
[ ขอแนะนำให้อ่านกระทู้นี้ก่อนค่ะ :
http://pantip.com/topic/31297883 ]
เช้าวันศุกร์ . .
เป็นวันที่เรายุ่งมากวันหนึ่ง แถมยังมีประชุมยืดยาวกับลูกค้าตั้งแต่เที่ยงจนเย็นย่ำ
‘ วันนี้ เพื่อน ๆ นัดเจอกันตอนหกโมงครึ่งนะ ’
‘ ลืมรึป่าว ’
เพื่อนสนิทในกลุ่มคนหนึ่งส่งข้อความมาในไลน์
อืมม . . เราลืมไปซะสนิทว่าวันนี้นัดกับเพื่อนเอาไว้ว่าจะไปหาอะไรกินกัน
ก็เลยรีบโทรกลับไปหาเพื่อนคนนั้นทันที
“
ตอนนี้เราอยู่สุขุมวิท 39 , สรุปว่านัดกันที่ไหนเหรอ เรายังไม่รู้เลยนะ ? ”
“
วันนี้ขับรถมาป่าว ? ” เขาถาม
“
ป่าว เมื่อเช้าตื่นสาย ก็เลยนั่งรถไฟมาคุยกับลูกค้า ” เราตอบ
“
ตอนนี้เบียกับเส็งอยู่บ้านนุช เรากำลังแวะไปรับ ” แล้วเขาก็บอกให้เรารอตรงสถานีรถไฟ
เขาผ่านมารับเราก่อนแล้วเลยไปรับนุช , เบีย , เส็ง
เราประหลาดใจมากว่าทำไมทุกคนแต่งตัวกันซะเต็มที่ . . ( เราเห็นนุชใส่ขนตาปลอมด้วยอ่ะ )
เราก็เลยถามเพื่อน ๆ ว่า
“
อย่าบอกนะว่า . . นี่กำลังจะไปงานแต่งบุน ? ”
“
เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ . . ว่าจะไม่ไป ” เราโวยใส่เพื่อน
แล้วเพื่อน ๆ เราก็หาเหตุผลร้อยแปดยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างว่ายังไงก็ต้องไปด้วยกัน
สุดท้ายเราก็ยอมจำนนต่อเหตุผลร้อยแปดพันประการเหล่านั้น
“
ถ้าเราเผลอร้องไห้ออกมา . . จะทำยังไงดีวะ ? ” เรากำลังสับสนในใจ
แต่ในเมื่อยังเป็นเพื่อนกัน . .
ถ้าเราไม่ไปร่วมงาน เพื่อนคนอื่น ๆ ก็คงจะพากันคิดว่าเรายังรักเค้าอยู่
แต่อีกนัยหนึ่ง . . มันก็เป็นการทดสอบตัวเราเองด้วยเหมือนกันนะ
ถ้าเราผ่านมันไปได้ . . ต่อไปก็คงไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้ว
มันอาจจะทำให้เรารู้สึกผิดน้อยลง และไม่รู้สึกติดค้างอะไรกันอีก
หากเราได้เห็นเขามีความสุข . . เราก็คงจะมีความสุขด้วยเหมือนกันล่ะมั้ง
ระหว่างทาง . .
เรากำลังใจลอยคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
ท่ามกลางเพื่อน ๆ ที่กินนั่นกินนี่กันไปตลอดทาง
“
อยากให้แวะซื้อเสื้อผ้าใหม่ป่าว ? เดี๋ยวสวยสู้เจ้าสาวไม่ได้นะ ” เพื่อนเราที่กำลังขับรถหันมาแซว
ทุกคนหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน . . เราก็หัวเราะออกมาด้วย
. . โดยที่ไม่รู้ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเราต้องเจอกับอะไรบ้าง
เราก็ได้แต่ทำเป็นร่าเริงเหมือนไม่ได้กังวลอะไรอยู่ในใจ
เราสูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ หลายครั้ง ก่อนจะก้าวขาลงจากรถ และเดินเข้าไปในงาน
“
ไปกันเถอะ . . อย่าป๊อดไปหน่อยเลย ทำตัวอย่างกะเป็นนักโทษที่กำลังจะโดนประหารชีวิตไปได้ ”
จอม เพื่อนที่เป็นคนขับรถพูดขึ้นมา
เราก้มหน้ายิ้ม พร้อมกับก้าวขาเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ
แต่หัวใจของเราเต้นแรงมาก เหมือนกับว่ามันพร้อมที่จะระเบิดออกมาทุกวินาที
ยิ่งเข้าไปใกล้งานมากขึ้นเท่าไร . . หัวใจมันก็เต้นแรงมากขึ้นเท่านั้น
ไม่ใช่แค่หัวใจเท่านั้นนะ . . ตอนนี้มือก็เริ่มสั่นตามไปด้วยแล้วล่ะ
“
เราไปนั่งรอที่รถได้ป้ะ ไม่กล้าเข้าไปว่ะ ” เราคิดว่าเราไม่กล้าเดินเข้าไปในงานจริง ๆ
เพื่อน ๆ หันมา ‘
เฮ้ย ! ’ พร้อมกันเป็นเสียงเดียว
แล้วจอมก็มาเดินที่ข้าง ๆ เรา พูดนั่นพูดนี่ตลอดเวลา
แต่ ณ เวลานั้น เราไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้ว นอกจากเสียงหัวใจที่กำลังเต้นดังมาก ๆ
หลังจากที่เพื่อน ๆ เขียนสมุดอวยพรกันเสร็จก็หันมากดดันให้เราต้องเขียนลงไปด้วย
เรานึกอะไรไม่ออกว่าต้องเขียนยังไง เราจะเขียนลงไปในนั้นดีล่ะ ???
