คุณเคยรอใครซักคนเป็นเวลานานๆมั้ยครับ....
...แล้วเคยเคยรอรถเมล์บางสาย ที่มันไม่มาซักที รอจนสายอื่นมันผ่านห้าหกคันแล้ว มั้นก็ยังไม่มา ......จำได้มั้ยครับว่าตอนนั้นคุณรู้สึกยังไง?
เอ้า แถมให้อีกหน่อย ในขณะที่คุณรอนั้น ไอ้โทรศัพท์สมาร์ทโฟน (จีนแดง?)ของคุณ แบตเจือกจะมาหมดตอนนี้อีก จะเอามาเล่นฆ่าเวลาก็ไม่ได้ ...คุณได้แต่ชะเง้อชะแง้คอยหาว่าเมื่อไหร่จะมาซักที สิบนาทีผ่านไป...
สิบห้า... ยี่สิบ... สามสิบ... สี่สิบ ว๊ากกกกก!!! ทนไม่ไหวแล้วว้อยยย...
..นับเป็นโชคของคุณ หรือ เคราะห์หามยามซวยของไอ้คน (หรือคนขับรถเมล์)ที่คุณรอก็ไม่ทราบ ... มันเจือกมาได้จังหวะพอดี๊
คุณพอจะนึกออกมั้ยครับ ว่า ไอ้หมอนั่นมันจะเจอกับอะไร !!?? ( อาจเป็นกรณียกเว้นสำหรับคุณผู้ชาย ถ้าคู่กรณีเป็นแฟนหรือภรรเมียคุณ - -" )
เอาล่ะครับ ..... ทีนี้ขอให้คุณเก็บอารมณ์"อยากถีบยอดหน้ามัน"เอาไว้ก่อนครับ .... ในวันนั้นถ้าคุณสังเกตุจิตใจตัวเองดีๆ คุณจะพบว่า ใจของคุณตอนนั้น มันเหนื่อยมากกกก
หากย้อนกลับไปดูภาพสโลโมชั่นในวันนั้น ...วะจื๊ด จื๊ด จื๊ดดด <ซาวด์ เอฟเฟค?> ...... คุณจะพบว่า นอกจากร่างกายของคุณที่ผุดลุกผุดนั่ง เฝ้าชะเง้อ ดูนาฬิกา ทำเสียงจึ๊ สลับกันไปมาแล้ว... จิตใจของคุณก็หมุนวนสลับไปมาไม่แพ้กัน ... เดี๋ยวก็กังวล เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็เซ็ง เดี๋ยวก็นึกด่า เดี๋ยวก็กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า เดี๋ยวก็กลับมาโกรธ กังวล วนไปวนมา ...อย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น หมุนติ้วๆๆๆ เป็นพัดลมฮาตาริเบอร์สาม ....คือ โคตรเหนื่อยอะครับ
นี่ยังดีนะครับ รอได้ตั้งสามสิบสี่สิบนาที บางคนสิบนาทีก็ระเบิดลงแล้ว
ที่เป็นแบบนี้เพราะอะไร เพราะพวกเราคนสมัยนี้ถูกสปอยล์จนเคยตัวครับ!! ทุกสิ่งทุกอย่างถูกพัฒนาเพื่อความสะดวกสบายสนองกิเลสของพวกเรากันเต็มไปหมด เดี๋ยวนี้วันๆนึงเราแทบไม่ต้อง"รอคอย"อะไรกันแล้ว จดหมายก็ไม่ต้องรอข้ามวัน คลิกเดียวก็เสร็จ จะกินข้าวก็ไม่ต้องมารอทำ เอาเข้าไมโครเวฟก็เสร็จ จะดูละครก็ไม่ต้องอดใจรอเป็นอาทิตย์ ดูในเว็บเอาก็ได้ ขนาดจะซื้อของยังไม่ต้องรอวันหยุดถึงจะไปซื้อ สั่งทางเว็บก็มาส่งให้ถึงบ้าน อินเตอร์เน็ทก็ไม่ต้องเสียเวลามา dial up นั่งรอโหลดกันอีกต่อไปแล้ว คลิกเดียวลื่นปรื๊ด (แถมบางคนรอโหลดเกินสามนาที แมร่งบ่นเป็นหมีกินผึ้ง ไอ่เกรียนเอ๊ยย)
....เนี่ยแหละครับ มันเป็นซะอย่างนี้ คนสมัยนี้ถึงได้ "รอคอย" ไม่เป็น
