แผนอนาธิปไตย ล้มประชาธิปไตย ใช้ฤกษ์เดิม เหตุผลเก่า แต่...เอาใครเป็นนายกฯ ....โดย มุกดา สุวรรณชาติ .... มติชนออนไลน์

กระทู้สนทนา
หลักศิลา /มุกดา สุวรรณชาติ



เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการชิงอำนาจ วิธีการแบบดั้งเดิมที่ทำกัน คือการรัฐประหารด้วยกำลัง
เมื่อยึดอำนาจมาได้และปกครองไประยะหนึ่ง ก็จะถูกโค่นลงเพราะประชาชนไม่ยอมรับ

ถึงวันนี้จึงใช้วิธีการที่ซับซ้อนแต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ก็ยังเป็นการยึดอำนาจอธิปไตย
ไปจากประชาชนอยู่ดี

ระบอบประชาธิปไตยแบบมีตัวแทนประชาชนเข้าไปร่วมตัดสินใจ เป็นการพัฒนาระบอบปกครอง
ของมนุษย์ เริ่มจากการมีหัวหน้าเผ่า พัฒนาเป็นระบบกษัตริย์ที่มีขุนนาง มีไพร่ มีทาส และก็มี
การพัฒนาต่อไปสู่ระบบที่ให้ประชาชนมีเสรีภาพ มีความเท่าเทียม สามารถเลือกตัวแทน เลือก
ผู้บริหาร เลือกผู้ปกครอง

นี่จึงเป็นที่มาของระบอบประชาธิปไตย ที่ให้โอกาสคนทั่วไปมีชีวิตอยู่ได้อย่างเสรี มีสิทธิทาง
การเมือง มีช่องทางทำมาหากินได้อย่างอิสระ มีสวัสดิการพอสมควร ผู้คนสามารถยกระดับ
จากไพร่ทาสไปเป็นเสรีชน ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น

ตลอด 80 ปีหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย เราสามารถพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้นแม้จะมีอุปสรรค
ทำให้เส้นทางประชาธิปไตยขาดเป็นช่วงๆ จากชีวิตที่ยากเข็ญ เจ็บ จน ตาย ต้องขายนา ขายไร่
ก็สามารถพลิกฟื้นเป็น เจ็บไม่ตาย มีโอกาสทำมาหากิน

คนส่วนใหญ่จึงอยากอยู่ในระบบนี้เพื่อจะยกระดับการศึกษา มีโอกาสสร้างฐานะ

ไม่น่าเชื่อว่าพอถึงวันนี้ยังมีคนที่คิดล้มระบอบประชาธิปไตย เพื่อสร้างระบบที่ตนเองสามารถอยู่ใน
อำนาจปกครองได้นานที่สุด แต่ยังเรียกชื่อไม่ถูก



ระบบใหม่แต่งตั้งทั้งสามอำนาจ

ประชาชนไม่เกี่ยว

กลุ่มคนที่อยากล้มระบอบประชาธิปไตยไม่ได้เป็นนักทฤษฎีทางรัฐศาสตร์ ที่อยากจะเสนอทฤษฎี
การปกครองใหม่เพียงแต่เริ่มต้นจากการช่วงชิงอำนาจปกครอง แต่เมื่อทำรัฐประหารแบบเดิมไม่ได้
และจำเป็นต้องให้ประชาชนยอมรับ ก็เลยต้องปรับวิธีการยึดและรักษาอำนาจ ที่เห็นชัดคือช่วง
7-8 ปีที่ผ่านมา

2549 ก่อม็อบกดดันรัฐบาลตามด้วยการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ มีการยุบพรรค ฉีกรัฐธรรมนูญ
2540 ร่างรัฐธรรมนูญ 2550 มาใช้รักษาอำนาจ แต่ก็แพ้การเลือกตั้งในปี 2551

