ภิกษุที่เจริญอานาปานสติทำให้มากแล้ว จึงบำเพ็ญสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้
[๒๘๙]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงบำเพ็ญสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้
➡ แปล: ภิกษุทั้งหลาย การที่ภิกษุเจริญอานาปานสติให้มาก ๆ อย่างไร จึงสามารถทำให้สติปัฏฐาน ๔ สมบูรณ์ได้?
ตอนที่ ๑ : กายในกาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด เมื่อภิกษุหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว
➡ แปล: เวลาที่ภิกษุหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า “เรากำลังหายใจออกยาว” หรือเวลาหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า “เรากำลังหายใจเข้ายาว”
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น หรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น
➡ แปล: ถ้าหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า “เรากำลังหายใจออกสั้น” หรือถ้าหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า “เรากำลังหายใจเข้าสั้น”
สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจเข้า
➡ แปล: และตั้งใจว่า “เราจะกำหนดรู้การเคลื่อนไหวของลมหายใจทั้งหมด” ทั้งขณะหายใจออกและหายใจเข้า
สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจออก ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า
➡ แปล: และตั้งใจว่า “เราจะทำให้กายสังขาร (การปรุงแต่งทางกาย เช่น ลมหายใจ) สงบระงับ” ทั้งในเวลาหายใจออกและหายใจเข้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกาย มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่
➡ แปล: ในขณะนั้น ภิกษุชื่อว่า “กำลังพิจารณากายในกาย” (กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน) โดยมีความเพียร มีสติ มีสัมปชัญญะ สามารถละความอยากและความเศร้าโศกในโลกได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวลมหายใจออก ลมหายใจเข้านี้ ว่าเป็นกายชนิดหนึ่ง ในพวกกาย
➡ แปล: ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า “ลมหายใจเข้า–ออก” นี้เอง เป็น “กายชนิดหนึ่ง” ในบรรดากายทั้งหลาย
เพราะฉะนั้นแล ในสมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกาย มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่
➡ แปล: เพราะฉะนั้น เมื่อภิกษุตามรู้ลมหายใจเช่นนี้ จึงชื่อว่า “กำลังพิจารณากายในกาย” มีความเพียร มีสติ มีสัมปชัญญะ และกำจัดความอยากและความขุ่นมัวในโลกได้
“สมัยใด ภิกษุสำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้ปีติ … สุข … จิตสังขาร … ระงับจิตสังขาร”
➡ หมายถึง : ภิกษุเจริญอานาปานสติ โดยตั้งใจว่าขณะหายใจออก–เข้า จะรู้ชัดปีติ, สุข, จิตสังขาร และจะทำให้จิตสังขารสงบ
“ในสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่”
➡ ความว่า : ในขณะนั้น ภิกษุผู้นั้นกำลังทำ “เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน” คือพิจารณาเวทนาในเวทนา ด้วยเพียร รู้ตัว มีสติ สามารถระงับความอยากได้ (อภิชฌา) และความขุ่นหมอง (โทมนัส) ได้
“เรากล่าวการใส่ใจลมหายใจออกลมหายใจเข้าเป็นอย่างดีนี้ ว่าเป็นเวทนาชนิดหนึ่ง ในพวกเวทนา”
➡ ความว่า : พระองค์ทรงถือว่า การรู้ชัดในลมหายใจอย่างนี้ ก็นับเป็นเวทนาอย่างหนึ่งในหมวดเวทนา
ตอนที่ ๒ : จิตในจิต
“สมัยใด ภิกษุสำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิต … ทำจิตให้ร่าเริง … ตั้งจิตมั่น … เปลื้องจิต …”
➡ ความว่า : เมื่อภิกษุตั้งใจว่า จะกำหนดรู้จิต จะทำจิตให้เบิกบาน จะทำจิตให้มั่นคง และจะปลดปล่อยจิตเป็นอิสระ
“ในสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นจิตในจิต มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่”
➡ ความว่า : ขณะนั้น ภิกษุทำ “จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน” คือพิจารณาจิตในจิต รู้เท่าทันสภาพจิตของตนเอง ด้วยเพียร มีสติ และดับความยึดติด–ความเศร้าได้
“เราไม่กล่าวอานาปานสติแก่ภิกษุผู้เผลอสติ ไม่รู้สึกตัวอยู่”
➡ หมายถึง : พระองค์ตรัสย้ำว่า อานาปานสติใช้ได้เฉพาะเมื่อผู้ปฏิบัติไม่เผลอสติ ไม่ใช่ผู้ฟุ้งซ่านขาดการระลึกรู้
ตอนที่ ๓ : ธรรมในธรรม
“สมัยใด ภิกษุสำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความไม่เที่ยง … ความคลายกำหนัด … ความดับกิเลส … ความสละคืนกิเลส …”
➡ ความว่า : ภิกษุตั้งใจว่า จะพิจารณาอนิจจัง (ไม่เที่ยง), วิราคะ (คลายกำหนัด), นิโรธ (ดับกิเลส), และปฏินิสสัคคะ (สละคืน ไม่ยึด) ขณะหายใจเข้าออก
“ในสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นธรรมในธรรม มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่”
➡ ความว่า : ภิกษุในขณะนั้น ทำ “ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน” คือพิจารณาธรรมในธรรม ด้วยเพียร รู้ตัว มีสติ ดับความอยากและความขุ่นมัวได้
“เธอเห็นการละอภิชฌาและโทมนัสด้วยปัญญาแล้ว ย่อมเป็นผู้วางเฉยได้ดี”
➡ ความว่า : ภิกษุเห็นด้วยปัญญาว่าได้ละความอยากและความขุ่นมัวแล้ว จึงมีอุเบกขาที่มั่นคง
ตอนที่ ๔ : สรุป
“ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้แล ชื่อว่าบำเพ็ญสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้”
➡ ความว่า : การทำอานาปานสติครบทั้ง ๑๖ ขั้นตอน (จากการรู้ลมหายใจ จนถึงการพิจารณาอนิจจัง–นิโรธ) ก็คือการทำให้สติปัฏฐาน ๔ สมบูรณ์นั่นเอง
ภิกษุที่เจริญอานาปานสติทำให้มากแล้ว จึงบำเพ็ญสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้
[๒๘๙]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงบำเพ็ญสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้
➡ แปล: ภิกษุทั้งหลาย การที่ภิกษุเจริญอานาปานสติให้มาก ๆ อย่างไร จึงสามารถทำให้สติปัฏฐาน ๔ สมบูรณ์ได้?
ตอนที่ ๑ : กายในกาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด เมื่อภิกษุหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว
➡ แปล: เวลาที่ภิกษุหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า “เรากำลังหายใจออกยาว” หรือเวลาหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า “เรากำลังหายใจเข้ายาว”
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น หรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น
➡ แปล: ถ้าหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า “เรากำลังหายใจออกสั้น” หรือถ้าหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า “เรากำลังหายใจเข้าสั้น”
สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจเข้า
➡ แปล: และตั้งใจว่า “เราจะกำหนดรู้การเคลื่อนไหวของลมหายใจทั้งหมด” ทั้งขณะหายใจออกและหายใจเข้า
สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจออก ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า
➡ แปล: และตั้งใจว่า “เราจะทำให้กายสังขาร (การปรุงแต่งทางกาย เช่น ลมหายใจ) สงบระงับ” ทั้งในเวลาหายใจออกและหายใจเข้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกาย มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่
