เหตุผลที่ทำให้เราตัดสินใจ ไม่ซื้อของแบรนด์เนม

หลายวันก่อน เราไปเดินเซ็นทรัลกับพี่สาวมา เราเดินดูของไปเรื่อย ๆ ได้เสื้อผ้าติดมือมา แ่ต่ก็ยังไม่ใช่ตัวที่เล็งไว้ เรามองบิลลาบองไว้ค่ะ คิดว่าเงินเดือนออก จะไปซื้อ  จริงอยู่ว่ากางเกง กระโปรง เสื้อ ตัวหนึ่งราคาสองสามพัน ลงมาข้างล่างก็มีร้านขายมือถือ เล็ง 5C ไว้ด้วยเหมือนกัน ความจริงก็เพื่ออยากจะให้คนรู้ว่าเรามีเงินซื้อ ทั้งที่ไม่ได้ต้องการใช้ฟังก์ชันหรือแอพอะไรเลย  เป็นความอ่อนแอในใจเล็ก ๆ แต่เราเองก็คิดว่าไม่ได้ซื้อบ่อย ๆ เรามีกำลังซื้อพอ ตั้งใจว่า จะซื้อ เมื่อเงินเดือนออก แต่ก็มีบางอย่างทำให้เราสะดุด และเปลี่ยนใจ


วันนี้ เราหิ้วโน๊ตบุ๊คของเราไปซ่อมที่พันทิพย์ค่ะ ไปกับเพื่อนเรา ขากลับเราก็กลับคนเดียว และมีเงินติดตัวเหลืออีกไม่มาก เพราะหมดไปกับการซื้ออย่างอื่นด้วย จากที่เรานับ ประมาณร้อยกว่าบาท

บ้านเราอยู่แถวพรานนก เราคิดว่าจะนั่งรถสาย 40 มา แต่ก็รอนาน เลยตัดสินใจขึ้นรถเมล์สาย 15 มาลงสนามหลวง มาต่อรถเอา  พอลงสนามหลวง ข้ามถนนมาจะขึ้นอีกฝั่ง เราเห็นผู้หญิงคนนึง อายุประมาณสามสิบห้า ตัวเธอผอม ผมยาว ผิวคล้ำ ร่างโซ แต่ท่าทางยังไม่เหมือนคนขอทานนัก  น่าจะหลง หรืออะไรสักอย่าง เธอเดินมาข้าง ๆ กับกลุ่มน้อง ๆ วัยรุ่นผู้หญิงสามคน  ตาเราก็เริ่มเล็งแล้วว่าเธอต้องเข้ามาขออะไรแน่  ด้วยสัญชาตญาณ เลยจะขอเข้าำไปฟังใกล้ ๆ จึงแกล้งทำเป็นเดินไปรอรถหน้าพวกเค้า  แต่ก็ยังไม่ได้ยินอะไรชัดมาก  เราได้ยินแค่คำไม่กี่คำ "ช่วย........... ด้วย...... ค่ะ" ผู้หญิงคนนั้น พูดว่าช่วยอะไรสักอย่างด้วยค่ะ  เรายังอยากรู้ว่าเค้าำพูดอะไร  น้องผู้หญิงสามคนนั้นดูเหมือนกลัวหรือไม่อยากเข้าใกล้อะไรสักอย่าง แต่เราหันไปมองแล้วได้ยินอีกคำสองคำว่า "ปวดไปหมดแล้ว" แล้วพี่ผู้หญิงคนนั้นก็ทรุดลงกับพื้น แบมือให้น้อง ๆ สามคนนั้นดู  เราพยายามอ่านสิ่งที่พี่เค้าพยายามจะบอก  ไม่กล้าเข้าไปใกล้น้อง ๆ เค้ามาก อีกอย่างเรารู้ว่าเราเองมีไม่มาก  ครู่หนึ่งเห็นน้องสามคน ให้เงินพี่เค้ามา เรามองมือพี่ผู้หญิงคนนั้น เป็นเงินสิบห้าบาท  เราเลยสรุปสถานการณ์ว่า เอาล่ะ ยังไงพี่เค้าต้องการความช่วยเหลือเรื่องเงินแน่นอน  ถึงเราจะงง ๆ  ว่าเกี่ยวอะไรกับมือของเค้า  ทำไมเค้าต้องทรุดตัวลงมากับพื้น แบมือบอกว่าปวดไปหมดแล้ว และร้องไห้ เราไม่เข้าใจหรอก แต่อ่านเนือความจากน้อง ๆ สามคนนั้น  เค้าให้เงิน และพี่คนนั้นก็รับ แสดงว่าเราต้องช่วยเค้าได้บ้างน่า  ว่าแล้วเราก็เอาแบ๊งค์ห้าสิบใบเดียวที่เราหาเจอในกระเป๋า ยื่นให้พี่เค้า สายตาเราเห็นรถมาพอดี  พอยื่นให้  พี่เค้าก็รับ แล้วเราก็ไม่ได้หันไปมองอีกเลย


