[ คำเตือน : กระทู้ภาคต่อและมีเนื้อหายาวเกิน 8 บรรทัด ] ในค่ำคืนที่แฟนเก่าแต่งงาน . . เราต้องไปร่วมฉลอง ( สินะ ? )

กระทู้สนทนา
อมยิ้ม33
[ ขอแนะนำให้อ่านกระทู้นี้ก่อนค่ะ  :  http://pantip.com/topic/31297883 ]

เช้าวันศุกร์ . .
เป็นวันที่เรายุ่งมากวันหนึ่ง  แถมยังมีประชุมยืดยาวกับลูกค้าตั้งแต่เที่ยงจนเย็นย่ำ

‘ วันนี้ เพื่อน ๆ นัดเจอกันตอนหกโมงครึ่งนะ ’
‘ ลืมรึป่าว ’
เพื่อนสนิทในกลุ่มคนหนึ่งส่งข้อความมาในไลน์

อืมม .​ . เราลืมไปซะสนิทว่าวันนี้นัดกับเพื่อนเอาไว้ว่าจะไปหาอะไรกินกัน
ก็เลยรีบโทรกลับไปหาเพื่อนคนนั้นทันที
ตอนนี้เราอยู่สุขุมวิท 39  , สรุปว่านัดกันที่ไหนเหรอ เรายังไม่รู้เลยนะ ?  ”
วันนี้ขับรถมาป่าว ?  ”  เขาถาม
ป่าว เมื่อเช้าตื่นสาย ก็เลยนั่งรถไฟมาคุยกับลูกค้า  ”  เราตอบ
“  ตอนนี้เบียกับเส็งอยู่บ้านนุช เรากำลังแวะไปรับ  ” แล้วเขาก็บอกให้เรารอตรงสถานีรถไฟ

เขาผ่านมารับเราก่อนแล้วเลยไปรับนุช , เบีย , เส็ง
เราประหลาดใจมากว่าทำไมทุกคนแต่งตัวกันซะเต็มที่ . .   ( เราเห็นนุชใส่ขนตาปลอมด้วยอ่ะ )
เราก็เลยถามเพื่อน ๆ ว่า  
อย่าบอกนะว่า . . นี่กำลังจะไปงานแต่งบุน ?   ”
เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ . . ว่าจะไม่ไป    ”  เราโวยใส่เพื่อน
แล้วเพื่อน ๆ เราก็หาเหตุผลร้อยแปดยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างว่ายังไงก็ต้องไปด้วยกัน
สุดท้ายเราก็ยอมจำนนต่อเหตุผลร้อยแปดพันประการเหล่านั้น
ถ้าเราเผลอร้องไห้ออกมา . . จะทำยังไงดีวะ ?  ”  เรากำลังสับสนในใจ

แต่ในเมื่อยังเป็นเพื่อนกัน . .
ถ้าเราไม่ไปร่วมงาน เพื่อนคนอื่น ๆ ก็คงจะพากันคิดว่าเรายังรักเค้าอยู่
แต่อีกนัยหนึ่ง . . มันก็เป็นการทดสอบตัวเราเองด้วยเหมือนกันนะ
ถ้าเราผ่านมันไปได้ . . ต่อไปก็คงไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้ว
มันอาจจะทำให้เรารู้สึกผิดน้อยลง และไม่รู้สึกติดค้างอะไรกันอีก
หากเราได้เห็นเขามีความสุข . . เราก็คงจะมีความสุขด้วยเหมือนกันล่ะมั้ง

ระหว่างทาง . .
เรากำลังใจลอยคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
ท่ามกลางเพื่อน ๆ ที่กินนั่นกินนี่กันไปตลอดทาง
อยากให้แวะซื้อเสื้อผ้าใหม่ป่าว ? เดี๋ยวสวยสู้เจ้าสาวไม่ได้นะ  ” เพื่อนเราที่กำลังขับรถหันมาแซว
ทุกคนหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน . . เราก็หัวเราะออกมาด้วย
. . โดยที่ไม่รู้ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเราต้องเจอกับอะไรบ้าง
เราก็ได้แต่ทำเป็นร่าเริงเหมือนไม่ได้กังวลอะไรอยู่ในใจ

เราสูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ หลายครั้ง ก่อนจะก้าวขาลงจากรถ และเดินเข้าไปในงาน
ไปกันเถอะ . . อย่าป๊อดไปหน่อยเลย ทำตัวอย่างกะเป็นนักโทษที่กำลังจะโดนประหารชีวิตไปได้  ”
จอม เพื่อนที่เป็นคนขับรถพูดขึ้นมา
เราก้มหน้ายิ้ม พร้อมกับก้าวขาเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ
แต่หัวใจของเราเต้นแรงมาก เหมือนกับว่ามันพร้อมที่จะระเบิดออกมาทุกวินาที
ยิ่งเข้าไปใกล้งานมากขึ้นเท่าไร . . หัวใจมันก็เต้นแรงมากขึ้นเท่านั้น
ไม่ใช่แค่หัวใจเท่านั้นนะ . . ตอนนี้มือก็เริ่มสั่นตามไปด้วยแล้วล่ะ
เราไปนั่งรอที่รถได้ป้ะ ไม่กล้าเข้าไปว่ะ  ” เราคิดว่าเราไม่กล้าเดินเข้าไปในงานจริง ๆ  
เพื่อน ๆ หันมา ‘เฮ้ย !   ’ พร้อมกันเป็นเสียงเดียว
แล้วจอมก็มาเดินที่ข้าง ๆ เรา พูดนั่นพูดนี่ตลอดเวลา
แต่ ณ เวลานั้น เราไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้ว นอกจากเสียงหัวใจที่กำลังเต้นดังมาก ๆ

หลังจากที่เพื่อน ๆ เขียนสมุดอวยพรกันเสร็จก็หันมากดดันให้เราต้องเขียนลงไปด้วย
เรานึกอะไรไม่ออกว่าต้องเขียนยังไง เราจะเขียนลงไปในนั้นดีล่ะ ???
อะไรที่เราอยากจะบอกกับเขางั้นเหรอ ?
ไม่สิ ! สิ่งที่เราควรจะเขียนก็คือคำพูดดี ๆ ที่จะเป็นกำลังใจให้กับคู่บ่าว - สาวนั่นตะหาก
เราพยายามควบคุมมือตัวเองไม่ให้มันสั่น
พยายามควบคุมดวงตาทั้งสองข้างของตัวเองไม่ให้มันปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา
เราสูดลมหายใจเข้าปอดให้ลึกที่สุดเพื่อรวบรวมความกล้าหาญที่ตัวเองมี


ทุกอย่างเป็นไปเพราะรัก
ผลักดันด้วยแรงแห่งรัก
ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์
ก็ขอให้มีกันและกันเอาไว้
  ”
⎯      JULIET     ⎯



พอเราเงยหน้าขึ้น . . น้ำตาก็หยดลงมาที่แก้มทั้งสองข้าง
เรารีบเบือนหน้าหนีสาว ๆ สองคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น เพราะกลัวว่าเขาจะเห็นว่าเราร้องไห้ออกมา

หิวแล้ว ๆ ไปหาอะไรกินในงานกันได้แระนะ  ”   นุชพูดขึ้นมาพร้อมกับรีบคว้าแขนเราเดินไปจากตรงนั้น
เรากระซิบบอกนุชว่าเราไม่ได้ตั้งใจนะ แต่มันช่วยไม่ได้จริง ๆ  เราขอไม่เข้าไปในงานได้ไหม ?
แล้วเส็งก็เดินเข้ามาให้กำลังใจเราอีกคน
เบียกับจอมยืนคุยกับคู่บ่าว - สาวที่ยืนรับแขกที่ประตูทางเข้างาน
ตรงนั้น . ​.​
มีเจ้าบ่าว , มีเจ้าสาว ที่ยืนอยู่คู่กัน คอยตอนรับแขกที่มาร่วมงานด้วยความสวัสดี รอบ  ๆมีใครอีก 3 - 4 คนที่เราไม่รู้จัก
เราแทบจะก้าวขาไม่ออก ไม่รู้จะทำหน้ายังไง ไม่รู้จะมองหน้าเขายังไง . . ด้วยแววตาแบบไหน ???
นุชจับมือเอาไว้ แล้วบอกกับเราว่า  . .
“   แกต้องยินดีกับมันนะเว้ย อย่าทำหน้าเศร้า อย่าร้องไห้ให้มันเห็น
ถ้าผ่านงานนี้ไปได้ ต่อไปแกกับมันก็มองหน้ากันได้สบายแล้วล่ะ . . เชื่อฉันดิ สู้ ๆ นะแก
  ”
เราพยายามข่มใจตัวเองสุด  ๆ เดินก้าวไปข้างหน้าทั้ง ๆ ที่ขาสั่นสุด ๆ แต่ก็ต้องเดินหน้าต่อไป

