ลมหายใจแห่งรัก .. ๑

กระทู้สนทนา
ขอน้อมเรียนเพื่อนๆห้องถนนนักเขียนด้วยความเคารพค่ะ

เกสรผกาเพิ่งลองเขียนเรื่องสั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก
โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเพื่อนๆหลายคนในที่นี้

เรื่องสั้นเรื่องนี้ ไม่ได้เขียนจากชีวิตจริงของตัวเองแต่อย่างใด
เขียนจากจินตนาการของตัวเองค่ะ

ขออภัยทุกท่านนะคะที่ดำเนินเรื่องด้วยตัวเอง.. เป็นนางเอกซะเอง..
คงเป็นได้ก็เฉพาะในเรื่องนี้น่ะค่ะ


รอรับคำติชมจากเพื่อนๆทุกคนอยู่นะคะ








                    เสียงฟ้าคำรามครืนครั่นบวกกับสายฝนที่ยังโปรยปรายไม่ขาดสาย ทำให้'ฉัน'ไม่กล้าเรียกพนักงานบริการเพื่อเช็กบิลล์ ม็อคค่าร้อนหมดแก้วไปเมื่อสิบนาทีก่อน ส่วนเค้กบลูเบอรี่สไลด์หนึ่งชิ้นเพิ่งหมดเมื่อสองถึงสามนาทีที่แล้ว ร้านกาแฟเล็กๆคุ้นเคยร้านนี้แม้จะมีเพียงไม่กี่โต๊ะ แต่ก็มีลูกค้าจับจองกันอยู่เกือบทุกโต๊ะ บ้างก็คงจะอาศัยหลบฝนด้วยการใส่ใจอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์มือถือไปพลางๆ บ้างก็คงจะนั่งรอเวลานัดหมาย บ้างก็คงใช้เป็นที่นัดพบเจอะเจอกัน ตามแต่เหตุของแต่ละคน แต่ที่ถูกใจฉันมาก คือเสียงสนทนาอันเงียบแผ่วจากลูกค้าหมดทุกโต๊ะ

                    ผนังกระจกใสร้านกาแฟ ทำให้ฉันมองทะลุออกไปเห็นภาพเจนตาของผู้คนที่ยืนหลบฝนรอรถเมล์ริมฟุตบาท หลายคนดูกระสับกระส่าย หลายคนดูนิ่งเงียบเฉยเมย รถเมล์ปรับอากาศจอดและผ่านไปแล้วหลายคัน แต่หลายคนยังยืนอยู่กับที่ .. ที่เดิม .. ท่าทางเดิมๆ .. สีหน้าเดิมๆมิเปลี่ยนแปลง

               "คุณครับ..  โปสการ์ดครับ"ฉันรีบปิดกระเป๋าสะพายบนตัก ทั้งๆที่มืออีกข้างยังติดอยู่ข้างใน

                    พนักงานหนุ่มคุ้นหน้ายื่นกระดาษแข็งสีครีมขอบชมพูมาให้ ฉันมองหน้าเขาที มองสิ่งของในมือของเขาทีก่อนที่จะเอ่ยคำขอบคุณสั้นๆพร้อมกับรับโปสการ์ดใบนั้นมาถือค้างริมขอบโต๊ะ หนุ่มเสื้อเชื้ตสีขาวผูกหูกระต่ายสีน้ำตาลหันกลับและเดินออกไป นั่นเองที่ทำให้ฉันได้สติกลับมา มือที่ค้างอยู่ในกระเป๋าค่อยๆหยิบกระดาษสีน้ำตาลอ่อนอีกแผ่นออกมาดู ข้อความที่เขียนด้วยลายมือนุ่มนวลข้างๆภาพดอกไม้สีน้ำนั้น ถึงแม้สายตาจะยังมองไม่เห็นตัวอักษร แต่ฉันก็จดจำประโยคนั้นได้ติดตา

               ' ขอโทษนะครับ.. หากล่วงเกินเวลาส่วนตัวของคุณ  แค่อยากบอกว่า  ทานให้อร่อยนะครับ  '

                    ฉันประกบโปสการ์ดใหม่ทับแผ่นเก่า ขนาดขอบของทั้งสองเท่ากันอย่างพอดี หัวใจเริ่มเต้นตึกตัก

               ' วันนี้คงอร่อยนะครับ  ช่วงนี้ฟ้าฝนไม่ค่อยปกติ อย่าลืมร่มติดตัวนะครับ  '

                    ลายมือเดิม ข้อความที่ทักทายก็แนวเดิม ภาพสีน้ำก็เป็นดอกลีลาวดีสีขาวเหมือนเดิมแต่ดอกเยอะขึ้น ฉันหันมองไปทั่วร้าน ไม่มีวี่แววของใครคนไหนมีพิรุธ พนักงานที่นำโปสการ์ดใบใหม่มาให้ก็ไม่รู้หายไปไหนทั้งๆที่มีกันแค่ผู้ชายสองคนกับผู้หญิงอีกหนึ่งคน ฉันเห็นพนักงานผู้หญิงมองมาจึงรีบยกมือส่งสัญญาณให้เธอ รอยยิ้มเปี่ยมด้วยมิตรภาพ ถูกส่งโปรยมาก่อน ในขณะที่เจ้าของรอยยิ้มกำลังเดินมายังโต๊ะที่ฉันนั่ง

