบ ซึ่งจะไปเข้าทางอำนาจมืดอีก
4. ฝ่ายสนันสนุนรัฐบาล ซึ่งก็มีปัญญาชนไม่น้อยไปกว่า กลุ่มไล่ ก็จะเริ่มงัดการตอบโต้ มาใช้ เช่น รวมตัวกันยื่นหนังสือ เพื่อถอดถอน คนหรือคณะที่เขามองว่า ไม่เป็นกลาง วุ่นวายไปหมด รวมทั้งใช้วิธี จรยุทธ์ แบบ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน เหมือนกับ ที่ม็อบ กปปส ใช้ คือ ไปกดดัน ตลก กดดัน พรรค ปชป กดดัน บริษัทที่เป็นท่อน้ำเลี้ยง หรือแม้แต่ไปกดดันนักวิชาการเผด็จการเสียงส่วนน้อย
5. ท้ายที่สุดรุนแรงจริงๆ อาจมีพวกสุดขั้ว ยอมติดคุก เพื่อกระทำการอย่างใด อย่างหนึ่งกับ ผู้นำม็อบและผู้สนับสนุน
ฝ่ายค้านนำโดย นายอภิสิทธิ์ก็จะ
1. พลาดไปแล้ว เพราะคิดว่า การแตกหักคราวนี้ นายกยิ่งลักษณ์ลาออกแน่ๆ แต่ ผู้นำ ม็อบคุมเกมไม่อยู่ เริ่มพลาดซ้ำ พลาดซาก เปลี่ยนเป้าหมาย จนไม่มีจุดยืน
2. เดินสายชี้แจง เพื่อรักษาฐานที่มั่นเอาไว้ โดยเผื่อเหนียวไว้ สองชั้น คือ หากนายกยิ่งลักษณ์ต้องออกจริงๆ โดยอำนาจที่ปฏิเสธไม่ได้ ตัวเองก็หวังว่าจะได้นายกและรัฐบาล นอมินี ซึ่งพวกตัวตั้งขึ้นมา ซึ่งจริงๆ แล้วก็ทำไม่ได้ นายกจึงไม่เอาด้วยเพราะเป็นหลุมพรางที่วางเอาไว้ แต่หากไม่ลาออก ก็จะสนับสนุนให้มีการขัดขวางไม่เรื่อยๆ แบบคนไม่มีอะไรจะเสีย
3. จะเกิดการระแวง และแตกแยกกันภายในอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตอนนี้ก็ถึงขั้น ปู่พิชัย อดีตหัวหน้าพรรค ก็ร้องไห้ออกมาอย่างเสียใจ ไม่น่าปล่อยศูนย์กลางอำนาจจาก ผู้ดี รัตนโกสินทร์ ไปอยู่ในมือ ของเทพเจ้าแห่งภาคใต้เลย พรรคจึงมีแต่ความตกต่ำลงเรื่อยๆ ตั้งแต่นั้นมา จนตกต่ำสุดขีดในยุค นายอภิสิทธิ์นี่เอง
นี่เป็นเพียงการวิเคราะห์ของ บุคคลเพียงคนเดียว ที่เชื่อเอาเองว่ามองอะไรกว้างกว่าพวกนักวิชาการที่จบ ปริญญาเอกหลายๆ ท่าน ที่ไม่เคยทำงานด้านการบริหารจริงๆ ในองค์กรภาคเอกชน เลยยึดแต่ตำรา โดยไม่อยู่บนรากฐานของการนำไปใช้จริง ไม่จำเป็นต้องเชื่อครับ