อะไรที่เราอยากจะบอกกับเขางั้นเหรอ ?
ไม่สิ ! สิ่งที่เราควรจะเขียนก็คือคำพูดดี ๆ ที่จะเป็นกำลังใจให้กับคู่บ่าว - สาวนั่นตะหาก
เราพยายามควบคุมมือตัวเองไม่ให้มันสั่น
พยายามควบคุมดวงตาทั้งสองข้างของตัวเองไม่ให้มันปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา
เราสูดลมหายใจเข้าปอดให้ลึกที่สุดเพื่อรวบรวมความกล้าหาญที่ตัวเองมี
“ ทุกอย่างเป็นไปเพราะรัก
ผลักดันด้วยแรงแห่งรัก
ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์
ก็ขอให้มีกันและกันเอาไว้ ”
⎯ JULIET ⎯
พอเราเงยหน้าขึ้น . . น้ำตาก็หยดลงมาที่แก้มทั้งสองข้าง
เรารีบเบือนหน้าหนีสาว ๆ สองคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น เพราะกลัวว่าเขาจะเห็นว่าเราร้องไห้ออกมา
“
หิวแล้ว ๆ ไปหาอะไรกินในงานกันได้แระนะ ” นุชพูดขึ้นมาพร้อมกับรีบคว้าแขนเราเดินไปจากตรงนั้น
เรากระซิบบอกนุชว่าเราไม่ได้ตั้งใจนะ แต่มันช่วยไม่ได้จริง ๆ เราขอไม่เข้าไปในงานได้ไหม ?
แล้วเส็งก็เดินเข้ามาให้กำลังใจเราอีกคน
เบียกับจอมยืนคุยกับคู่บ่าว - สาวที่ยืนรับแขกที่ประตูทางเข้างาน
ตรงนั้น . .
มีเจ้าบ่าว , มีเจ้าสาว ที่ยืนอยู่คู่กัน คอยตอนรับแขกที่มาร่วมงานด้วยความสวัสดี รอบ ๆมีใครอีก 3 - 4 คนที่เราไม่รู้จัก
เราแทบจะก้าวขาไม่ออก ไม่รู้จะทำหน้ายังไง ไม่รู้จะมองหน้าเขายังไง . . ด้วยแววตาแบบไหน ???
นุชจับมือเอาไว้ แล้วบอกกับเราว่า . .
“
แกต้องยินดีกับมันนะเว้ย อย่าทำหน้าเศร้า อย่าร้องไห้ให้มันเห็น
ถ้าผ่านงานนี้ไปได้ ต่อไปแกกับมันก็มองหน้ากันได้สบายแล้วล่ะ . . เชื่อฉันดิ สู้ ๆ นะแก ”
เราพยายามข่มใจตัวเองสุด ๆ เดินก้าวไปข้างหน้าทั้ง ๆ ที่ขาสั่นสุด ๆ แต่ก็ต้องเดินหน้าต่อไป
บุนแนะนำเพื่อน ๆ ให้เจ้าสาวของเขารู้จักทีละคน ( หน้าตายิ้มแย้มเบิกบานมาก ) จนมาถึงเรา . .
เขาเดินตรงเข้ามายืนตรงหน้า “
เรารู้ . . ว่าเธอต้องมา ขอบคุณมากนะ ขอบคุณมากจริง ๆ ”
แล้วเขาก็กอดเราท่ามกลางสายตาทุกคนที่อยู่ตรงนั้น
ในใจเราต้องการให้เขากอดเราให้แน่นกว่านี้ ให้เหมือนกับว่าเราไม่มีวันพรากจากกันอีก
แต่สติสัมปชัญญะบอกให้เราผละตัวเองออกจากเขาโดยเร็ว
เขาหันไปบอกใครสักคนตรงนั้นว่าให้ช่วยพาเพื่อน ๆ ไปนั่งที่โต๊ะที่เขาเตรียมเอาไว้
และบอกกับเจ้าสาวของเขาว่าเดี๋ยวเขาจะกลับมา
เขาจับแขนเราเดินเข้าไปในงาน . .