               " รับอะไรเพิ่มมั๊ยคะ? "เธอถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ

               " อ๋อ.. ไม่ล่ะจ้ะ  แค่อยากถามอะไรหน่อยน่ะค่ะ "

               " ....... "

               " พนักงานผู้ชายคนตัวสูงไปไหนแล้วคะ? "ฉันยิ้มให้เธอ

               " อ๋อ นายต้นเหรอคะ? คงอยู่หลังร้านค่ะ จะให้ไปตามให้มั๊ยคะ? "

                    ฉันพยักหน้าพร้อมกับเอ่ยขอบคุณในน้ำใจของเธอ รอยยิ้มพิมพ์ใจถูกโปรยมาให้อีกรอบก่อนที่ร่างสมส่วนในชุดเสื้อสีขาวกระโปรงสีน้ำตาลจะหันกลับไปยกถาดแก้วกาแฟอีกโต๊ะหนึ่ง แล้วเดินหายลับไปทางหลังร้าน

                    เหลือบตามองข้อความในกระดาษสีครีมนวลอีกครั้ง ความรู้สึกแรกที่ตั้งสติได้คือความงุนงงเป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกที่ได้ใบสีน้ำตาลอ่อนมาก็แค่เฉยๆ ด้วยเพราะไม่รู้ใครเป็นคนเขียนและส่งมาให้ หลังจากนั้นก็ลืมไปจากความทรงจำแล้วด้วย เพิ่งนึกถึงเมื่อสักครู่ จึงได้แต่ควาญมือลงไปสำรวจในกระเป๋าแค่นั้นเอง โปสการ์ดใบใหม่นี่สิ .. ความรู้สึกไม่ค่อยดีชักกระตุ้นเตือนความหงุดหงิดเข้าให้แล้ว นี่ใครกันที่ทำเป็นเล่นตลกอย่างนี้ .. เห็นเราเป็นที่ระบายอารมณ์ไร้สาระรึไง? .. ถึงข้อความจะทักทายด้วยความสุภาพก็ตามทีเถอะ แต่ไม่น่าที่จะต้องมาทำกันแบบนี้นี่นา ..

                    แต่..

                    ความรู้สึกอีกด้านหนึ่งกลับแย้งขึ้นมาเสียงดังแว่ว.. เจ้าของโปสการ์ดปริศนานี้ก็ไม่ได้คุกคามอะไรเเธอนี่นา.. เขาอาจจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ถ้าเขาแค่อยากรู้จักเป็นเพื่อน ก็ไม่เห็นเป็นเรื่องผิดปกติอะไรนี่นา.. ตอนนี้เขาเสียมารยาทแค่เพียงเพราะทำตัวหลบอยู่หลังม่านก็เท่านั้นเอง .. จริงมั๊ยล่ะเธอ? ..

               " มีอะไรหรือครับ? "

                    ฉันหันกลับไปตามเสียงทักทาย เจ้าของเสื้อเชิ้ตขาวผูกหูกระต่ายสีน้ำตาลยืนนิ่งอยู่ข้างๆ  หน้าตาเขาก็ดูดี ไม่มีวี่แววของความเจ้าเล่ห์หรือแม้กระทั่งวี่แววของความเป็นคนขี้เล่นใดๆปรากฎให้เห็น

               " เอ่อ.. ขอรบกวนเวลาแค่นิดหน่อยนะ "ฉันสบตากับเขา" ครั้งแรกคุณก็เป็นคนนำมาให้ ครั้งนี้ก็คุณอีก คุณเป็นเจ้าของโปสการ์ดนี่หรือเปล่า? "

               " เปล่าครับ ! "น้ำเสียงนั้น หนักแน่นชัดเจน

               " งั้นใครกันที่ฝากคุณนำมาให้ฉัน? "

                    แววตาจริงจังของเขา เริ่มทำให้ฉันรู้สึกประหม่าขึ้นมาเหมือนกัน

               " ผมเองก็ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวหรอกครับ เขาเป็นลูกค้าประจำที่นี่ วันนี้มาเมื่อตอนเช้าแล้วก็ฝากโปสการ์ดไว้กับผม "

                    รู้ข้อมูลสองเรื่องโดยอัตโนมัติแล้ว 'เขา'เป็นผู้ชาย แล้วก็เป็นลูกค้าประจำคนหนึ่ง ฉันขยับจะสอบถามข้อมูลอื่นๆต่อ แต่ยั้งใจไว้ได้ทัน .. ยิ่งไปต่อความยาวอย่างนั้น .. มันยิ่งเข้าทางเขาน่ะสิ .. ตอนนี้ทำได้แค่มองสบตากับคนร่างสูงโปร่งอีกครั้ง เขาเองก็มองมาด้วยแววตาเฉยเมย