แน่นอนว่าเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ คงช่วยอะไรพี่เค้าไ้ด้บ้าง  เรายังไม่เข้าใจสถานการณ์  ไม่เข้าใจเนื้อหา  แต่แน่นอน ถ้ามาในสภาพอย่างนั้น สนามหลวง ร้องไห้ ตัวดำ ผอมโซ  คงไม่ใช่อกหัก คงไม่ใช่เดินเล่น คงไม่ใช่มาเที่ยว สภาพอย่างนั้นเห็นได้มาก  เราพอเข้าใจอยู่ ถ้าเดินสนามหลวงบ่อย ๆ จะพอรู้ว่าที่มาของคนเหล่านั้น หลายคนค่อนข้างเจ็บปวด  บางคนเป็นเด็กวัยรุ่น พอตำรวจส่งกลับบ้าน ก็ร้องไห้เลย  บางคนถูกหลอกไปขึ้นเรือตังเก กลับบ้านไม่ได้ ก็จากตรงนั้นเหมือนกัน  สถานที่ตรงนั้น  เป็นที่รวมของคนที่มีความเจ็บปวด จากบ้าน มาหางานทำ มาถูกหลอก มาเป็นคนเร่ร่อน  ไ่ม่มีใครเกิดมาแล้วเร่ร่อนเลย ทุกคนมีที่มา  เราจำได้ว่าเราเคยให้ข้าวจานเดียว กับคนที่นั่น สิ่งที่เราได้รับคือการกราบเท้า  เราจำได้ว่าเราได้รับคำอวยพร เพียงให้เงินแค่สี่สิบบาทกับลุงแก่ ๆ


กล่าวกันว่า เื่มื่อใดก็ตาม ที่มนุษย์เห็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความทรงจำ จะทำให้สติเกิดขึ้นมา  พอเราขึ้นรถเมล์มา  ภาพที่เราจับเสื้อบิลลาบอง ก็โผล่ขึ้นมาทันทีเหมือนในหนัง  มันแว๊บขึ้นมา  มาได้ถูกที่ถูกเวลามาก   มาเหมือนกับจะบอกเราว่า  เอาล่ะ  ถ้าเงินเดือนออก  เธอจะำทำอะไร

เธอจะซื้ออีกไหม  5S  5C ที่เธออยากได้  บิลลาบอง

คำตอบของเรา  เราเม้มปาก ตามองต่ำ คิ้วขมวดชนกัน พูดว่า

"ไม่"  "ไม่" "ไม่"