ผมไม่ได้ว่าเทคโนโลยีไม่ดีนะครับ แต่ถ้าเราพึ่งพามันตลอด ถึงวันหนึ่งที่คุณไม่มีมัน คุณจะลำบาก
มีอยู่ช่วงหนึ่งผมติดเกมส์ handheld (เครื่องเกมส์แบบพกพา เช่น PSP NDS ) มาก จะเดินทางไปไหนต้องพกไปเล่นฆ่าเวลาตลอด ช่วงนั้นไม่มีวันไหนที่เดินทางไป-กลับจากทำงานแล้วไม่หยิบออกมาเล่น ไม่ว่าจะตอนรอรถสองแถว นั่งรถสองแถว นั่งรถไฟฟ้า บางทีขณะเดินๆอยู่ยังเล่นได้เลยครับ ...ทีนี้พอบางวันที่ผมลืมเอาไป หรือลืมชาร์จ วันนั้นผมจะเซ็งมากครับ แมร่งเอ๊ยเมื่อไหร่รถจะมาว๊า? เมื่อไหร่จะถึงฟะเนี่ย? ทำไมมันนานจังวะ? ทั้งๆที่มันก็ใช้เวลาพอๆกันทุกวันนั่นแหละครับ บางวันไปเที่ยวต่างจังหวัดค้างคืนแล้วลืมเอาไปด้วย ทริปนั้นแมร่งเซ็งจิตไปเลยครับ
..ในตอนนั้นผมก็เริ่มรู้แล้วว่า ผมเริ่มเสื่อมสมรรถภาพใน "การรอคอย"แล้ว ( ไม่ใช่เรื่องน้าน!! แหม่ รู้นะคิดอะไร)
และเชื่อเถอะครับ หากคุณยังเอาแต่พึ่งอุปกรณ์ไฮเทคทั้งหลายระหว่างที่'รอคอย'อยู่ ยังไงคุณก็อาจจะต้องเจอกับวันนั้นเหมือนกับผม (และเมื่อถึงวันนั้นของเดือนอย่าลืมใช้วิดสะเป้อแบบมีปีก... # ไม่เกี่ยวโว้ย!! )
.....
............
โชคยังดี ที่วันหนึ่งผมได้มาพบกับ'สุดยอดเคล็ดวิชา'อย่างหนึ่งเข้า (แมร่ง...หยั่งกะหนังจีน)
เคล็ดวิชานั้นก็คือ " การรอคอย...แบบไม่รอคอย "
.........................................
....................................................
.........................................................
..............................................................
........................................................................
ฮั่นแน่... อึ้งกิมกี่กันไปเลยดิครับท่านผู้ชม!!
(แหงสิฟะ!!! ก็เอ็งเล่น จุดจุดจุด ตั้งห้าบรรทัด ไม่ให้อึ้งได้ไง = =" )
ปล่อยให้งงไปก่อนครับ เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังทีหลัง
... ตอนนี้กลับมาที่เรื่องของผมกันก่อนครับ
เชื่อมั้ยครับว่าเดี๋ยวนี้ไปไหนมาไหน ผมแทบไม่แตะเครื่องเกมส์พกพา PSP , NDS อีกเลย
....ผมหันไปเล่นไลน์แทน ม่ายยยช้ายยย!!! คืองี้ครับ ผมไปเจอกับอะไรอย่างหนึ่งซึ่งเจ๋งมากๆ
ไอ้เจ้าสิ่งนี้จะว่าไปมันก็เหมือนเกมส์นะครับ แต่มันเป็นเกมส์ที่สามารถเล่นกันได้ทุกคน และผมก็ว่าทุกคนต้องเคยเล่นมาแล้ว แต่อาจจะลืมๆไป หรือไม่ได้นึกถึง เจ้าเกมส์ที่ว่านั้นชื่อ " ดูกาย ดูจิต " ครับ
เกมส์นี้ไม่ต้องซื้อไม่ต้องหาครับ อุปกรณ์เครื่องเล่น เราก็มีกันอยู่แล้วทุกคนนั่นก็คือ กาย กับ ใจ แถมวิธีการเล่นก็ง่ายมากครับ มีแค่บรรทัดเดียวเท่านั้นครับ นั่นก็คือ
