อยากจะเอาประสบการณ์ต่างแดนที่เจอกับตัวเองมาเล่าให้ฟังนะคะ เวลาใครเจอเหตุการณ์อะไรจะได้วางแผนได้ถูก (พอดีเห็นกระทู้จะเอาเครื่องซ๊อตไฟฟ้าขึ้นเครื่องบินแล้วเป็นห่วง กลัวจะกลายเป็นโดนข้อหาพกพาอาวุธในที่สาธารณะ หรือข้อหาทำร้ายร่างกายไปแทน)
เหตุการณ์นี้เกิดได้ 2 ปีแล้วค่ะ ดิฉันโดนจับหน้าอกที่บริเวณทางเข้า casino ตรงโรงแรม festive ซึ่งที่นี่คนเยอะค่ะ แต่จะไม่ขอเล่ารายะเอียดนะคะว่าเรื่องเป็นมายังไง เอาเป็นว่าพอโดนจับหน้าอก คนร้ายก็วิ่งหนีเพราะดิฉันร้องตะโกนซึ่งตอนนั้นที่คว้ามือคนร้ายเอาไว้ด้วย แต่คนร้ายแรงเยอะสลัดออกแล้ววิ่งหนี
1. สิ่งแรกที่ดิฉันทำหลังจากที่คนร้ายวิ่งหนี คือ รีบไปแจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ซึ่งเจ้าหน้าที่ตรงนั้น ก็ดำเนินการแจ้งต่อเป็นทอดๆ รวมไปถึงแจ้งตำรวจให้ด้วย
- นี่คือสิ่งที่ควรทำค่ะ เมื่อเกิดเหตุมองหาเจ้าหน้าที่โดยด่วน จะเป็นเจ้าหน้าที่อะไรก็ได้ แต่ให้เขาช่วยประสานงานให้ค่ะ
2. ก่อนหน้าที่ตำรวจจะมาถึง ซึ่งก็เพียงประมาณ 20-30 นาที (จำไม่ได้ค่ะ รู้แต่ว่ามาเร็วอ่ะ) คนร้ายก็ถูกตามจับได้โดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสถานที่นั้น
- นี่คือข้อดีของการแจ้งเจ้าหน้าที่แถวนั้นค่ะ เพราะจะได้ช่วยเราจับคนร้าย และเจ้าหน้าที่จะเป็นพยานให้เราได้ด้วย แต่โชคดีที่เหตุของเราเกิดในสถานที่ปิด จึงมีกล้องวงจรปิดอยู่แล้ว
3. หลังจากที่ตำรวจมา เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานก็มาค่ะ มาเพื่อเก็บลายนิ้วมือแฝงของคนร้าย ตอนนั้นเราต้องเปลี่ยนเสื้อเพื่อให้เจ้าหน้าที่เอาน้ำยามาทาบนเสื้อและกระเป๋าสะพายของเราเพื่อลอกลายนิ้วมือแฝงค่ะ เชื่อมั๊ยคะเคสของดิฉันเนี่ย มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาในเหตุการณ์ถึง 13 คนค่ะ แล้วยังมีเจ้าหน้าที่ที่มาเก็บรอยนิ้วมืออีก 3 คนค่ะ)
- สิ่งที่ห้ามพลาด คือ อย่าทำลายหลักฐานโดยรู้เท่าไม่ถึงการร์ค่ะ เช่น สู้กับคนร้ายได้เลือด มีแผล แล้วไปล้างมือ อย่างนี้ไม่ดีค่ะ ต้องรอตำรวจมาก่อนค่ะ อีกอย่างที่ดิฉันสัมผัสได้คือ ถ้าในประเทศนั้น มีเหตุการณ์นักท่องเที่ยวโดนทำร้าย ตำรวจจะขนกันมาเพียบค่ะ
4. พอดีวันเกิดเหตุ เป็นวันที่ดิฉันจะเดินทางกลับพอดี จึงได้แค่ให้ปากคำในที่เกิดเหตุ และนัดหมายเพิ่มเติมกับตำรวจทาง e-mail แทน
- อย่าลืมขอนามบัตรตำรวจ เลขที่คดี สำเนาการให้ปากคำ และที่สำคัญอย่าลืมสอบถามขั้นตอนหลังจากนี้ ว่าทางตำรวจจะดำเนินการอย่างไร แล้วเราจะต้องทำอะไรต่อไป (ตำรวจถามว่าดิฉํนมีอาชีพเป็นทนายหรือเปล่า ถึงรู้ว่าควรจะขอข้อมูลอะไรจากตำรวจบ้าง ดังนั้นขอไปเลยค่ะ เพราะอย่าไปหวังว่าจะขอข้อมูลได้ภายหลัง เพราะมันจะเริ่มเกี่ยวข้องกับรูปคดี)