เรามองไปรอบ ๆ ในงานมีคนที่เรารู้จักเต็มไปหมด
“
นี่มันงานแต่งหรืองานเลี้ยงรุ่นกันเนี่ย ? ไม่คิดจะคบคนอื่นมั่งรึไง ? ” เราถาม
เขาหัวเราะและบอกเราว่า “
จะพาไปหาคนสำคัญ เค้ารอเธอมานานแล้ว ”
เขาพาเราเดินตรงไปยังโต๊ะที่มีมีผู้หญ่หลายคนกำลังนั่งคุยกัน และมีสองคนที่เราเคยรู้จักเป็นอย่างดี
“
ป๊า ม๊า . . ผมพาแขกกิตติมาศักดิ์มาไหว้ ”
ทันทีที่เราหันไปมอง . . หัวใจเราเหมือนจะหยุดเต้นลงในทันที เรายืนตัวแข็งเหมือนหินต้องคำสาปที่ไม่มีวันขยับไปไหนได้อีก
แม่เขาสั่งให้คนขยับเก้าอี้มาให้เรานั่งข้าง ๆ พร้อมกับจับแขนให้เรานั่งลงตรงนั้น
เราพูดอะไรไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก ในใจคิดถึงแต่เรื่องราวเก่า ๆ
นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่เราตกอยู่ในภวังค์ . . ภวังค์แห่งความสำนึกผิด และความโง่เขลาของเราในอดีต
“
กลับมาไทยนานรึยัง ? ทำไมไม่แวะไปหาม๊ากับป๊าที่บ้านบ้าง ” แม่เขาพูดกับเราราวกับว่าเราไม่เคยทำให้ท่านเสียใจ
เรายกมือไหว้ ก้มลงกราบที่ตักของท่านอย่างอ่อนน้อมที่สุด
“
หนูขอโทษ . . สำหรับทุกอย่างค่ะ ”
แม่เขาลูบหัวเราด้วยความเอ็นดู ท่านยังดีกับเราเหมือนกับที่ท่านเคยดีเมื่อก่อน
ท่านพยุงจับเราให้กลับมานั่ง และบอกกับเราว่า “
ม๊าดีใจที่เราได้เจอกันอีก . . ม๊าดีใจที่หนูมาร่วมงานในวันนี้ ”
พอได้ยินคำพูดที่อบอุ่นแบบนั้น น้ำตาเราก็ไหลออกมา
เราก้มหน้า . . น้ำตาหยดลงพื้น ทั้ง ๆ ที่พยายามกลั้นเอาไว้แล้วอย่างที่สุด
แม่เขายื่นมือมาเช็ดน้ำตาให้เรา “
ร้องไห้ทำไม ? โตแล้ว . . งอแงไม่ได้แล้วนะ ”
แล้วท่านก็หันไปบอกกับลุกชายว่า “
กลับไปดูแลแขกเถอะลูก ให้น้องนั่งกับม๊าที่นี่แหละ ม๊ามีเรื่องจะคุยกับน้องเยอะแยะเลย ”
( เราเรียนก่อนเกณฑ์น่ะ ก็เลยอายุน้อยกว่าบุน แม่เขาเลยชอบเรียกเราเหมือนเป็นน้องเล็ก )
เราหันไปทางพ่อของเขา . . ยกมือขึ้นสวัสดีอย่างคนคุ้นเคย
“
เป็นไงบ้าง ? ไปเรียนเมืองนอกตั้งนาน อยู่ที่นั่นลำบากไหม ? ” พ่อเขาทักทาย
เรานั่งคุยกับพ่อแม่เขาตั้งนาน โดยลืมสนใจว่าในงานเค้าทำอะไรกันบ้าง
เรารู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนคนที่จากบ้านไปนาน ๆ แล้วได้กลับมาอยู่กับครอบครัวอีกครั้ง
แม่เขาถามเราว่า “
ทำไมถึงไปไม่บอก ทำไมไม่มาลา . . ตอนนั้นม๊าโกรธมากเลยรู้ไหม ”
เราก้มหน้า ไม่ได้ตอบอะไร แม่เขาก็พูดต่อ
“
บุนเค้าเสียใจมาก . . ร้องไห้ทุกวัน ป๊ากับม๊าก็ไม่รู้จะทำยังไง ไม่รู้จะปลอบใจลูกยังไง
เห็นลูกตัวเองเศร้าแบบนั้น หัวอกคนเป็นพ่อแม่ก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ
ม๊าก็ถาม . . ถามบุนว่าไปทำอะไรให้น้องโกรธ ทำไมน้องถึงได้หนีไปแบบนั้น . . ทำไมน้องถึงไปโดยไม่ลา
เค้าก็บอกม๊าว่าเค้าไม่ได้ทำอะไร เค้าก็ไม่เข้าใจ . . ก็เลยได้แต่เสียใจร้องไห้
หนูรู้ไหมว่าตอนนั้นม๊ากลัวว่าเค้าจะเสียใจจนเสียคน กลัวเค้าจะคิดอะไร ๆ ที่เราคิดไม่ถึง ”
เราได้แต่พูดคำว่า “
หนูเสียค่ะม๊า . . หนูขอโทษ ”
แม่เขาเอื้อมมือมาจับที่มือเราเอาไว้ “
ผ่านมาถึงวันนี้ได้ ม๊าก็สบายใจแล้วล่ะ หนูก็ไม่ต้องคิดมาก . . เรื่องมันแล้วไปแล้ว