"มีสติ รู้กายรู้ใจ ลงปัจจุบัน โดยไม่ปรุงแต่ง และไม่ยินดียินร้าย "
" มีสติ รู้กายรู้ใจ ลงปัจจุบัน" หมายความว่า ในขณะที่เรากำลังทำอะไรอยู่นั้น ให้เรามีสติตามรู้ลงไปในสิ่งที่เราทำ เช่นตอนนี้คุณกำลังอ่านบทความนี้ บางขณะใจของคุณก็ชอบ ให้รู้ตามไปว่ากำลังชอบ อ่านไปซักพักรู้สึกรำคาญไอ้คนเขียนว่ะ นี่แมร่งเล่นมุขบ่อยเก๊น ก็ให้ตามรู้ไปว่ารำคาญ นี่คือการรู้ใจ .......บางขณะที่ของตาคุณกลอกไปทางซ้ายขวา ก็ให้รู้ว่าตากำลังกลอก รู้ว่ากำลังมองเห็นภาพ บางขณะมือคุณไปคลิกเม้าส์ ก็ให้รู้ถึงสัมผัสแข็งๆของเม้าส์ เท้าของคุณแกว่งไปถูกเจ้าเหมียวก็ให้รับรู้สัมผัสนุ่มๆของขนมัน ...ซักพักไอ้เหมียวแมร่งข่วน ก็ให้รู้สัมผัสแข็งๆคมๆของเล็บ และรับรู้ความรู้สึกที่ว่า เฮ้ยกรูเจ็บนะ แสรสส ....นั่นแหละครับ ตามรู้ไป
ส่วน "...โดยไม่ปรุงแต่ง และไม่ยินดียินร้าย " นั้นก็หมายความว่า ถึงเราจะเกิดความรู้สึกกับสิ่งที่มากระทบกายใจ ไปแล้วนั้นก็ให้รู้ตามไปเฉยๆ ไม่ต้องไปคิดต่อ อย่างเช่น พออ่านบทความนี้แล้วใจเกิดชอบขึ้นมา ก็ให้รู้แค่นั้น ไม่ต้องไปปรุงแต่งต่อว่า ไอ้คนเขียนนี่มันเป็นใครมาจากไหน มันจะหล่อมั้ย พ่อมันจะรวยมั้ย มันเป็นเกย์รึเปล่า ...ช่างแมร่งเถอะครับ ชอบก็ รู้ว่าชอบแค่นั้นจบ ทางด้านกายก็เหมือนกัน พอไอเหมียวมันข่วนคุณเสร็จ คุณเจ็บ คุณรู้ตามไปว่าเจ็บ ทีนี้ถ้าสติคุณไว ฝึกจิตมาบ่อย มันจะหยุดแค่นั้นครับ รู้ว่าเจ็บแล้วจบ (เชื่อพี่ออฟ ปองศักดิ์เค้าเถอะครับ)
....แต่ทีนี้พวกเรามันจะไม่แค่นั้นดิครับ... "เจ็บแต่ไม่จบ" (ไอ้พวกไม่เชื่อพี่ออฟ!!) คือ พอเจ็บปุ๊บ ปรุงแต่งต่อเลย จิตคิดต่อ 'เฮ้ย กรูเจ็บนะ แสรส' ก้มลงไปมองหน้ามัน แมร่งทำหน้ามึนใส่อีก ดู๊ ... ขึ้นเลยครับทีนี้ ' ไอ่เหมียว เอ๊ยย

โดนกรูแน่!! ' ว่าแล้วก็แกว่งขาไปเตะมัน เหมียวหลบควับ แล้ววิ่งหนีไป คุณก็เลย... 'หนอย แค้นนี้ต้องชำระ' คว้าม้วนกระดาษวิ่งไล่ตีไอ้เหมียว
...เอ้า สต๊อป!! ทีนี้คุณว่าไอ้จังหวะที่เราคว้าม้วนกระดาษวิ่งไล่ตีไอ้เหมียวเนี่ย เราจะรู้ตามทันยากมั้ยครับ ??
แน่ล่ะครับ โคตรยากเลยล่ะครับ อย่าว่าแต่ตามรู้จิตที่โกรธเลยครับ ร่างกายของเราทำอะไรไป ตอนนั้นเราก็ไม่รู้อะไรแล้ว รู้อย่างเดียวคือ "ไอเหมียว

ตายย!!" ...ทีนี้หากเราย้อนภาพกลับไป .. ปะรื๊ดด ปรื๊ด ปรื๊ดด ไปตรงที่ เจ้าเหมียวข่วน คุณเจ็บ ...เจ็บแล้วไง สติรู้ทันมั้ย ..เอ้าไม่ทัน ไม่เป็นไร ...ตรงนี้ความโกรธ (โทสะ) เกิดขึ้นมาแล้วครับ 'เฮ้ย กรูเจ็บนะแสรส' ... เอ้าสมมุติว่าจังหวะนี้ คุณรู้ทันพอดี ความโกรธตอนนั้นมันจะหายมั้ยครับ??