➡ แปล: ในขณะนั้น ภิกษุชื่อว่า “กำลังพิจารณากายในกาย” (กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน) โดยมีความเพียร มีสติ มีสัมปชัญญะ สามารถละความอยากและความเศร้าโศกในโลกได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวลมหายใจออก ลมหายใจเข้านี้ ว่าเป็นกายชนิดหนึ่ง ในพวกกาย
➡ แปล: ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า “ลมหายใจเข้า–ออก” นี้เอง เป็น “กายชนิดหนึ่ง” ในบรรดากายทั้งหลาย
เพราะฉะนั้นแล ในสมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกาย มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่
➡ แปล: เพราะฉะนั้น เมื่อภิกษุตามรู้ลมหายใจเช่นนี้ จึงชื่อว่า “กำลังพิจารณากายในกาย” มีความเพียร มีสติ มีสัมปชัญญะ และกำจัดความอยากและความขุ่นมัวในโลกได้
“สมัยใด ภิกษุสำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้ปีติ … สุข … จิตสังขาร … ระงับจิตสังขาร”
➡ หมายถึง : ภิกษุเจริญอานาปานสติ โดยตั้งใจว่าขณะหายใจออก–เข้า จะรู้ชัดปีติ, สุข, จิตสังขาร และจะทำให้จิตสังขารสงบ
“ในสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่”
➡ ความว่า : ในขณะนั้น ภิกษุผู้นั้นกำลังทำ “เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน” คือพิจารณาเวทนาในเวทนา ด้วยเพียร รู้ตัว มีสติ สามารถระงับความอยากได้ (อภิชฌา) และความขุ่นหมอง (โทมนัส) ได้
“เรากล่าวการใส่ใจลมหายใจออกลมหายใจเข้าเป็นอย่างดีนี้ ว่าเป็นเวทนาชนิดหนึ่ง ในพวกเวทนา”
➡ ความว่า : พระองค์ทรงถือว่า การรู้ชัดในลมหายใจอย่างนี้ ก็นับเป็นเวทนาอย่างหนึ่งในหมวดเวทนา
ตอนที่ ๒ : จิตในจิต
“สมัยใด ภิกษุสำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิต … ทำจิตให้ร่าเริง … ตั้งจิตมั่น … เปลื้องจิต …”
➡ ความว่า : เมื่อภิกษุตั้งใจว่า จะกำหนดรู้จิต จะทำจิตให้เบิกบาน จะทำจิตให้มั่นคง และจะปลดปล่อยจิตเป็นอิสระ
“ในสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นจิตในจิต มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่”
➡ ความว่า : ขณะนั้น ภิกษุทำ “จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน” คือพิจารณาจิตในจิต รู้เท่าทันสภาพจิตของตนเอง ด้วยเพียร มีสติ และดับความยึดติด–ความเศร้าได้
“เราไม่กล่าวอานาปานสติแก่ภิกษุผู้เผลอสติ ไม่รู้สึกตัวอยู่”
➡ หมายถึง : พระองค์ตรัสย้ำว่า อานาปานสติใช้ได้เฉพาะเมื่อผู้ปฏิบัติไม่เผลอสติ ไม่ใช่ผู้ฟุ้งซ่านขาดการระลึกรู้
ตอนที่ ๓ : ธรรมในธรรม
“สมัยใด ภิกษุสำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความไม่เที่ยง … ความคลายกำหนัด … ความดับกิเลส … ความสละคืนกิเลส …”
➡ ความว่า : ภิกษุตั้งใจว่า จะพิจารณาอนิจจัง (ไม่เที่ยง), วิราคะ (คลายกำหนัด), นิโรธ (ดับกิเลส), และปฏินิสสัคคะ (สละคืน ไม่ยึด) ขณะหายใจเข้าออก
“ในสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นธรรมในธรรม มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่”
➡ ความว่า : ภิกษุในขณะนั้น ทำ “ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน” คือพิจารณาธรรมในธรรม ด้วยเพียร รู้ตัว มีสติ ดับความอยากและความขุ่นมัวได้
“เธอเห็นการละอภิชฌาและโทมนัสด้วยปัญญาแล้ว ย่อมเป็นผู้วางเฉยได้ดี”
➡ ความว่า : ภิกษุเห็นด้วยปัญญาว่าได้ละความอยากและความขุ่นมัวแล้ว จึงมีอุเบกขาที่มั่นคง
ตอนที่ ๔ : สรุป
“ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้แล ชื่อว่าบำเพ็ญสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้”
➡ ความว่า : การทำอานาปานสติครบทั้ง ๑๖ ขั้นตอน (จากการรู้ลมหายใจ จนถึงการพิจารณาอนิจจัง–นิโรธ) ก็คือการทำให้สติปัฏฐาน ๔ สมบูรณ์นั่นเอง