บุนแนะนำเพื่อน ๆ ให้เจ้าสาวของเขารู้จักทีละคน ( หน้าตายิ้มแย้มเบิกบานมาก )  จนมาถึงเรา . .
เขาเดินตรงเข้ามายืนตรงหน้า  “ เรารู้ . . ว่าเธอต้องมา  ขอบคุณมากนะ ขอบคุณมากจริง ๆ  ”
แล้วเขาก็กอดเราท่ามกลางสายตาทุกคนที่อยู่ตรงนั้น
ในใจเราต้องการให้เขากอดเราให้แน่นกว่านี้ ให้เหมือนกับว่าเราไม่มีวันพรากจากกันอีก
แต่สติสัมปชัญญะบอกให้เราผละตัวเองออกจากเขาโดยเร็ว
เขาหันไปบอกใครสักคนตรงนั้นว่าให้ช่วยพาเพื่อน ๆ ไปนั่งที่โต๊ะที่เขาเตรียมเอาไว้
และบอกกับเจ้าสาวของเขาว่าเดี๋ยวเขาจะกลับมา

เขาจับแขนเราเดินเข้าไปในงาน . .
เรามองไปรอบ ๆ ในงานมีคนที่เรารู้จักเต็มไปหมด
นี่มันงานแต่งหรืองานเลี้ยงรุ่นกันเนี่ย ? ไม่คิดจะคบคนอื่นมั่งรึไง ?  ” เราถาม
เขาหัวเราะและบอกเราว่า  “จะพาไปหาคนสำคัญ เค้ารอเธอมานานแล้ว   ”
เขาพาเราเดินตรงไปยังโต๊ะที่มีมีผู้หญ่หลายคนกำลังนั่งคุยกัน และมีสองคนที่เราเคยรู้จักเป็นอย่างดี
ป๊า ม๊า . . ผมพาแขกกิตติมาศักดิ์มาไหว้    ”
ทันทีที่เราหันไปมอง . . หัวใจเราเหมือนจะหยุดเต้นลงในทันที  เรายืนตัวแข็งเหมือนหินต้องคำสาปที่ไม่มีวันขยับไปไหนได้อีก
แม่เขาสั่งให้คนขยับเก้าอี้มาให้เรานั่งข้าง ๆ พร้อมกับจับแขนให้เรานั่งลงตรงนั้น
เราพูดอะไรไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก ในใจคิดถึงแต่เรื่องราวเก่า ๆ
นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่เราตกอยู่ในภวังค์ . . ภวังค์แห่งความสำนึกผิด และความโง่เขลาของเราในอดีต

กลับมาไทยนานรึยัง ? ทำไมไม่แวะไปหาม๊ากับป๊าที่บ้านบ้าง  ”  แม่เขาพูดกับเราราวกับว่าเราไม่เคยทำให้ท่านเสียใจ
เรายกมือไหว้ ก้มลงกราบที่ตักของท่านอย่างอ่อนน้อมที่สุด
หนูขอโทษ . . สำหรับทุกอย่างค่ะ  ”
แม่เขาลูบหัวเราด้วยความเอ็นดู ท่านยังดีกับเราเหมือนกับที่ท่านเคยดีเมื่อก่อน
ท่านพยุงจับเราให้กลับมานั่ง  และบอกกับเราว่า  “ ม๊าดีใจที่เราได้เจอกันอีก . . ม๊าดีใจที่หนูมาร่วมงานในวันนี้
พอได้ยินคำพูดที่อบอุ่นแบบนั้น น้ำตาเราก็ไหลออกมา
เราก้มหน้า . . น้ำตาหยดลงพื้น ทั้ง ๆ ที่พยายามกลั้นเอาไว้แล้วอย่างที่สุด
แม่เขายื่นมือมาเช็ดน้ำตาให้เรา “ ร้องไห้ทำไม ? โตแล้ว . . งอแงไม่ได้แล้วนะ  ”
แล้วท่านก็หันไปบอกกับลุกชายว่า  “ กลับไปดูแลแขกเถอะลูก ให้น้องนั่งกับม๊าที่นี่แหละ ม๊ามีเรื่องจะคุยกับน้องเยอะแยะเลย  ”
( เราเรียนก่อนเกณฑ์น่ะ ก็เลยอายุน้อยกว่าบุน  แม่เขาเลยชอบเรียกเราเหมือนเป็นน้องเล็ก )
เราหันไปทางพ่อของเขา . . ยกมือขึ้นสวัสดีอย่างคนคุ้นเคย
เป็นไงบ้าง ? ไปเรียนเมืองนอกตั้งนาน อยู่ที่นั่นลำบากไหม ? ” พ่อเขาทักทาย