- ทางเจ้าของสถานที่และตำรวจดูแลเราอย่างดีค่ะ จะพานั่งรถมาส่งสนามบิน จะซื้อของที่ระลึกกับขนมให้ แต่เราไม่เอา เพราะไม่จำเป็นนี่เนอะ
5. หลังจากนั้นดิฉันก็ติดต่อคุยกับ ตำรวจทาง e-mail ตลอด
- พยายามติดตามความคืบหน้าอย่างน้อยเดือนละครั้ง เพื่อเป็นการบอกให้รู้ว่าเราต้องการที่จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ไม่ได้แค่แจ้งความแล้วลืม และจดหมายที่คุยทุกฉบับ ต้องใช้วิธี reply เก็บข้อความเดิมไว้ทั้งหมด และทุกครั้งที่ดิฉัน CC e-mail ตำรวจจะลบคนใน cc ออก จุดนี้ดิฉันไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร ดังนั้นเวลาคุยกับตำรวจก็แจ้งไปเลยค่ะ ว่าจะขอ cc ใคร
6. .ในระหว่างคดี ต้องเข้าใจว่าตำรวจจะมีหน้าที่เป็นแค่คนประสานงาน ถ้าคุณอยากได้อะไรให้บอก เพราะตำรวจจะไม่แนะนำ เช่น ถ้าอยากได้จดหมายขอโทษ อยากได้เงินค่าเสียหาย อยากให้มันเข้าคุก คุณต้องแจ้งไปค่ะ
- ในระหว่างนี้ให้หาตัวอย่างคดีที่เคยพิพากษาของประเทศนั้นๆ มาอ่าน เพื่อที่จะได้ทราบวิธีการทางคดี ตอนนั้นเราหาทั้งตัวบทกฏหมาย มาตราต่างๆ ตัวอย่างคดี และเรายังไปอัยการต่างประเทศเพื่อขอทราบขั้นตอนทางคดี (แต่ประเทศไทยก็เหมือนเดิม ไปแล้วไม่มีอะไร ไม่สามารถช่วยเหลือข้อมูลอะไรได้ ทั้งๆ ที่เราแค่อยากจะรู้ว่าขั้นตอนการฟ้องเป็นยังไง)
7. ทางอัยการของประเทศนั้นจะทำหน้าที่เป็นโจทย์ ยื่นฟ้องจำเลยผู้กระทำผิด ในขณะที่เราจะเป็นแค่พยานของตำรวจค่ะ
- ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เราไม่ต้องเสียค่าทนาย และก็จะดีตรงที่เราสามารถขอให้ทางตำรวจหรืออัยการรับผิดชอบค่าเดินทางหรือค่าที่พักได้ (อันนี้อัยการต่างประเทศของไทยที่เราไปหาบอกเรามา เพราะถือว่าเราไปเป็นพยานให้กับรัฐ แต่พอเราเมลไปถามตำรวจเจ้าของคดี แกบอกไม่ได้ เลยคิดว่าคงขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศค่ะ)
8. ก่อนการเดินทาง เตรียมหาคำศัพท์ที่เกี่ยวกับกฏหมายให้พร้อม เพราะเวลาอยู่หน้าบัลลังค์ศาล ศาลจะถามคุณ บางครั้งจะมีล่ามให้ แต่อย่าลืมนะคะว่าคำศัพท์เกี่ยวกับกฏหมายมันลึกซึ้ง ผู้ต้องหา จำเลย ผู้กระทำผิด ผู้ต้องสงสัย แค่คำพวกนี้ก็หลากหลายแล้ว
- วันขึ้นศาล เราพาสามีไปด้วย เพราะภาษาดีกว่า จะได้ช่วยเป็นล่ามได้ แต่ผลสุดท้าย สามีต้องมาคอยนอกห้องพิพากษา เพราะถือว่าเป็นบุคคลที่ไม่เกี่ยวกับคดี (เสียค่าเครื่องบินฟรี เซ็ง)
9. ศาลที่เราไปนั้น อยู่ที่ china town ค่ะ ติดถนนเลย ห้องพิจารณาใหญ่มาก น่าจะเกือบๆ 100 ตรว ผู้พิพากษาจะใส่วิกแบบฝรั่งเศสค่ะ อัยการและเจ้าหน้าที่ คณะลูกขุนอีกฝ่ายละเกือบ 10 คน ตำรวจเพียบ นักโทษในชุดคุมขังใส่โซ่เพียบ ซึ่งปกติแล้วศาลจะไม่พิจารณาคดีเดียว