               " หากเขาทำให้คุณอึดอัดใจหรือไม่สบายใจอะไร  บอกผมได้นะครับ ผมจะได้ส่งต่อไปถึงเขา แล้วจะกลับมารายงานคุณอีกที "

               " อ๋อไม่เป็นไรค่ะ "ฉันรีบพูดแทรก" แล้วก็ไม่ต้องยุ่งยากอะไรอีกแล้วล่ะ เพราะฉันไม่รู้จะได้มาที่นี่อีกไหม? คุณอาจจะไม่ได้รายงานอะไรฉันแล้วล่ะ   เอ่อ .. งั้นช่วยเช็กบิลล์ด้วยนะคะ "

                    ดูเหมือนเขาจะทำท่าโค้งหน่อยๆก่อนที่จะจากไป ฉันเก็บโปสการ์ดสองใบนั้นใส่ในกระเป๋า เหม่อมองออกไปทางป้ายรถเมล์นอกร้าน ฝนเริ่มซาเม็ดลงแล้วแต่ก็ยังไม่ขาดสายเช่นเดิม ผู้คนที่ยืนรอรถเมล์บางคนยังอยู่ที่เดิม ฉันยังจำสีหน้าท่าทางและชุดที่สวมใส่ได้ ที่สำคัญ ฉันยังจดจำสีหน้าเฉยเมยนั้นได้เป็นอย่างดี  ฉันไม่รู้จักพวกเขาเหล่านั้น .. ไม่รู้จักผู้คนในร้านกาแฟแห่งนี้ .. ไม่รู้จักพนักงานคนใด .. ไม่รู้จักคนที่ส่งโปสการ์ดสองใบมาให้ด้วย

                    .. จะสำคัญอะไรกันนักหนา กับสิ่งที่ผ่านตา .. ผ่านห้วงเวลาของชีวิตแต่ละวันอีกวันหนึ่ง  ทุกสิ่งก็เป็นไปตามที่ทุกสิ่งเป็น .. ยังเดิมๆ  และเดิมๆ .. ก็แค่นั้นเอง ..



                                                    
*  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *





               " อ้าว.. แอม  ยังไม่พักทานข้าวกลางวันอีกเหรอ? "

                    เสียงทักของ'เกศ'เพื่อนร่วมงาน ทำให้ฉันวางมือจากแป้นคีย์บอร์ดตรงหน้า หันไปมองร่างบอบบางหุ่นนางแบบของเพื่อนด้วยรอยยิ้ม

               " คงไม่แล้วล่ะ เมื่อกี้จัดการกับพายไปสองชิ้น กาแฟแก้วนึงเรียบร้อยแล้ว "

                    เสียงถอนหายใจหนักหน่วงของเกศทำให้ฉันต้องมองสบตา

               " แม่เจ้าประคุณเอ๋ย  นั่นมันไม่ใช่มื้อกลางวันนะจ๊ะ เขาเรียกมื้อเบรคบ่ายนะนั่น นี่ขอถามหน่อยเถอะนะ วันๆนึงเนี่ยแอมดื่มกาแฟกี่แก้ว? "

                    ฉันกางนิ้วแทนคำตอบ แค่นั้นล่ะ เพิ่อนสาวร่างเพรียวก็มีอันต้องตกใจเป็นเรื่องเป็นราว ก่อนที่จะร่ายยาวไปเป็นเรื่องเป็นราวอีกเช่นกัน เกศจำแนกแจกแจงให้ฟังถึงโทษที่มากับคาเฟอีนเป็นข้อๆ ผลกระทบข้างเคียงอีกเป็นข้อๆ และยังเลยไปถึงการยกตัวอย่างให้เห็นกับตา โดยอ้างชื่อเป็นรายคนไปทีละคนทีละคน พนักงานบริษัทซึ่งอ้างถึงต่างก็มีอายุสูงแล้วทั้งนั้น อ้างเสร็จแล้วชี้แนะให้ลองสังเกตุดูอาการต่างๆนาๆของคนเหล่านั้น สุดท้ายก็มาสรุปลงที่ตรงหน้าว่า .. เห็นมั๊ยว่าเธอเริ่มมีวี่แววนี้แล้ว .. เห็นตรงนี้มั๊ย? .. ตรงนู้นอีก .. ผลข้างเคียงเริ่มออกอาการแบบนี้แล้ว .. เนี่ย .. เนี่ย .. รู้ตัวบ้างมั๊ย?  เฮ้อ .. ยัยแอมนะยัยแอม ..

                    ที่จริงน่าจะเป็นฉันมากกว่า ที่ต้องพูดว่า.. เฮ้อ .. ยัยเกศนะยัยเกศ ..

               " โอเคๆ งั้นเอาเป็นว่าต่อไปนี้จะค่อยๆลดลงแล้วล่ะ  เห็นข้อร้ายที่เธอแจกแจงมาให้ฟังแล้ว รู้สึกจะกลืนคาเฟอีนลำบากแล้วล่ะ "

                    แล้วเราสองคนก็หัวเราะด้วยกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่