....ไม่รู้ครับ แล้วแต่คน แต่ไม่ว่ามันจะหายหรือไม่ก็ตาม เมื่อเรารู้แล้วก็ถือว่าใช้ได้แล้วครับ เพราะมันจะไม่ปรุงแต่งต่อแล้วทีนี้ มันจะอึมๆครึมๆไปซักพักแล้วก็ค่อยๆหายไปเอง ขึ้นอยู่กับว่าโกรธมากโกรธน้อย (ซึ่งตรงนี้หากคุณสังเกตุดีๆ คุณจะเห็นว่า ยิ่งเราปล่อยให้จิตเค้าปรุงแต่งต่อไปนานเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งตามดูมันยากขึ้นเท่านั้น คือมันจะสวนทางกันครับ ยิ่งกิเลส (โลภ โกรธ หลง) โตขึ้นมากเท่าไหน สติของเรามันจะค่อยๆหดเล็กลงมากขึ้นเท่านั้น (และนี่แหละครับ เป็นสาเหตุให้คนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆลุกขึ้นมาจับอาวุธฆ่ากันได้อย่างหน้าตาเฉย)
เอ้า แล้วทีนี้มันเกี่ยวอะไรกับ การรอคอยน่ะเหรอครับ คืองี้ครับ...เมื่อคุณหัด "ดูกาย ดูจิต" บ่อยๆแล้ว ทีนี้สติคุณจะเกิดได้บ่อยขึ้นตามไปด้วยครับ นั่นหมายความว่า ถึงแม้ระหว่างรอ คุณอาจจะมีความคิดอกุศลขึ้นมา สติเค้าก็จะทำหน้าที่เหมือนเซฟทีคัท คอยเบรคความคิดเหล่านั้นอยู่เป็นระยะๆ
ต่อไปนี้เวลาคุณต้องรอใครหรืออะไรนานๆ ผมอยากให้คุณลองเลิกตั้งหน้าตั้งตารอ ประเภท...'เอ๊ เมื่อไหร่จะมาน้า?' , 'ทำไมยังไม่มาอีกน้า?' , 'ป่านนี้เค้าอยู่ที่ไหนแล้วน้า?' 'อีกกี่นาทีจะถึงน้า?' ... แล้วหันมารอแบบเล่นๆ ขำๆ .... ระหว่างรอเราก็ดูกาย ดูจิตเราไปพลางๆ ...อ้อ ตอนนี้เรากังวลแล้วน้า ..เริ่มหงุดหงิดแล้วน้า ..เดินวนไปวนมาแล้วน้า ..ตอนนี้เราเริ่มเซ็งแล้วน้า คือ เลิกส่งจิตออกไปดู'เค้า'หรือ'ไอ้นั่น'ที่เรารอ ..เลิกสนใจมัน เลิกตั้งคำถามที่ยังไงก็ตอบไม่ได้ และถึงตอบได้มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรอยู่ดี ( เช่น คุณรู้ว่าเค้าจะมาถึงในอีก 20 นาทีนี้ แล้วมันจะทำให้คุณต้องรอน้อยลงไปกว่า 20 นาทีมั้ย?? ) ..แล้วหันกลับมาดูอะไรใกล้ๆตัวอย่าง กายใจ เรานี่ดีกว่ามั้ยครับ? (ดูเสร็จแล้วก็วางนะครับ ไม่ต้องไปปรุงแต่งต่อ) ลองรอแบบชิวๆ ขำๆ โดยไม่ต้องไปรู้ว่าตอนนี้เค้าอยู่ไหน ...ไม่ต้องคาดหวังว่าจะมาเมื่อไหร่? ไม่ต้องไปสนครับ เราก็เล่นเกมส์ 'ดูกายดูจิต'ของเราไปเรื่อย ดีซะอีก..ได้ฝึกสติไปด้วย (แล้วพอดูบ่อยๆเข้า แล้วคุณจะรู้สึกสนุกกับมันเองครับ ..เชื่อผม)
เค้าจะมาถึงเมื่อไหร่ก็...ช่างแมร่ง... มาถึงเร็วก็...ช่างแมร่ง มาถึงช้าก็...ช่างแมร่ง ..มันไม่มาก็...ช่างแมร่ง(..เฮ้ย อันนี้ไม่ใช่ละ!! = =" )
และนี่แหละครับ คือ สุดยอดเคล็ดวิชาที่ผมว่า....