- เพราะฉะนั้น เตรียมตัว เตรียมเอกสารให้พร้อม เพราะคุณจะไม่รู้เลยว่าคดีของคุณจะอยู่ลำดับที่เท่าไหร่ อย่าไปเลท
10. สุดท้าย เราได้รับจดหมายขอโทษ เราได้รับเงินชดเชย 2,500 เหรียญ ตีเป็นเงินไทยก็ 6 หมื่นกว่าบาท (จริงๆ จากคำตัดสินในคดีใกล้เคียงที่ดิฉันค้นเจอ พบว่าค่าปรับขั้นต่ำ 4,000 เหรียญ ซึ่งคดีดิฉันน่าจะได้ค่าเสียหายชดเชยประมาณ 5-6,000 เหรียญ แต่ดิฉันไม่อยากได้เงิน อยากให้มันเข้าคุก อิอิ และอยากให้มีคดีแบบนี้บันทึกเอาไว้ เวลาใครโดนแบบดิฉันจะได้หาข้อมูลได้ เพราะตอนกรณีดิฉันนั้นหาข้อมูลแทบไม่ได้เลย มีใกล้เคียงบ้าง แต่ส่วนใหญ่ไม่มีแบบผิดเต็มๆ อย่างไอ้คนนี้ อีกอย่าง มันก็ล่วงเลยมานาน เลยเริ่มเหนื่อย เราเลยขอแค่ให้เขารับผิดชอบค่าเครื่องบินและที่พักก็พอ สงสารด้วยเงินไม่ใช่น้อยๆ)
สุดท้าย อยากจะบอกทุกคนว่า ทุกๆ ที่ที่เราไป มันมีความเสี่ยงหมด แม้กระทั่งสิงคโปร์ ประเทศที่แทบจะไม่มีคดีอาญาแบบนี้เลย ดังนั้น เราต้องเตรียมการเอาไว้ค่ะ ว่าเวลาเกิดเหตุแบบนี้เราจะทำอยางไร ที่สำคัญอย่าลืมว่ากฏหมายประเทศอื่นเคร่งครัดกว่าเรา อย่าไปพกอาวุธ ถึงแม้จะเป็นแค่ของชิ้นเล็กๆ
ปล เราไม่ได้ติดต่อสถานฑูตค่ะ เพราะรู้ว่ามันช้า ไร้สาระ และเห็นว่าไม่มีประโยชน์เท่ากับติดต่อตำรวจและเดินเรื่องเอง
ประสบการณ์โดนจับหน้าอกที่ sentosa สิงคโปร์...จนเรื่องขึ้นศาล
เหตุการณ์นี้เกิดได้ 2 ปีแล้วค่ะ ดิฉันโดนจับหน้าอกที่บริเวณทางเข้า casino ตรงโรงแรม festive ซึ่งที่นี่คนเยอะค่ะ แต่จะไม่ขอเล่ารายะเอียดนะคะว่าเรื่องเป็นมายังไง เอาเป็นว่าพอโดนจับหน้าอก คนร้ายก็วิ่งหนีเพราะดิฉันร้องตะโกนซึ่งตอนนั้นที่คว้ามือคนร้ายเอาไว้ด้วย แต่คนร้ายแรงเยอะสลัดออกแล้ววิ่งหนี
1. สิ่งแรกที่ดิฉันทำหลังจากที่คนร้ายวิ่งหนี คือ รีบไปแจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ซึ่งเจ้าหน้าที่ตรงนั้น ก็ดำเนินการแจ้งต่อเป็นทอดๆ รวมไปถึงแจ้งตำรวจให้ด้วย
- นี่คือสิ่งที่ควรทำค่ะ เมื่อเกิดเหตุมองหาเจ้าหน้าที่โดยด่วน จะเป็นเจ้าหน้าที่อะไรก็ได้ แต่ให้เขาช่วยประสานงานให้ค่ะ
2. ก่อนหน้าที่ตำรวจจะมาถึง ซึ่งก็เพียงประมาณ 20-30 นาที (จำไม่ได้ค่ะ รู้แต่ว่ามาเร็วอ่ะ) คนร้ายก็ถูกตามจับได้โดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสถานที่นั้น
- นี่คือข้อดีของการแจ้งเจ้าหน้าที่แถวนั้นค่ะ เพราะจะได้ช่วยเราจับคนร้าย และเจ้าหน้าที่จะเป็นพยานให้เราได้ด้วย แต่โชคดีที่เหตุของเราเกิดในสถานที่ปิด จึงมีกล้องวงจรปิดอยู่แล้ว