เรานั่งคุยกับพ่อแม่เขาตั้งนาน โดยลืมสนใจว่าในงานเค้าทำอะไรกันบ้าง
เรารู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนคนที่จากบ้านไปนาน ๆ แล้วได้กลับมาอยู่กับครอบครัวอีกครั้ง
แม่เขาถามเราว่า  “ ทำไมถึงไปไม่บอก ทำไมไม่มาลา . . ตอนนั้นม๊าโกรธมากเลยรู้ไหม   ”
เราก้มหน้า ไม่ได้ตอบอะไร แม่เขาก็พูดต่อ
บุนเค้าเสียใจมาก . . ร้องไห้ทุกวัน ป๊ากับม๊าก็ไม่รู้จะทำยังไง ไม่รู้จะปลอบใจลูกยังไง
เห็นลูกตัวเองเศร้าแบบนั้น หัวอกคนเป็นพ่อแม่ก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ
ม๊าก็ถาม . . ถามบุนว่าไปทำอะไรให้น้องโกรธ ทำไมน้องถึงได้หนีไปแบบนั้น . . ทำไมน้องถึงไปโดยไม่ลา
เค้าก็บอกม๊าว่าเค้าไม่ได้ทำอะไร เค้าก็ไม่เข้าใจ . . ก็เลยได้แต่เสียใจร้องไห้
หนูรู้ไหมว่าตอนนั้นม๊ากลัวว่าเค้าจะเสียใจจนเสียคน  กลัวเค้าจะคิดอะไร ๆ ที่เราคิดไม่ถึง
  ”
เราได้แต่พูดคำว่า   “ หนูเสียค่ะม๊า . . หนูขอโทษ  ”
แม่เขาเอื้อมมือมาจับที่มือเราเอาไว้   “ ผ่านมาถึงวันนี้ได้ ม๊าก็สบายใจแล้วล่ะ หนูก็ไม่ต้องคิดมาก . . เรื่องมันแล้วไปแล้ว
ม๊าเข้าใจว่าวัยรุ่นคิดอะไรกัน ตอนนั้น . . ม๊าเข้าใจความรู้สึกของหนูนะ และม๊าก็รู้จักลูกชายของม๊าดีว่าเค้าเป็นคนหัวรั้น
ตอนหลัง . . เค้ามาสารภาพกับป๊าม๊าว่าหนูเคยคุยกับเราเรื่องอยากจะไปเรียนต่อ แต่เค้าคิดว่าหนูไม่ได้จริงจัง
แล้วก็เป็นเขาเองที่ดื้อไม่ยอมให้หนูไป ไม่ให้หนูมีทางเลือกอะไร มิหนำซ้ำ . . ยังพยายามจะให้หนูแต่งงานกับเขาก่อนซะอีก
ม๊าเข้าใจนะว่าตอนนั้นหนูก็เรียนยังไม่ทันจบ คงจะยังไม่ได้คิดเรื่องแต่งงานอะไร
พอได้ยินเค้าพูดแบบนี้ม๊าก็เลยเข้าใจ จะโกรธหนูต่อไปก็ไม่ถูก เพราะลูกชายม๊าก็มีส่วนผิดที่ทำอะไรแบบนั้น
  ”
เราขยับตัวเข้าไปใกล้  ๆ กอดแม่เขาเอาไว้  “ ขอบคุณค่ะม๊า . . ขอบคุณที่เข้าใจหนู  ”