ม๊าเข้าใจว่าวัยรุ่นคิดอะไรกัน ตอนนั้น . . ม๊าเข้าใจความรู้สึกของหนูนะ และม๊าก็รู้จักลูกชายของม๊าดีว่าเค้าเป็นคนหัวรั้น
ตอนหลัง . . เค้ามาสารภาพกับป๊าม๊าว่าหนูเคยคุยกับเราเรื่องอยากจะไปเรียนต่อ แต่เค้าคิดว่าหนูไม่ได้จริงจัง
แล้วก็เป็นเขาเองที่ดื้อไม่ยอมให้หนูไป ไม่ให้หนูมีทางเลือกอะไร มิหนำซ้ำ . . ยังพยายามจะให้หนูแต่งงานกับเขาก่อนซะอีก
ม๊าเข้าใจนะว่าตอนนั้นหนูก็เรียนยังไม่ทันจบ คงจะยังไม่ได้คิดเรื่องแต่งงานอะไร
พอได้ยินเค้าพูดแบบนี้ม๊าก็เลยเข้าใจ จะโกรธหนูต่อไปก็ไม่ถูก เพราะลูกชายม๊าก็มีส่วนผิดที่ทำอะไรแบบนั้น ”
เราขยับตัวเข้าไปใกล้ ๆ กอดแม่เขาเอาไว้ “
ขอบคุณค่ะม๊า . . ขอบคุณที่เข้าใจหนู ”
“
กลับมาคราวนี้ . . จะไปที่ไหนอีกไหม ? ” แม่เขาถาม
“
ไม่แล้วค่ะ จะอยู่ที่นี่ พี่ชายหนูแต่งงานกันหมดแล้ว ถ้าหนูไปไหนอีกจะไม่มีใครอยู่กับพ่อแม่ ” เราตอบ
พ่อเขาหันมาคุยกับเรา “
พ่อเราเค้ายังตีกอล์ฟอยู่ไหม ”
“
ค่ะ แต่เดี๋ยวนี้เค้าชอบไปตีกันไกล ๆ พาแม่ไปเที่ยวด้วย เห็นว่าเดี๋ยวนี้มีสนามกอล์ฟที่เป็นรีสอร์ทเยอะแยะเลย ”
“
ดี ๆ . . ถามพ่อเราให้ป๊าหน่อยนะ วันหลังป๊าจะขอไปเข้าก๊วนด้วยได้รึเปล่า ”
“
ยินดีค่ะ . . คราวหน้าหนูจะไปด้วย เดี๋ยวนี้หนูตีเก่งแล้วนะคะ เวลาที่เพื่อน ๆ พ่อไม่ว่าง หนูก็จะไปกับพี่ชายคนโตด้วย
เดือนที่แล้วไปออกรอบกันที่หัวหิน อากาศดีมากเลยนะคะ ป๊าเคยไปรึยัง ? ”
เราคุยกับพ่อเขาเรื่องตีกอล์ฟแป้บนึง แม่เขาก็พูดขึ้นมาว่า
“
บุนแต่งงานไปแล้วก็เหลือแต่เบน ( น้องชายบุน ) อยู่ที่บ้าน กับหมากับแมว ”
เราก็พลั้งปากถามไปโดยไม่คิด “
อ้าว . . ไม่ได้แต่งสะใภ้เข้าบ้านเหรอคะ ? แล้วเค้าไปอยู่ไหนกัน ? ”
แม่เค้าลดเสียงลงจนเกือบจะกลายเป็นกระซิบ “
แฟนเค้าไม่อยู่ เค้าว่าเดินทางไม่สะดวก
ก็เลยจะไปอยู่ด้วยกันที่คอนโด . . ป๊าเพิ่งซื้อให้ใหม่ ใกล้ ๆ ที่ทำงานเค้า ”
อืมม . .
พ่อแม่ใจดีขนาดนี้ จะหนีไปอยู่กันสองคนทำไมเนี่ย เราไม่เข้าใจ หาเรื่องลำยากให้ตัวเองจริง ๆ
( เอาแอบหมั่นไส้ ‘บุญทิ้ง’ นะ แบบนี้ใช้ไม่ได้เลย )
ระหว่างที่เราคุยกับพ่อแม่เค้าถึงเรื่องนั้นเรื่องโน้นไปเรื่อย เราก็ได้ยินเพลงนี้เปิดขึ้นมา
SEAL : KISS FROM A ROSE
เพลงนี้ดังขึ้นแว่ว ๆ แต่ทำให้เราชาไปทั้งตัว ( เราจำได้ดีว่ามันเป็นเพลงที่เขาชอบฟังมาตลอด )
เราหันไปมองหน้าแม่เขา . .
“
ม๊า . . ทำไมถึงมีเพลงนี้ด้วย งานแต่งงาน . . ใคร ๆ ก็เปิดรักหวาน ๆ กันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอคะ ? ”
แม่เขาบอกว่า “
ตอนที่เตรียมจัดงาน . . บุนมาบอกม๊าว่า ถ้าหนูมางานของเค้า เค้าจะเปิดเพลงนี้
เค้าเอามาเปิดให้ป๊ากับม๊าฟังหลายรอบ แต่ม๊าฟังไม่เข้าใจหรอก
เค้าบอกว่า ถ้าหนูมางานนี้ เค้าจะพาหนูมานั่งกับม๊า แล้วให้ม๊าบอกกับหนูว่า
‘ความรักของเค้าไม่เคยหายไปไหน . . มันแค่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ลึก ๆ ข้างในหัวใจ ’
หนูเข้าใจที่ม๊าพูดมั้ยลูก ”
[ คำเตือน : กระทู้ภาคต่อและมีเนื้อหายาวเกิน 8 บรรทัด ] ในค่ำคืนที่แฟนเก่าแต่งงาน . . เราต้องไปร่วมฉลอง ( สินะ ? )
[ ขอแนะนำให้อ่านกระทู้นี้ก่อนค่ะ : http://pantip.com/topic/31297883 ]
เช้าวันศุกร์ . .