มันคือ... 'การรอคอย'...โดยที่ไม่ต้อง'รอคอย' ยังไงล่ะครับ
รอคอย..(แบบ)..ไม่รอคอย
...แล้วเคยเคยรอรถเมล์บางสาย ที่มันไม่มาซักที รอจนสายอื่นมันผ่านห้าหกคันแล้ว มั้นก็ยังไม่มา ......จำได้มั้ยครับว่าตอนนั้นคุณรู้สึกยังไง?
เอ้า แถมให้อีกหน่อย ในขณะที่คุณรอนั้น ไอ้โทรศัพท์สมาร์ทโฟน (จีนแดง?)ของคุณ แบตเจือกจะมาหมดตอนนี้อีก จะเอามาเล่นฆ่าเวลาก็ไม่ได้ ...คุณได้แต่ชะเง้อชะแง้คอยหาว่าเมื่อไหร่จะมาซักที สิบนาทีผ่านไป...
สิบห้า... ยี่สิบ... สามสิบ... สี่สิบ ว๊ากกกกก!!! ทนไม่ไหวแล้วว้อยยย...
..นับเป็นโชคของคุณ หรือ เคราะห์หามยามซวยของไอ้คน (หรือคนขับรถเมล์)ที่คุณรอก็ไม่ทราบ ... มันเจือกมาได้จังหวะพอดี๊
คุณพอจะนึกออกมั้ยครับ ว่า ไอ้หมอนั่นมันจะเจอกับอะไร !!?? ( อาจเป็นกรณียกเว้นสำหรับคุณผู้ชาย ถ้าคู่กรณีเป็นแฟนหรือภรรเมียคุณ - -" )
เอาล่ะครับ ..... ทีนี้ขอให้คุณเก็บอารมณ์"อยากถีบยอดหน้ามัน"เอาไว้ก่อนครับ .... ในวันนั้นถ้าคุณสังเกตุจิตใจตัวเองดีๆ คุณจะพบว่า ใจของคุณตอนนั้น มันเหนื่อยมากกกก
หากย้อนกลับไปดูภาพสโลโมชั่นในวันนั้น ...วะจื๊ด จื๊ด จื๊ดดด <ซาวด์ เอฟเฟค?> ...... คุณจะพบว่า นอกจากร่างกายของคุณที่ผุดลุกผุดนั่ง เฝ้าชะเง้อ ดูนาฬิกา ทำเสียงจึ๊ สลับกันไปมาแล้ว... จิตใจของคุณก็หมุนวนสลับไปมาไม่แพ้กัน ... เดี๋ยวก็กังวล เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็เซ็ง เดี๋ยวก็นึกด่า เดี๋ยวก็กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า เดี๋ยวก็กลับมาโกรธ กังวล วนไปวนมา ...อย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น หมุนติ้วๆๆๆ เป็นพัดลมฮาตาริเบอร์สาม ....คือ โคตรเหนื่อยอะครับ
นี่ยังดีนะครับ รอได้ตั้งสามสิบสี่สิบนาที บางคนสิบนาทีก็ระเบิดลงแล้ว
ที่เป็นแบบนี้เพราะอะไร เพราะพวกเราคนสมัยนี้ถูกสปอยล์จนเคยตัวครับ!! ทุกสิ่งทุกอย่างถูกพัฒนาเพื่อความสะดวกสบายสนองกิเลสของพวกเรากันเต็มไปหมด เดี๋ยวนี้วันๆนึงเราแทบไม่ต้อง"รอคอย"อะไรกันแล้ว จดหมายก็ไม่ต้องรอข้ามวัน คลิกเดียวก็เสร็จ จะกินข้าวก็ไม่ต้องมารอทำ เอาเข้าไมโครเวฟก็เสร็จ จะดูละครก็ไม่ต้องอดใจรอเป็นอาทิตย์ ดูในเว็บเอาก็ได้ ขนาดจะซื้อของยังไม่ต้องรอวันหยุดถึงจะไปซื้อ สั่งทางเว็บก็มาส่งให้ถึงบ้าน อินเตอร์เน็ทก็ไม่ต้องเสียเวลามา dial up นั่งรอโหลดกันอีกต่อไปแล้ว คลิกเดียวลื่นปรื๊ด (แถมบางคนรอโหลดเกินสามนาที แมร่งบ่นเป็นหมีกินผึ้ง ไอ่เกรียนเอ๊ยย)
....เนี่ยแหละครับ มันเป็นซะอย่างนี้ คนสมัยนี้ถึงได้ "รอคอย" ไม่เป็น
ผมไม่ได้ว่าเทคโนโลยีไม่ดีนะครับ แต่ถ้าเราพึ่งพามันตลอด ถึงวันหนึ่งที่คุณไม่มีมัน คุณจะลำบาก
มีอยู่ช่วงหนึ่งผมติดเกมส์ handheld (เครื่องเกมส์แบบพกพา เช่น PSP NDS ) มาก จะเดินทางไปไหนต้องพกไปเล่นฆ่าเวลาตลอด ช่วงนั้นไม่มีวันไหนที่เดินทางไป-กลับจากทำงานแล้วไม่หยิบออกมาเล่น ไม่ว่าจะตอนรอรถสองแถว นั่งรถสองแถว นั่งรถไฟฟ้า บางทีขณะเดินๆอยู่ยังเล่นได้เลยครับ ...ทีนี้พอบางวันที่ผมลืมเอาไป หรือลืมชาร์จ วันนั้นผมจะเซ็งมากครับ แมร่งเอ๊ยเมื่อไหร่รถจะมาว๊า? เมื่อไหร่จะถึงฟะเนี่ย? ทำไมมันนานจังวะ? ทั้งๆที่มันก็ใช้เวลาพอๆกันทุกวันนั่นแหละครับ บางวันไปเที่ยวต่างจังหวัดค้างคืนแล้วลืมเอาไปด้วย ทริปนั้นแมร่งเซ็งจิตไปเลยครับ
..ในตอนนั้นผมก็เริ่มรู้แล้วว่า ผมเริ่มเสื่อมสมรรถภาพใน "การรอคอย"แล้ว ( ไม่ใช่เรื่องน้าน!! แหม่ รู้นะคิดอะไร)
และเชื่อเถอะครับ หากคุณยังเอาแต่พึ่งอุปกรณ์ไฮเทคทั้งหลายระหว่างที่'รอคอย'อยู่ ยังไงคุณก็อาจจะต้องเจอกับวันนั้นเหมือนกับผม (และเมื่อถึงวันนั้นของเดือนอย่าลืมใช้วิดสะเป้อแบบมีปีก... # ไม่เกี่ยวโว้ย!! )
.....
............
โชคยังดี ที่วันหนึ่งผมได้มาพบกับ'สุดยอดเคล็ดวิชา'อย่างหนึ่งเข้า (แมร่ง...หยั่งกะหนังจีน)
เคล็ดวิชานั้นก็คือ " การรอคอย...แบบไม่รอคอย "
.........................................
....................................................
.........................................................
..............................................................
........................................................................
ฮั่นแน่... อึ้งกิมกี่กันไปเลยดิครับท่านผู้ชม!!