จากนั้นก็ก่อม็อบกดดันอีกครั้ง ยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ใช้ตุลาการภิวัฒน์ ปลดนายกฯ สมัคร สุนทรเวช
และนายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ยุบพรรคพลังประชาชน สามารถเปลี่ยนขั้วตั้งรัฐบาลอยู่ได้ 2 ปี 8 เดือน
และก็ถูกกดดันด้วย ม็อบเช่นกัน จนต้องยุบสภา ปี 2554 พอเลือกตั้งใหม่ก็แพ้อีก

ปี 2556 รัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกกดดันด้วยม็อบและคาดว่าจะใช้ตุลาการภิวัฒน์เป็นหมัดเด็ด
ในการล้มรัฐบาล แต่ครั้งนี้ฝ่ายตรงข้ามคิดว่าถ้าปล่อยให้มีการเลือกตั้งใหม่ก็คงต้องแพ้อีกเช่นเคย ดังนั้น
จึงมีข้อเสนอเป็นแนวทางใหม่ขึ้นมาว่า

จะให้มีการตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาแบบนี้เคยมีการตั้งมาแล้ว ส่วนใหญ่เป็นหลังการเปลี่ยนแปลง
แบบพิเศษ เช่น 14 ตุลาคม 2516 หรือหลังการรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519 หรือแม้แต่หลังการรัฐประหาร
2549 ซึ่งก็เป็นที่รู้กันอยู่ว่าต้องเลือกพวกตัวเอง แบบนี้ยิ่งกว่าการมีวุฒิสภาแบบลากตั้ง

เมื่อตั้งสภาเองได้ ก็ไม่ต้องพูดถึง การตั้งรัฐบาลที่ต้องถูกกำหนดมาแล้วว่าเป็นใคร และก็จะมีการกำหนด
ตัวนายกรัฐมนตรีว่าเป็นใคร

จากนั้นสภานิติบัญญัติแห่งชาติและรัฐบาลก็จะมาร่วมเป็นทีมกับอำนาจตุลาการภิวัฒน์ ทำการปกครองตาม
แผนปิดประเทศ 5 ปี 10 ปี

ทำแบบนี้อำนาจอธิปไตยของปวงชนก็จะสิ้นสุดลงทันที ไม่มีโอกาสจะเลือกตัวแทนเข้าสภา ไม่มีโอกาสตั้ง
รัฐบาล ไม่มีโอกาสเลือกนายกฯ

ประชาชนมีทางเลือกสองทางเท่านั้นคือยอมอยู่ใต้อำนาจหรือจะต่อต้านระบบแบบนี้ จะไม่มีทางเลือกให้
ประนีประนอม

แต่ฝ่ายผู้กุมอำนาจ เมื่อพบกระแสต่อต้าน ก็จะหาทางประนีประนอม ถอยกลับมาเลือกตั้ง แต่จะยังรักษา
อำนาจด้วยรัฐธรรมนูญแบบประชาธิปไตยครึ่งใบ โดยใช้รัฐธรรมนูญที่คล้ายฉบับ 2550

ปัจจุบันการรุกของศาลรัฐธรรมนูญเข้าไปในเขตอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติหรือเข้าไปในเขตการบริหารของ
รัฐบาล เป็นปรากฏการณ์ที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งใหญ่ในอนาคต ไม่เพียงแต่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงใน
ศาลรัฐธรรมนูญ ยังหมายถึงการเปลี่ยนแปลงในระบบศาลอื่นๆ ที่จะตามมาด้วย

เพราะในขณะที่นักวิชาการทั้งหลายเห็นปัญหาจากการตัดสินกรณีต่างๆ ของศาลรัฐธรรมนูญ บุคลากรส่วน
ใหญ่ที่มีอำนาจหน้าที่ในระบบยุติธรรมกลับนิ่งเงียบ เหมือนกับจะยอมรับในการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญว่า
ถูกต้องแล้ว

ทำให้ประชาชนสามารถคิดไปได้ว่าในอนาคตพวกเขาอาจจะเผชิญปัญหาแบบเดียวกันจากการกระทำ
ของศาลอื่นๆ