เป็นวันที่เรายุ่งมากวันหนึ่ง แถมยังมีประชุมยืดยาวกับลูกค้าตั้งแต่เที่ยงจนเย็นย่ำ
‘ วันนี้ เพื่อน ๆ นัดเจอกันตอนหกโมงครึ่งนะ ’
‘ ลืมรึป่าว ’
เพื่อนสนิทในกลุ่มคนหนึ่งส่งข้อความมาในไลน์
อืมม . . เราลืมไปซะสนิทว่าวันนี้นัดกับเพื่อนเอาไว้ว่าจะไปหาอะไรกินกัน
ก็เลยรีบโทรกลับไปหาเพื่อนคนนั้นทันที
“ ตอนนี้เราอยู่สุขุมวิท 39 , สรุปว่านัดกันที่ไหนเหรอ เรายังไม่รู้เลยนะ ? ”
“ วันนี้ขับรถมาป่าว ? ” เขาถาม
“ ป่าว เมื่อเช้าตื่นสาย ก็เลยนั่งรถไฟมาคุยกับลูกค้า ” เราตอบ
“ ตอนนี้เบียกับเส็งอยู่บ้านนุช เรากำลังแวะไปรับ ” แล้วเขาก็บอกให้เรารอตรงสถานีรถไฟ
เขาผ่านมารับเราก่อนแล้วเลยไปรับนุช , เบีย , เส็ง
เราประหลาดใจมากว่าทำไมทุกคนแต่งตัวกันซะเต็มที่ . . ( เราเห็นนุชใส่ขนตาปลอมด้วยอ่ะ )
เราก็เลยถามเพื่อน ๆ ว่า
“ อย่าบอกนะว่า . . นี่กำลังจะไปงานแต่งบุน ? ”
“ เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ . . ว่าจะไม่ไป ” เราโวยใส่เพื่อน
แล้วเพื่อน ๆ เราก็หาเหตุผลร้อยแปดยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างว่ายังไงก็ต้องไปด้วยกัน
สุดท้ายเราก็ยอมจำนนต่อเหตุผลร้อยแปดพันประการเหล่านั้น
“ ถ้าเราเผลอร้องไห้ออกมา . . จะทำยังไงดีวะ ? ” เรากำลังสับสนในใจ
แต่ในเมื่อยังเป็นเพื่อนกัน . .
ถ้าเราไม่ไปร่วมงาน เพื่อนคนอื่น ๆ ก็คงจะพากันคิดว่าเรายังรักเค้าอยู่
แต่อีกนัยหนึ่ง . . มันก็เป็นการทดสอบตัวเราเองด้วยเหมือนกันนะ
ถ้าเราผ่านมันไปได้ . . ต่อไปก็คงไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้ว
มันอาจจะทำให้เรารู้สึกผิดน้อยลง และไม่รู้สึกติดค้างอะไรกันอีก
หากเราได้เห็นเขามีความสุข . . เราก็คงจะมีความสุขด้วยเหมือนกันล่ะมั้ง
ระหว่างทาง . .
เรากำลังใจลอยคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
ท่ามกลางเพื่อน ๆ ที่กินนั่นกินนี่กันไปตลอดทาง
“ อยากให้แวะซื้อเสื้อผ้าใหม่ป่าว ? เดี๋ยวสวยสู้เจ้าสาวไม่ได้นะ ” เพื่อนเราที่กำลังขับรถหันมาแซว
ทุกคนหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน . . เราก็หัวเราะออกมาด้วย
. . โดยที่ไม่รู้ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเราต้องเจอกับอะไรบ้าง
เราก็ได้แต่ทำเป็นร่าเริงเหมือนไม่ได้กังวลอะไรอยู่ในใจ
เราสูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ หลายครั้ง ก่อนจะก้าวขาลงจากรถ และเดินเข้าไปในงาน
“ ไปกันเถอะ . . อย่าป๊อดไปหน่อยเลย ทำตัวอย่างกะเป็นนักโทษที่กำลังจะโดนประหารชีวิตไปได้ ”
จอม เพื่อนที่เป็นคนขับรถพูดขึ้นมา
เราก้มหน้ายิ้ม พร้อมกับก้าวขาเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ
แต่หัวใจของเราเต้นแรงมาก เหมือนกับว่ามันพร้อมที่จะระเบิดออกมาทุกวินาที
ยิ่งเข้าไปใกล้งานมากขึ้นเท่าไร . . หัวใจมันก็เต้นแรงมากขึ้นเท่านั้น
ไม่ใช่แค่หัวใจเท่านั้นนะ . . ตอนนี้มือก็เริ่มสั่นตามไปด้วยแล้วล่ะ
“ เราไปนั่งรอที่รถได้ป้ะ ไม่กล้าเข้าไปว่ะ ” เราคิดว่าเราไม่กล้าเดินเข้าไปในงานจริง ๆ
เพื่อน ๆ หันมา ‘เฮ้ย ! ’ พร้อมกันเป็นเสียงเดียว
แล้วจอมก็มาเดินที่ข้าง ๆ เรา พูดนั่นพูดนี่ตลอดเวลา
แต่ ณ เวลานั้น เราไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้ว นอกจากเสียงหัวใจที่กำลังเต้นดังมาก ๆ
หลังจากที่เพื่อน ๆ เขียนสมุดอวยพรกันเสร็จก็หันมากดดันให้เราต้องเขียนลงไปด้วย
เรานึกอะไรไม่ออกว่าต้องเขียนยังไง เราจะเขียนลงไปในนั้นดีล่ะ ???