(แหงสิฟะ!!! ก็เอ็งเล่น จุดจุดจุด ตั้งห้าบรรทัด ไม่ให้อึ้งได้ไง = =" )
ปล่อยให้งงไปก่อนครับ เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังทีหลัง
... ตอนนี้กลับมาที่เรื่องของผมกันก่อนครับ
เชื่อมั้ยครับว่าเดี๋ยวนี้ไปไหนมาไหน ผมแทบไม่แตะเครื่องเกมส์พกพา PSP , NDS อีกเลย
....ผมหันไปเล่นไลน์แทน ม่ายยยช้ายยย!!! คืองี้ครับ ผมไปเจอกับอะไรอย่างหนึ่งซึ่งเจ๋งมากๆ
ไอ้เจ้าสิ่งนี้จะว่าไปมันก็เหมือนเกมส์นะครับ แต่มันเป็นเกมส์ที่สามารถเล่นกันได้ทุกคน และผมก็ว่าทุกคนต้องเคยเล่นมาแล้ว แต่อาจจะลืมๆไป หรือไม่ได้นึกถึง เจ้าเกมส์ที่ว่านั้นชื่อ " ดูกาย ดูจิต " ครับ
เกมส์นี้ไม่ต้องซื้อไม่ต้องหาครับ อุปกรณ์เครื่องเล่น เราก็มีกันอยู่แล้วทุกคนนั่นก็คือ กาย กับ ใจ แถมวิธีการเล่นก็ง่ายมากครับ มีแค่บรรทัดเดียวเท่านั้นครับ นั่นก็คือ
"มีสติ รู้กายรู้ใจ ลงปัจจุบัน โดยไม่ปรุงแต่ง และไม่ยินดียินร้าย "
" มีสติ รู้กายรู้ใจ ลงปัจจุบัน" หมายความว่า ในขณะที่เรากำลังทำอะไรอยู่นั้น ให้เรามีสติตามรู้ลงไปในสิ่งที่เราทำ เช่นตอนนี้คุณกำลังอ่านบทความนี้ บางขณะใจของคุณก็ชอบ ให้รู้ตามไปว่ากำลังชอบ อ่านไปซักพักรู้สึกรำคาญไอ้คนเขียนว่ะ นี่แมร่งเล่นมุขบ่อยเก๊น ก็ให้ตามรู้ไปว่ารำคาญ นี่คือการรู้ใจ .......บางขณะที่ของตาคุณกลอกไปทางซ้ายขวา ก็ให้รู้ว่าตากำลังกลอก รู้ว่ากำลังมองเห็นภาพ บางขณะมือคุณไปคลิกเม้าส์ ก็ให้รู้ถึงสัมผัสแข็งๆของเม้าส์ เท้าของคุณแกว่งไปถูกเจ้าเหมียวก็ให้รับรู้สัมผัสนุ่มๆของขนมัน ...ซักพักไอ้เหมียวแมร่งข่วน ก็ให้รู้สัมผัสแข็งๆคมๆของเล็บ และรับรู้ความรู้สึกที่ว่า เฮ้ยกรูเจ็บนะ แสรสส ....นั่นแหละครับ ตามรู้ไป
ส่วน "...โดยไม่ปรุงแต่ง และไม่ยินดียินร้าย " นั้นก็หมายความว่า ถึงเราจะเกิดความรู้สึกกับสิ่งที่มากระทบกายใจ ไปแล้วนั้นก็ให้รู้ตามไปเฉยๆ ไม่ต้องไปคิดต่อ อย่างเช่น พออ่านบทความนี้แล้วใจเกิดชอบขึ้นมา ก็ให้รู้แค่นั้น ไม่ต้องไปปรุงแต่งต่อว่า ไอ้คนเขียนนี่มันเป็นใครมาจากไหน มันจะหล่อมั้ย พ่อมันจะรวยมั้ย มันเป็นเกย์รึเปล่า ...ช่างแมร่งเถอะครับ ชอบก็ รู้ว่าชอบแค่นั้นจบ ทางด้านกายก็เหมือนกัน พอไอเหมียวมันข่วนคุณเสร็จ คุณเจ็บ คุณรู้ตามไปว่าเจ็บ ทีนี้ถ้าสติคุณไว ฝึกจิตมาบ่อย มันจะหยุดแค่นั้นครับ รู้ว่าเจ็บแล้วจบ (เชื่อพี่ออฟ ปองศักดิ์เค้าเถอะครับ)
....แต่ทีนี้พวกเรามันจะไม่แค่นั้นดิครับ... "เจ็บแต่ไม่จบ" (ไอ้พวกไม่เชื่อพี่ออฟ!!) คือ พอเจ็บปุ๊บ ปรุงแต่งต่อเลย จิตคิดต่อ 'เฮ้ย กรูเจ็บนะ แสรส' ก้มลงไปมองหน้ามัน แมร่งทำหน้ามึนใส่อีก ดู๊ ... ขึ้นเลยครับทีนี้ ' ไอ่เหมียว เอ๊ยย
...เอ้า สต๊อป!! ทีนี้คุณว่าไอ้จังหวะที่เราคว้าม้วนกระดาษวิ่งไล่ตีไอ้เหมียวเนี่ย เราจะรู้ตามทันยากมั้ยครับ ??