เราทำไม่ลงค่ะ  เรายอมใช้โทรศัพท์เก่า ๆ เครื่องนี้ต่อไป


ความสุขส่วนตัว ช่างปะไร  เรายังทำอะไรเพื่อคนอื่นได้ ของแบบนี้ไม่จำเป็น ไม่จำเป็น ไม่ดีกว่า
สั่งสมบุญไว้ สั่งสมความดีไว้ สร้างความหมายของชีวิต ความหมายของชีวิตเรา คุณค่าของเรา ไ่ม่ไ้ด้อยู่ที่เราได้อะไร แต่อยู่ที่เราได้ให้อะไีร ยังไงชีวิตนี้อะไรก็ไม่ใช่ของเราอยู่แล้ว ถ้าเราได้แบ่งอะไรให้คนอื่นบ้าง ก็เป็นทั้งบุญกุศลกับเรา และคนที่รับจากเรา ก็ได้ต่อชีวิตไปอีก  ป่านนี้เราไ่ม่รู้ว่าพี่ผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไงบ้าง แต่ที่ได้แน่ ๆ คือ เงินห้าสิบบาทนั้นต้องซื้อข้าวได้หนึ่งจาน  อย่างน้อย เราก็ได้ให้ีชีวิตเค้าด้วยข้าวอีกหนึ่งมื้อแน่นอน  เรารู้สึกดีที่เราได้ต่อชีวิตให้คนด้วยเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่มีความยิ่งใหญ่จริง ๆ กับคนหลาย ๆ คนที่ลำบาก คนต่างจังหวัด  และนี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทำให้เราตัดสินใจจะไม่ซื้อของแบรนด์ สุดท้ายเราก็กลับมาที่ความคิดเดิม ไม่ต้องล่ะดีละ โดนกระซิบอยากให้ไปอวดคนอื่นตั้งนาน ลืมไปเลยว่าเกิดมาต้องทำอะไร เงินทองเอาไว้ทำอะไร ได้สติแล้วค่ะ เราก็กลับมาเหมือนเดิม แต่งตัวแบบเดิม ใครจะมองเราใช้ของเชย ๆ เสื้อผ้าประตูน้ำ  

นั่นก็แล้วแต่เค้า ถ้าจิตใจเค้าคิดได้เท่านั้น ถ้าคนเราจะมองกันที่ตรงนั้นก็ช่างคน เงินที่เราไม่ใช้จ่ายส่วนที่ไม่จำเป็น ส่วนที่ต้องมาปรนเปรอความรู้สึกเราเอง เราสามารถเปลี่ยนเป็นความสุขในชีวิตคนอื่นได้ และ "Value" ของความรู้สึกตรงนั้น ก็มีค่ามากกว่า กระเป๋าใบละแสนเสียอีก ทรัพย์สินเงินทอง เป็นของไม่ยั่งยืน อย่างไรเราก็ต้องจากกับสิ่งเหล่านี้ไป  เราอยู่ สิ่งเหล่านี้ไปเอง หรือ สิ่งเหล่านี้อยู่ เราไปเอง ที่จะได้ครอบครองเป็นเจ้าของแท้จริงไม่ีมี  ทุกสิ่งในชีวิตเป็นของชั่วคราว แม้แต่ร่างกายของเราเอง  แต่ระหว่างที่มี เราจุนเจือเพื่อคนอื่นได้ นั่นเท่ากับว่า ค่าของตัวเรา มันได้ก้าวเลยออกจากวัตถุแล้ว ได้ก้าวเลยจากแบรนด์ อยู่เหนือแบรนด์ อยู่เหนือความหรูหรา เพราะเราจะได้สัมผัสสิ่งที่เรียกว่า "ประมาณค่ามิได้" จากการเป็นผู้ให้และเสียสละ