กลับมาคราวนี้ . . จะไปที่ไหนอีกไหม ?   ” แม่เขาถาม
ไม่แล้วค่ะ จะอยู่ที่นี่ พี่ชายหนูแต่งงานกันหมดแล้ว ถ้าหนูไปไหนอีกจะไม่มีใครอยู่กับพ่อแม่  ”  เราตอบ
พ่อเขาหันมาคุยกับเรา   “พ่อเราเค้ายังตีกอล์ฟอยู่ไหม  ”
ค่ะ แต่เดี๋ยวนี้เค้าชอบไปตีกันไกล ๆ พาแม่ไปเที่ยวด้วย เห็นว่าเดี๋ยวนี้มีสนามกอล์ฟที่เป็นรีสอร์ทเยอะแยะเลย  ”
ดี ๆ . . ถามพ่อเราให้ป๊าหน่อยนะ วันหลังป๊าจะขอไปเข้าก๊วนด้วยได้รึเปล่า  ”
ยินดีค่ะ .  . คราวหน้าหนูจะไปด้วย เดี๋ยวนี้หนูตีเก่งแล้วนะคะ เวลาที่เพื่อน ๆ พ่อไม่ว่าง หนูก็จะไปกับพี่ชายคนโตด้วย
เดือนที่แล้วไปออกรอบกันที่หัวหิน อากาศดีมากเลยนะคะ ป๊าเคยไปรึยัง ?
  ”
เราคุยกับพ่อเขาเรื่องตีกอล์ฟแป้บนึง แม่เขาก็พูดขึ้นมาว่า
บุนแต่งงานไปแล้วก็เหลือแต่เบน ( น้องชายบุน ) อยู่ที่บ้าน กับหมากับแมว   ”
เราก็พลั้งปากถามไปโดยไม่คิด  “ อ้าว . . ไม่ได้แต่งสะใภ้เข้าบ้านเหรอคะ ? แล้วเค้าไปอยู่ไหนกัน ?    ”
แม่เค้าลดเสียงลงจนเกือบจะกลายเป็นกระซิบ  “ แฟนเค้าไม่อยู่ เค้าว่าเดินทางไม่สะดวก
ก็เลยจะไปอยู่ด้วยกันที่คอนโด . . ป๊าเพิ่งซื้อให้ใหม่ ใกล้ ๆ ที่ทำงานเค้า
  ”

อืมม . .
พ่อแม่ใจดีขนาดนี้ จะหนีไปอยู่กันสองคนทำไมเนี่ย เราไม่เข้าใจ หาเรื่องลำยากให้ตัวเองจริง ๆ
( เอาแอบหมั่นไส้  ‘บุญทิ้ง’ นะ แบบนี้ใช้ไม่ได้เลย  )

ระหว่างที่เราคุยกับพ่อแม่เค้าถึงเรื่องนั้นเรื่องโน้นไปเรื่อย เราก็ได้ยินเพลงนี้เปิดขึ้นมา
SEAL  :  KISS FROM A ROSE
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

เพลงนี้ดังขึ้นแว่ว ๆ แต่ทำให้เราชาไปทั้งตัว ( เราจำได้ดีว่ามันเป็นเพลงที่เขาชอบฟังมาตลอด )
เราหันไปมองหน้าแม่เขา . .
ม๊า . .​ ทำไมถึงมีเพลงนี้ด้วย งานแต่งงาน . . ใคร ๆ ก็เปิดรักหวาน ๆ กันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอคะ ?  ”
แม่เขาบอกว่า  “  ตอนที่เตรียมจัดงาน . . บุนมาบอกม๊าว่า ถ้าหนูมางานของเค้า เค้าจะเปิดเพลงนี้
เค้าเอามาเปิดให้ป๊ากับม๊าฟังหลายรอบ แต่ม๊าฟังไม่เข้าใจหรอก
เค้าบอกว่า ถ้าหนูมางานนี้ เค้าจะพาหนูมานั่งกับม๊า แล้วให้ม๊าบอกกับหนูว่า
‘ความรักของเค้าไม่เคยหายไปไหน . . มันแค่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ลึก ๆ ข้างในหัวใจ ’
หนูเข้าใจที่ม๊าพูดมั้ยลูก
  ”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่