แน่ล่ะครับ โคตรยากเลยล่ะครับ อย่าว่าแต่ตามรู้จิตที่โกรธเลยครับ ร่างกายของเราทำอะไรไป ตอนนั้นเราก็ไม่รู้อะไรแล้ว รู้อย่างเดียวคือ "ไอเหมียว
....ไม่รู้ครับ แล้วแต่คน แต่ไม่ว่ามันจะหายหรือไม่ก็ตาม เมื่อเรารู้แล้วก็ถือว่าใช้ได้แล้วครับ เพราะมันจะไม่ปรุงแต่งต่อแล้วทีนี้ มันจะอึมๆครึมๆไปซักพักแล้วก็ค่อยๆหายไปเอง ขึ้นอยู่กับว่าโกรธมากโกรธน้อย (ซึ่งตรงนี้หากคุณสังเกตุดีๆ คุณจะเห็นว่า ยิ่งเราปล่อยให้จิตเค้าปรุงแต่งต่อไปนานเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งตามดูมันยากขึ้นเท่านั้น คือมันจะสวนทางกันครับ ยิ่งกิเลส (โลภ โกรธ หลง) โตขึ้นมากเท่าไหน สติของเรามันจะค่อยๆหดเล็กลงมากขึ้นเท่านั้น (และนี่แหละครับ เป็นสาเหตุให้คนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆลุกขึ้นมาจับอาวุธฆ่ากันได้อย่างหน้าตาเฉย)
เอ้า แล้วทีนี้มันเกี่ยวอะไรกับ การรอคอยน่ะเหรอครับ คืองี้ครับ...เมื่อคุณหัด "ดูกาย ดูจิต" บ่อยๆแล้ว ทีนี้สติคุณจะเกิดได้บ่อยขึ้นตามไปด้วยครับ นั่นหมายความว่า ถึงแม้ระหว่างรอ คุณอาจจะมีความคิดอกุศลขึ้นมา สติเค้าก็จะทำหน้าที่เหมือนเซฟทีคัท คอยเบรคความคิดเหล่านั้นอยู่เป็นระยะๆ
ต่อไปนี้เวลาคุณต้องรอใครหรืออะไรนานๆ ผมอยากให้คุณลองเลิกตั้งหน้าตั้งตารอ ประเภท...'เอ๊ เมื่อไหร่จะมาน้า?' , 'ทำไมยังไม่มาอีกน้า?' , 'ป่านนี้เค้าอยู่ที่ไหนแล้วน้า?' 'อีกกี่นาทีจะถึงน้า?' ... แล้วหันมารอแบบเล่นๆ ขำๆ .... ระหว่างรอเราก็ดูกาย ดูจิตเราไปพลางๆ ...อ้อ ตอนนี้เรากังวลแล้วน้า ..เริ่มหงุดหงิดแล้วน้า ..เดินวนไปวนมาแล้วน้า ..ตอนนี้เราเริ่มเซ็งแล้วน้า คือ เลิกส่งจิตออกไปดู'เค้า'หรือ'ไอ้นั่น'ที่เรารอ ..เลิกสนใจมัน เลิกตั้งคำถามที่ยังไงก็ตอบไม่ได้ และถึงตอบได้มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรอยู่ดี ( เช่น คุณรู้ว่าเค้าจะมาถึงในอีก 20 นาทีนี้ แล้วมันจะทำให้คุณต้องรอน้อยลงไปกว่า 20 นาทีมั้ย?? ) ..แล้วหันกลับมาดูอะไรใกล้ๆตัวอย่าง กายใจ เรานี่ดีกว่ามั้ยครับ? (ดูเสร็จแล้วก็วางนะครับ ไม่ต้องไปปรุงแต่งต่อ) ลองรอแบบชิวๆ ขำๆ โดยไม่ต้องไปรู้ว่าตอนนี้เค้าอยู่ไหน ...ไม่ต้องคาดหวังว่าจะมาเมื่อไหร่? ไม่ต้องไปสนครับ เราก็เล่นเกมส์ 'ดูกายดูจิต'ของเราไปเรื่อย ดีซะอีก..ได้ฝึกสติไปด้วย (แล้วพอดูบ่อยๆเข้า แล้วคุณจะรู้สึกสนุกกับมันเองครับ ..เชื่อผม)
เค้าจะมาถึงเมื่อไหร่ก็...ช่างแมร่ง... มาถึงเร็วก็...ช่างแมร่ง มาถึงช้าก็...ช่างแมร่ง ..มันไม่มาก็...ช่างแมร่ง(..เฮ้ย อันนี้ไม่ใช่ละ!! = =" )
และนี่แหละครับ คือ สุดยอดเคล็ดวิชาที่ผมว่า....
มันคือ... 'การรอคอย'...โดยที่ไม่ต้อง'รอคอย' ยังไงล่ะครับ