3. หลังจากที่ตำรวจมา เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานก็มาค่ะ มาเพื่อเก็บลายนิ้วมือแฝงของคนร้าย ตอนนั้นเราต้องเปลี่ยนเสื้อเพื่อให้เจ้าหน้าที่เอาน้ำยามาทาบนเสื้อและกระเป๋าสะพายของเราเพื่อลอกลายนิ้วมือแฝงค่ะ เชื่อมั๊ยคะเคสของดิฉันเนี่ย มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาในเหตุการณ์ถึง 13 คนค่ะ แล้วยังมีเจ้าหน้าที่ที่มาเก็บรอยนิ้วมืออีก 3 คนค่ะ)
- สิ่งที่ห้ามพลาด คือ อย่าทำลายหลักฐานโดยรู้เท่าไม่ถึงการร์ค่ะ เช่น สู้กับคนร้ายได้เลือด มีแผล แล้วไปล้างมือ อย่างนี้ไม่ดีค่ะ ต้องรอตำรวจมาก่อนค่ะ อีกอย่างที่ดิฉันสัมผัสได้คือ ถ้าในประเทศนั้น มีเหตุการณ์นักท่องเที่ยวโดนทำร้าย ตำรวจจะขนกันมาเพียบค่ะ
4. พอดีวันเกิดเหตุ เป็นวันที่ดิฉันจะเดินทางกลับพอดี จึงได้แค่ให้ปากคำในที่เกิดเหตุ และนัดหมายเพิ่มเติมกับตำรวจทาง e-mail แทน
- อย่าลืมขอนามบัตรตำรวจ เลขที่คดี สำเนาการให้ปากคำ และที่สำคัญอย่าลืมสอบถามขั้นตอนหลังจากนี้ ว่าทางตำรวจจะดำเนินการอย่างไร แล้วเราจะต้องทำอะไรต่อไป (ตำรวจถามว่าดิฉํนมีอาชีพเป็นทนายหรือเปล่า ถึงรู้ว่าควรจะขอข้อมูลอะไรจากตำรวจบ้าง ดังนั้นขอไปเลยค่ะ เพราะอย่าไปหวังว่าจะขอข้อมูลได้ภายหลัง เพราะมันจะเริ่มเกี่ยวข้องกับรูปคดี)
- ทางเจ้าของสถานที่และตำรวจดูแลเราอย่างดีค่ะ จะพานั่งรถมาส่งสนามบิน จะซื้อของที่ระลึกกับขนมให้ แต่เราไม่เอา เพราะไม่จำเป็นนี่เนอะ
5. หลังจากนั้นดิฉันก็ติดต่อคุยกับ ตำรวจทาง e-mail ตลอด
- พยายามติดตามความคืบหน้าอย่างน้อยเดือนละครั้ง เพื่อเป็นการบอกให้รู้ว่าเราต้องการที่จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ไม่ได้แค่แจ้งความแล้วลืม และจดหมายที่คุยทุกฉบับ ต้องใช้วิธี reply เก็บข้อความเดิมไว้ทั้งหมด และทุกครั้งที่ดิฉัน CC e-mail ตำรวจจะลบคนใน cc ออก จุดนี้ดิฉันไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร ดังนั้นเวลาคุยกับตำรวจก็แจ้งไปเลยค่ะ ว่าจะขอ cc ใคร
6. .ในระหว่างคดี ต้องเข้าใจว่าตำรวจจะมีหน้าที่เป็นแค่คนประสานงาน ถ้าคุณอยากได้อะไรให้บอก เพราะตำรวจจะไม่แนะนำ เช่น ถ้าอยากได้จดหมายขอโทษ อยากได้เงินค่าเสียหาย อยากให้มันเข้าคุก คุณต้องแจ้งไปค่ะ
- ในระหว่างนี้ให้หาตัวอย่างคดีที่เคยพิพากษาของประเทศนั้นๆ มาอ่าน เพื่อที่จะได้ทราบวิธีการทางคดี ตอนนั้นเราหาทั้งตัวบทกฏหมาย มาตราต่างๆ ตัวอย่างคดี และเรายังไปอัยการต่างประเทศเพื่อขอทราบขั้นตอนทางคดี (แต่ประเทศไทยก็เหมือนเดิม ไปแล้วไม่มีอะไร ไม่สามารถช่วยเหลือข้อมูลอะไรได้ ทั้งๆ ที่เราแค่อยากจะรู้ว่าขั้นตอนการฟ้องเป็นยังไง)