พื้นฐานกำลังของการประท้วง

มีทั้งชนชั้น อาชีพ ภาคนิยม และพรรค

การประท้วงครั้งล่าสุดแสดงให้เห็นการแตกแยกอย่างเด่นชัดของคนสองกลุ่ม ซึ่งไม่มีวันเปลี่ยนจุดยืนได้

การประท้วงของประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้เริ่มต้นตามสิทธิประชาธิปไตย อาศัยจังหวะก้าวพลาดของเพื่อไทย
ในการแปรญัตติกฎหมายนิรโทษกรรม ดึงมวลชนกลางๆ มาร่วมได้จำนวนมาก ตามด้วยเสียงสนับสนุนของ
มวลชนในจัดตั้ง

แต่เมื่อเพื่อไทยยอมถอนแล้ว ปชป. กลับรุกต่อ มีการลาออกจาก ส.ส. เพื่อป้องกันการถูกยุบพรรคเพราะรู้
อยู่แล้วว่าจะมีการเล่นเกมแรง

สายงานแนวร่วมของ ปชป. ซึ่งมีผู้ใหญ่ขอร้องให้เข้าร่วมในช่วงแรก ทั้งจากนักวิชาการ ข้าราชการ หมอ ฯลฯ

แต่เมื่อ สุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่หยุด บางคนก็พอแอบรู้มาว่ากำลังจะมีงานหนัก จึงชิงถอนตัวออกมา

เมื่อคนยังเข้าร่วมมาก แผนจึงดำเนินต่อ มวลชนถูกระดมมาอย่างสุดกำลัง เพื่อแสดงให้เห็นว่าคนไม่พอใจ
รัฐบาลชุดนี้ แต่พื้นที่การชุมนุมก็พอบอกให้รู้ว่า มีกี่ตารางเมตร มีคนมาชุมนุมได้เท่าไร

สรุปได้ว่าม็อบ ปชป. มีคนมาชุมนุมมากกว่า และมีเป็นแสนขึ้นไป ม็อบเสื้อแดงช่วง 14 มีนาคม 2553 อาจมี
มากกว่านั้น แต่เสื้อแดงในวันนี้ยังลงมาน้อยมาก คนกรุงเทพฯ เลือก ปชป. เป็นล้าน แถมยังดูแล กทม.
ทั้ง 50 เขต ผู้เกี่ยวข้องระดมมาเขตละ 2,000 คน ก็ได้ 100,000 คนแล้ว

การระดมคนจากภาคใต้ขึ้นมาก็ถือว่าเป็นยุทธวิธีที่ดี เพราะมีแนวคิดเดียวกัน และเพื่อชดเชยจำนวนคนที่จะหาย
ไปจากม็อบในตอนเช้า ยังไงก็ยังเหลือคนต่างจังหวัด ไว้เป็นกำลังเคลื่อนไหว

ผู้สนับสนุน ปชป. ยังมีอีกเป็น 10 ล้าน ผู้สนับสนุนเพื่อไทยก็มีอีก 15 ล้าน แต่คนส่วนใหญ่ของทั้งสองฝ่าย
ยังอยู่ในที่ตั้ง พวกเขาจะใช้สิทธิเมื่อถึงคราวเลือกตั้ง

คนที่ออกมาสนับสนุนการเคลื่อนไหวทั้งสองฝ่ายมีไม่เกิน 3% ของคนที่ไปเลือกหรือไม่เกิน 0.7% ของประชาชน

แต่อย่าประมาทเพราะในสภาพอนาธิปไตยเคยมีคนเพียง 3-4 พันก็ปิดสนามบินทำคนเดือดร้อนทั่วโลกมาแล้ว

ช่วงที่ม็อบเสื้อเหลืองยึดสถานที่ต่างๆ ก็ไม่ได้ใช้คนมากมาย หลักพัน หลักหมื่นก็ทำได้แล้ว