อะไรที่เราอยากจะบอกกับเขางั้นเหรอ ?
ไม่สิ ! สิ่งที่เราควรจะเขียนก็คือคำพูดดี ๆ ที่จะเป็นกำลังใจให้กับคู่บ่าว - สาวนั่นตะหาก
เราพยายามควบคุมมือตัวเองไม่ให้มันสั่น
พยายามควบคุมดวงตาทั้งสองข้างของตัวเองไม่ให้มันปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา
เราสูดลมหายใจเข้าปอดให้ลึกที่สุดเพื่อรวบรวมความกล้าหาญที่ตัวเองมี
ผลักดันด้วยแรงแห่งรัก
ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์
ก็ขอให้มีกันและกันเอาไว้ ”
⎯ JULIET ⎯
พอเราเงยหน้าขึ้น . . น้ำตาก็หยดลงมาที่แก้มทั้งสองข้าง
เรารีบเบือนหน้าหนีสาว ๆ สองคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น เพราะกลัวว่าเขาจะเห็นว่าเราร้องไห้ออกมา
“ หิวแล้ว ๆ ไปหาอะไรกินในงานกันได้แระนะ ” นุชพูดขึ้นมาพร้อมกับรีบคว้าแขนเราเดินไปจากตรงนั้น
เรากระซิบบอกนุชว่าเราไม่ได้ตั้งใจนะ แต่มันช่วยไม่ได้จริง ๆ เราขอไม่เข้าไปในงานได้ไหม ?
แล้วเส็งก็เดินเข้ามาให้กำลังใจเราอีกคน
เบียกับจอมยืนคุยกับคู่บ่าว - สาวที่ยืนรับแขกที่ประตูทางเข้างาน
ตรงนั้น . .
มีเจ้าบ่าว , มีเจ้าสาว ที่ยืนอยู่คู่กัน คอยตอนรับแขกที่มาร่วมงานด้วยความสวัสดี รอบ ๆมีใครอีก 3 - 4 คนที่เราไม่รู้จัก
เราแทบจะก้าวขาไม่ออก ไม่รู้จะทำหน้ายังไง ไม่รู้จะมองหน้าเขายังไง . . ด้วยแววตาแบบไหน ???
นุชจับมือเอาไว้ แล้วบอกกับเราว่า . .
“ แกต้องยินดีกับมันนะเว้ย อย่าทำหน้าเศร้า อย่าร้องไห้ให้มันเห็น
ถ้าผ่านงานนี้ไปได้ ต่อไปแกกับมันก็มองหน้ากันได้สบายแล้วล่ะ . . เชื่อฉันดิ สู้ ๆ นะแก ”
เราพยายามข่มใจตัวเองสุด ๆ เดินก้าวไปข้างหน้าทั้ง ๆ ที่ขาสั่นสุด ๆ แต่ก็ต้องเดินหน้าต่อไป
บุนแนะนำเพื่อน ๆ ให้เจ้าสาวของเขารู้จักทีละคน ( หน้าตายิ้มแย้มเบิกบานมาก ) จนมาถึงเรา . .
เขาเดินตรงเข้ามายืนตรงหน้า “ เรารู้ . . ว่าเธอต้องมา ขอบคุณมากนะ ขอบคุณมากจริง ๆ ”
แล้วเขาก็กอดเราท่ามกลางสายตาทุกคนที่อยู่ตรงนั้น
ในใจเราต้องการให้เขากอดเราให้แน่นกว่านี้ ให้เหมือนกับว่าเราไม่มีวันพรากจากกันอีก
แต่สติสัมปชัญญะบอกให้เราผละตัวเองออกจากเขาโดยเร็ว
เขาหันไปบอกใครสักคนตรงนั้นว่าให้ช่วยพาเพื่อน ๆ ไปนั่งที่โต๊ะที่เขาเตรียมเอาไว้
และบอกกับเจ้าสาวของเขาว่าเดี๋ยวเขาจะกลับมา
เขาจับแขนเราเดินเข้าไปในงาน . .