7. ทางอัยการของประเทศนั้นจะทำหน้าที่เป็นโจทย์ ยื่นฟ้องจำเลยผู้กระทำผิด ในขณะที่เราจะเป็นแค่พยานของตำรวจค่ะ
- ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เราไม่ต้องเสียค่าทนาย และก็จะดีตรงที่เราสามารถขอให้ทางตำรวจหรืออัยการรับผิดชอบค่าเดินทางหรือค่าที่พักได้ (อันนี้อัยการต่างประเทศของไทยที่เราไปหาบอกเรามา เพราะถือว่าเราไปเป็นพยานให้กับรัฐ แต่พอเราเมลไปถามตำรวจเจ้าของคดี แกบอกไม่ได้ เลยคิดว่าคงขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศค่ะ)
8. ก่อนการเดินทาง เตรียมหาคำศัพท์ที่เกี่ยวกับกฏหมายให้พร้อม เพราะเวลาอยู่หน้าบัลลังค์ศาล ศาลจะถามคุณ บางครั้งจะมีล่ามให้ แต่อย่าลืมนะคะว่าคำศัพท์เกี่ยวกับกฏหมายมันลึกซึ้ง ผู้ต้องหา จำเลย ผู้กระทำผิด ผู้ต้องสงสัย แค่คำพวกนี้ก็หลากหลายแล้ว
- วันขึ้นศาล เราพาสามีไปด้วย เพราะภาษาดีกว่า จะได้ช่วยเป็นล่ามได้ แต่ผลสุดท้าย สามีต้องมาคอยนอกห้องพิพากษา เพราะถือว่าเป็นบุคคลที่ไม่เกี่ยวกับคดี (เสียค่าเครื่องบินฟรี เซ็ง)
9. ศาลที่เราไปนั้น อยู่ที่ china town ค่ะ ติดถนนเลย ห้องพิจารณาใหญ่มาก น่าจะเกือบๆ 100 ตรว ผู้พิพากษาจะใส่วิกแบบฝรั่งเศสค่ะ อัยการและเจ้าหน้าที่ คณะลูกขุนอีกฝ่ายละเกือบ 10 คน ตำรวจเพียบ นักโทษในชุดคุมขังใส่โซ่เพียบ ซึ่งปกติแล้วศาลจะไม่พิจารณาคดีเดียว
- เพราะฉะนั้น เตรียมตัว เตรียมเอกสารให้พร้อม เพราะคุณจะไม่รู้เลยว่าคดีของคุณจะอยู่ลำดับที่เท่าไหร่ อย่าไปเลท
10. สุดท้าย เราได้รับจดหมายขอโทษ เราได้รับเงินชดเชย 2,500 เหรียญ ตีเป็นเงินไทยก็ 6 หมื่นกว่าบาท (จริงๆ จากคำตัดสินในคดีใกล้เคียงที่ดิฉันค้นเจอ พบว่าค่าปรับขั้นต่ำ 4,000 เหรียญ ซึ่งคดีดิฉันน่าจะได้ค่าเสียหายชดเชยประมาณ 5-6,000 เหรียญ แต่ดิฉันไม่อยากได้เงิน อยากให้มันเข้าคุก อิอิ และอยากให้มีคดีแบบนี้บันทึกเอาไว้ เวลาใครโดนแบบดิฉันจะได้หาข้อมูลได้ เพราะตอนกรณีดิฉันนั้นหาข้อมูลแทบไม่ได้เลย มีใกล้เคียงบ้าง แต่ส่วนใหญ่ไม่มีแบบผิดเต็มๆ อย่างไอ้คนนี้ อีกอย่าง มันก็ล่วงเลยมานาน เลยเริ่มเหนื่อย เราเลยขอแค่ให้เขารับผิดชอบค่าเครื่องบินและที่พักก็พอ สงสารด้วยเงินไม่ใช่น้อยๆ)
สุดท้าย อยากจะบอกทุกคนว่า ทุกๆ ที่ที่เราไป มันมีความเสี่ยงหมด แม้กระทั่งสิงคโปร์ ประเทศที่แทบจะไม่มีคดีอาญาแบบนี้เลย ดังนั้น เราต้องเตรียมการเอาไว้ค่ะ ว่าเวลาเกิดเหตุแบบนี้เราจะทำอยางไร ที่สำคัญอย่าลืมว่ากฏหมายประเทศอื่นเคร่งครัดกว่าเรา อย่าไปพกอาวุธ ถึงแม้จะเป็นแค่ของชิ้นเล็กๆ
ปล เราไม่ได้ติดต่อสถานฑูตค่ะ เพราะรู้ว่ามันช้า ไร้สาระ และเห็นว่าไม่มีประโยชน์เท่ากับติดต่อตำรวจและเดินเรื่องเอง