แต่การเข้ายึดสถานที่ราชการ ต้องแน่ใจว่ามีคนหนุนหลังที่ใหญ่จริงๆ หรือสุเทพคิดว่าสำหรับตนเองคดีเล็กๆ
อย่างนี้ไม่มีผล เพราะข้อหาที่ได้รับเดิมหนักมากอยู่แล้ว สถานที่ที่เหลืองเคยชุมนุม แดงก็มาชุมนุม วันนี้สีฟ้า
ก็มาชุมนุมอีก

ที่เคยดาวกระจาย ก็กระจายคล้ายๆ กัน วันนี้ที่ยังไม่ได้ทำคือ ยึดสนามบิน และยิงปืนใส่กัน แต่มีการเข้ายึด
กระทรวงการคลังไปแล้ว ซึ่งเป็นการลดเครดิตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างร้ายแรง

เป็นอันตรายไม่แพ้การนำประเทศเข้าสู่ความขัดแย้งกรณีเขาพระวิหาร



อนาธิปไตยโมเดล 2556

ใช้ฤกษ์เดิม เหตุผลเก่า วิธีเดิม

ส่วนประเด็นการเมืองเหมือนกับการย้อนกลับไปในปี 2548-2549-2551 เสียงที่ตะโกนก้องที่ใช้ผลักดันม็อบ
คือต่อต้านระบอบทักษิณ

วันนี้ไม่มีใครสนใจถกเถียงในประเด็นเนื้อหาการแก้รัฐธรรมนูญ ในแง่มุมทางกฎหมายและอำนาจของ
ศาลรัฐธรรมนูญ จะมีแต่เพียงนักวิชาการและสื่อมวลชนที่ถกเถียงกันแต่กลุ่มคนที่ต่อต้านรัฐบาล ยังคง
มุ่งประเด็นไปที่ล้มระบอบทักษิณ ตามที่ผู้นำม็อบชี้นำ

ส่วนร่องรอยการเดินงานคล้ายกับปี 2551 คือการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2551
หลังจากนั้นไม่กี่วันก็เดินแผนสอง เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2551 ศาลตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย
พรรคมัชฌิมาธิปไตย มีการเปลี่ยนขั้วการเมือง จัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร

วันที่ 25 พฤศจิกายนปีนี้ ยึดกระทรวงการคลัง และกระทรวงการต่างประเทศ

แต่ยึดแล้วก็ไม่มีใครได้เป็นรัฐมนตรี สนธิ-จำลอง เคยยึดทำเนียบมาแล้ว ก็ไม่ได้เป็นนายกฯ

แต่การเข้ายึดสถานที่ราชการ เป็นการผิดกฎหมาย ถ้ามีการออกหมายจับ ผู้ที่เข้าไปร่วมอาจไม่ถูกจับวันนี้
แต่อาจถูกจับในปีหน้าก็ได้ พวกเสื้อแดงแค่ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยังโดนขังคนละปีกว่า พวกบุกยึดสถานี NBT
ก็ถูกตัดสินจำคุกไป 84 คน

แต่การที่ระบบยุติธรรมยังไม่ดำเนินการกับคนที่ยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ทำให้มวลชนบางส่วนอาจเข้าใจว่า
นี่เป็นการอารยะขัดขืนแบบที่มีคนบอก

แต่การเข้ายึดสถานที่ราชการ แตกต่างกับการยึดถนน สำหรับสุเทพอาจคิดว่าคดีเล็กๆ อย่างนี้ไม่มีผล
เพราะข้อหาที่ได้รับเดิมหนักมากอยู่แล้ว

แผนต่อไปคืออะไร ทุกคนหันไปมอง ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น?

ถ้ากรรมการไม่มีช่องทางช่วยให้ชนะ อาจต้องตีระฆัง หมดยก


ยังมีต่อค่ะ   หัวเราะ

สาวแว่น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่