เรามองไปรอบ ๆ ในงานมีคนที่เรารู้จักเต็มไปหมด
“ นี่มันงานแต่งหรืองานเลี้ยงรุ่นกันเนี่ย ? ไม่คิดจะคบคนอื่นมั่งรึไง ? ” เราถาม
เขาหัวเราะและบอกเราว่า “จะพาไปหาคนสำคัญ เค้ารอเธอมานานแล้ว ”
เขาพาเราเดินตรงไปยังโต๊ะที่มีมีผู้หญ่หลายคนกำลังนั่งคุยกัน และมีสองคนที่เราเคยรู้จักเป็นอย่างดี
“ ป๊า ม๊า . . ผมพาแขกกิตติมาศักดิ์มาไหว้ ”
ทันทีที่เราหันไปมอง . . หัวใจเราเหมือนจะหยุดเต้นลงในทันที เรายืนตัวแข็งเหมือนหินต้องคำสาปที่ไม่มีวันขยับไปไหนได้อีก
แม่เขาสั่งให้คนขยับเก้าอี้มาให้เรานั่งข้าง ๆ พร้อมกับจับแขนให้เรานั่งลงตรงนั้น
เราพูดอะไรไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก ในใจคิดถึงแต่เรื่องราวเก่า ๆ
นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่เราตกอยู่ในภวังค์ . . ภวังค์แห่งความสำนึกผิด และความโง่เขลาของเราในอดีต
“ กลับมาไทยนานรึยัง ? ทำไมไม่แวะไปหาม๊ากับป๊าที่บ้านบ้าง ” แม่เขาพูดกับเราราวกับว่าเราไม่เคยทำให้ท่านเสียใจ
เรายกมือไหว้ ก้มลงกราบที่ตักของท่านอย่างอ่อนน้อมที่สุด
“ หนูขอโทษ . . สำหรับทุกอย่างค่ะ ”
แม่เขาลูบหัวเราด้วยความเอ็นดู ท่านยังดีกับเราเหมือนกับที่ท่านเคยดีเมื่อก่อน
ท่านพยุงจับเราให้กลับมานั่ง และบอกกับเราว่า “ ม๊าดีใจที่เราได้เจอกันอีก . . ม๊าดีใจที่หนูมาร่วมงานในวันนี้ ”
พอได้ยินคำพูดที่อบอุ่นแบบนั้น น้ำตาเราก็ไหลออกมา
เราก้มหน้า . . น้ำตาหยดลงพื้น ทั้ง ๆ ที่พยายามกลั้นเอาไว้แล้วอย่างที่สุด
แม่เขายื่นมือมาเช็ดน้ำตาให้เรา “ ร้องไห้ทำไม ? โตแล้ว . . งอแงไม่ได้แล้วนะ ”
แล้วท่านก็หันไปบอกกับลุกชายว่า “ กลับไปดูแลแขกเถอะลูก ให้น้องนั่งกับม๊าที่นี่แหละ ม๊ามีเรื่องจะคุยกับน้องเยอะแยะเลย ”
( เราเรียนก่อนเกณฑ์น่ะ ก็เลยอายุน้อยกว่าบุน แม่เขาเลยชอบเรียกเราเหมือนเป็นน้องเล็ก )
เราหันไปทางพ่อของเขา . . ยกมือขึ้นสวัสดีอย่างคนคุ้นเคย
“ เป็นไงบ้าง ? ไปเรียนเมืองนอกตั้งนาน อยู่ที่นั่นลำบากไหม ? ” พ่อเขาทักทาย
เรานั่งคุยกับพ่อแม่เขาตั้งนาน โดยลืมสนใจว่าในงานเค้าทำอะไรกันบ้าง
เรารู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนคนที่จากบ้านไปนาน ๆ แล้วได้กลับมาอยู่กับครอบครัวอีกครั้ง
แม่เขาถามเราว่า “ ทำไมถึงไปไม่บอก ทำไมไม่มาลา . . ตอนนั้นม๊าโกรธมากเลยรู้ไหม ”
เราก้มหน้า ไม่ได้ตอบอะไร แม่เขาก็พูดต่อ
“ บุนเค้าเสียใจมาก . . ร้องไห้ทุกวัน ป๊ากับม๊าก็ไม่รู้จะทำยังไง ไม่รู้จะปลอบใจลูกยังไง
เห็นลูกตัวเองเศร้าแบบนั้น หัวอกคนเป็นพ่อแม่ก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ
ม๊าก็ถาม . . ถามบุนว่าไปทำอะไรให้น้องโกรธ ทำไมน้องถึงได้หนีไปแบบนั้น . . ทำไมน้องถึงไปโดยไม่ลา
เค้าก็บอกม๊าว่าเค้าไม่ได้ทำอะไร เค้าก็ไม่เข้าใจ . . ก็เลยได้แต่เสียใจร้องไห้
หนูรู้ไหมว่าตอนนั้นม๊ากลัวว่าเค้าจะเสียใจจนเสียคน กลัวเค้าจะคิดอะไร ๆ ที่เราคิดไม่ถึง ”
เราได้แต่พูดคำว่า “ หนูเสียค่ะม๊า . . หนูขอโทษ ”