ชีวิตคนเรา หากมี ส่วนเกินให้แบ่งปัน ถ้าต้องแบ่งปันส่วนที่มี ที่ใช้ ก็เรียกว่าเสียสละ ยังไงก็เป็นเรื่องดี ดีกว่าปรนเปรอทุกอย่างให้ตนเอง แล้วสุดท้ายเพิ่งมารู้ว่าไม่ได้มีความสุขกับสิ่งที่มีเลย เพราะความอยากได้ เติมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม เหมือนทะเล ใส่น้ำเข้าไปเท่าไหร่ ก็ไม่เต็ม ๆ  อย่างไรแล้ว ภาษิตนี้ก็ยังใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย "สันตุษฐี ปรมัง ธะนัง" ความพอเป็นยอดของทรัพย์ "มีอะไรก็ไม่เท่ามีความพอ"

ปล. อาจจะมีคนมองว่า คนจนคือคนขี้เกียจ  สมัยที่เราเป็นนักศึกษา เราเคยลงศึกษาเรื่องปัญหาคนเร่ร่อนในเขตพระนคร บางคนมาหางานจากต่างจังหวัด เนื่องจากในพื้นที่แร้นแค้น แต่เมื่อมากรุงเทพแล้ว ก็ไม่รู้ทาง สุดท้าย หิวข้าว เงินหมด ต้องเดินขอความช่วยเหลือ ในที่สุด กลับบ้านไม่ได้ ก็ต้องคุ้ยขยะกิน นอนข้างทาง เค้าไม่ใช่คนขี้เกียจค่ะ เราสัมภาษณ์บางคนมาเองกับมือ  เค้าพยายามแล้ว  แต่มันถึงทางตัน

คุณเชื่อหรือไม่คะ เพื่อนของพี่สาวเรา  เรียนจบมหาวิทยาลัย ไปเป็นคนนอนข้างถนนประเทศญี่ปุ่น  เพราะคิดว่าจะไปหางานทำที่นั่นแต่สุดท้ายหาไม่ได้  เราอย่าตัดสินคนเพียงสถานะของเค้าค่ะ  ต้องดูว่าเค้าเจออะไรมา แล้วมองเป็นคนคนไป ช่วยได้ช่วย แต่ถ้าจะมองกวาดว่า คนที่เป็นลักษณะ A หรือลักษณะ B เป็นคนเลวหมด ไม่ช่วย เราต้องบอกว่าโลกกว้างกว่ามุมที่เราอยู่ค่ะ

ปล.3 ดีใจกับความคิดเดิม ๆ ที่กลับมา ที่จริงวันนี้เราก็เครียด ๆ เหมือนกันเรื่องงาน แต่พอรู้ว่าเรามีประโยชน์กับชีวิตคนอื่น ก็มีแรงใจที่จะทำต่อไปค่ะ ไปค้น ๆ กระทู้เก่า ๆ ขึ้นมา อยากให้เพื่อน ๆ ได้มีกำลังใจกันค่ะ

"สามทุ่ม ข้างทางรถไฟ"
http://pantip.com/topic/30618270

อ่านกระทู้ในลิ้งค์ข้างบนแล้ว ถ้าเพื่อน ๆ มีโอกาส เรามาทำแบบนี้กันนะคะ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


*** อัพเดทล่าสุด  เมื่อสักครู่นี้ค่ะ อยู่ ๆ ก็มีคนนำเงินมาให้เราฟรี ๆ เป็นค่าสินน้ำใจเรื่องบางอย่าง หนึ่งพันบาท ยื่นให้กับมือเลยค่ะ แต่เราไม่ได้รับไว้นะคะ เราคืนไป เป็นครั้งที่สองแล้ว ที่เราช่วยเหลือคนที่ลำบาก และวันต่อมาเราก็ได้รับบางอย่างใหญ่ ๆ มาแบบไม่ได้คาดหมาย เราเชื่อเรื่องสิ่งที่เราทำ จะย้อนกลับมาหาเราค่ะ แต่ครั้งนี้เร็วจัง ^^

- ท่าน ว.วชิรเมธีสอนว่า "ทรัพย์สินสิ่งของ ให้ใช้มุ่งประโยชน์ ไม่ใช่มุ่งประดับ"
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่