แม่เขาเอื้อมมือมาจับที่มือเราเอาไว้ “ ผ่านมาถึงวันนี้ได้ ม๊าก็สบายใจแล้วล่ะ หนูก็ไม่ต้องคิดมาก . . เรื่องมันแล้วไปแล้ว
ม๊าเข้าใจว่าวัยรุ่นคิดอะไรกัน ตอนนั้น . . ม๊าเข้าใจความรู้สึกของหนูนะ และม๊าก็รู้จักลูกชายของม๊าดีว่าเค้าเป็นคนหัวรั้น
ตอนหลัง . . เค้ามาสารภาพกับป๊าม๊าว่าหนูเคยคุยกับเราเรื่องอยากจะไปเรียนต่อ แต่เค้าคิดว่าหนูไม่ได้จริงจัง
แล้วก็เป็นเขาเองที่ดื้อไม่ยอมให้หนูไป ไม่ให้หนูมีทางเลือกอะไร มิหนำซ้ำ . . ยังพยายามจะให้หนูแต่งงานกับเขาก่อนซะอีก
ม๊าเข้าใจนะว่าตอนนั้นหนูก็เรียนยังไม่ทันจบ คงจะยังไม่ได้คิดเรื่องแต่งงานอะไร
พอได้ยินเค้าพูดแบบนี้ม๊าก็เลยเข้าใจ จะโกรธหนูต่อไปก็ไม่ถูก เพราะลูกชายม๊าก็มีส่วนผิดที่ทำอะไรแบบนั้น ”
เราขยับตัวเข้าไปใกล้ ๆ กอดแม่เขาเอาไว้ “ ขอบคุณค่ะม๊า . . ขอบคุณที่เข้าใจหนู ”
“ กลับมาคราวนี้ . . จะไปที่ไหนอีกไหม ? ” แม่เขาถาม
“ ไม่แล้วค่ะ จะอยู่ที่นี่ พี่ชายหนูแต่งงานกันหมดแล้ว ถ้าหนูไปไหนอีกจะไม่มีใครอยู่กับพ่อแม่ ” เราตอบ
พ่อเขาหันมาคุยกับเรา “พ่อเราเค้ายังตีกอล์ฟอยู่ไหม ”
“ ค่ะ แต่เดี๋ยวนี้เค้าชอบไปตีกันไกล ๆ พาแม่ไปเที่ยวด้วย เห็นว่าเดี๋ยวนี้มีสนามกอล์ฟที่เป็นรีสอร์ทเยอะแยะเลย ”
“ ดี ๆ . . ถามพ่อเราให้ป๊าหน่อยนะ วันหลังป๊าจะขอไปเข้าก๊วนด้วยได้รึเปล่า ”
“ ยินดีค่ะ . . คราวหน้าหนูจะไปด้วย เดี๋ยวนี้หนูตีเก่งแล้วนะคะ เวลาที่เพื่อน ๆ พ่อไม่ว่าง หนูก็จะไปกับพี่ชายคนโตด้วย
เดือนที่แล้วไปออกรอบกันที่หัวหิน อากาศดีมากเลยนะคะ ป๊าเคยไปรึยัง ? ”
เราคุยกับพ่อเขาเรื่องตีกอล์ฟแป้บนึง แม่เขาก็พูดขึ้นมาว่า
“ บุนแต่งงานไปแล้วก็เหลือแต่เบน ( น้องชายบุน ) อยู่ที่บ้าน กับหมากับแมว ”
เราก็พลั้งปากถามไปโดยไม่คิด “ อ้าว . . ไม่ได้แต่งสะใภ้เข้าบ้านเหรอคะ ? แล้วเค้าไปอยู่ไหนกัน ? ”
แม่เค้าลดเสียงลงจนเกือบจะกลายเป็นกระซิบ “ แฟนเค้าไม่อยู่ เค้าว่าเดินทางไม่สะดวก
ก็เลยจะไปอยู่ด้วยกันที่คอนโด . . ป๊าเพิ่งซื้อให้ใหม่ ใกล้ ๆ ที่ทำงานเค้า ”
อืมม . .
พ่อแม่ใจดีขนาดนี้ จะหนีไปอยู่กันสองคนทำไมเนี่ย เราไม่เข้าใจ หาเรื่องลำยากให้ตัวเองจริง ๆ
( เอาแอบหมั่นไส้ ‘บุญทิ้ง’ นะ แบบนี้ใช้ไม่ได้เลย )
ระหว่างที่เราคุยกับพ่อแม่เค้าถึงเรื่องนั้นเรื่องโน้นไปเรื่อย เราก็ได้ยินเพลงนี้เปิดขึ้นมา
SEAL : KISS FROM A ROSE
เพลงนี้ดังขึ้นแว่ว ๆ แต่ทำให้เราชาไปทั้งตัว ( เราจำได้ดีว่ามันเป็นเพลงที่เขาชอบฟังมาตลอด )
เราหันไปมองหน้าแม่เขา . .
“ม๊า . . ทำไมถึงมีเพลงนี้ด้วย งานแต่งงาน . . ใคร ๆ ก็เปิดรักหวาน ๆ กันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอคะ ? ”
แม่เขาบอกว่า “ ตอนที่เตรียมจัดงาน . . บุนมาบอกม๊าว่า ถ้าหนูมางานของเค้า เค้าจะเปิดเพลงนี้
เค้าเอามาเปิดให้ป๊ากับม๊าฟังหลายรอบ แต่ม๊าฟังไม่เข้าใจหรอก
เค้าบอกว่า ถ้าหนูมางานนี้ เค้าจะพาหนูมานั่งกับม๊า แล้วให้ม๊าบอกกับหนูว่า
‘ความรักของเค้าไม่เคยหายไปไหน . . มันแค่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ลึก ๆ ข้างในหัวใจ ’
หนูเข้าใจที่ม๊าพูดมั้ยลูก ”