เชื่อว่าคนที่เรียนภาษาอังกฤษหลายๆคนคงอาจจะเคยเรียนมาแต่จำไม่ได้ว่าคำกริยาที่อยู่ในรูปอดีต หรือ Past-tense ที่ต่อท้ายคำด้วย "ed" นั้น มีหลักการออกเสียงค่อนข้างหลากหลาย และหลายคนอาจจะกำลังออกเสียงผิดอยู่แบบไม่รู้ตัวก็เป็นได้ ยกตัวอย่าเช่น คำว่า
stop (แปลว่าหยุด) ช่อง 2 หรือช่องอดีต คือ stopped บางคนออกเสียงว่า "สทอพพิด" หรือ "สต็อปเป็ด" ซึ่งเป็นการออกเสียงที่ผิด โดยที่ถูกต้องต้องออกเสียงว่า "สต็อปทึ" เปลี่ยน ed ให้เป็นเสียง /t/ ครับ
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวไหนต้องเปลี่ยนเสียงเป็นอะไร
มีหลักการจำอยู่ 3 ข้อหลักๆ โดย 3 วิธีการออกเสียงนี้จะแบ่งออกตามพยัญชนะตัวสุดท้ายก่อนที่จะเติม "ed"ครับ
1. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย p, f, gh, s, ce, k, ch, sh, sk และ sp ก่อนเติม ed เวลาออกเสียงให้เปลี่ยน ed เป็น t ครับ ซึ่งจะได้เสียงเป็น
...ped = /pt/ เช่น raped, stopped, ripped, sipped
...fed, ...ghed = /ft/ เช่น laughed, stuffed, beefed, puffed
...sed, ...ced = /st/ เช่น faced, kissed, hissed, passed
...ked = /kt/ เช่น faked, knocked, kicked, raked
...tched, ..ched = /cht/ เช่น matched, watched, hitched, coached
...shed = /sht/ เช่น mashed, cashed, wished, washed
...sked = /skt/ เช่น asked, masked, tasked
...sped = /spt/ เช่น grasped
2. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย t และ d ก่อนเติม ed เวลาออกเสียงไม่ต้องผันเป็นเสียงอื่นแต่ให้เปรียบ ed เสมือนเป็นสระและตัวสะกดต่อท้าย
..ted = /tid/ ออกเสียงเป็น ทิด หรือ เท็ด เช่น wanted = ว้อนเท็ด ตัวอย่างอื่น hated, presented, departed
..ded = /did/ ออกเสียงเป็น ดิด หรือ เด็ด เช่น needed = นีดเด็ด ตัวอย่างอื่น ended, rounded,
3. คำกริยาที่ลงท้ายด้วยพยัญชนะหรือเสียงอื่นๆ เช่น b, g, l, m, n, r, w, y, z ก่อนเติม ed โดยคำพวกนี้จะออกเสียง ด หรือ ดึ แบบเสียงก้อง หรือ voiced sounds (คือเสียงที่เวลาออกแล้วเส้นเสียงในลำคอจะบีบแคบลงและสั่น) เช่น
described ดิสไครบ์ดึ (อย่าลืมทำเสียงก้องตอนท้ายตรง บ์ดึ)
ตัวอย่าคำอื่นเช่น loved, played, called, cleared, followed, enjoyed, amazed, used, damaged, cleaned
การฝึกอ่านภาษาอังกฤษเป็นประจำจะทำให้เราจำการออกเสียงได้โดยอัตโนมัติครับ อย่าลืมฝึกอ่านออกเสียงกันบ่อยๆนะครับ เวลาเราสนทนาเป็นภาษาอังกฤษเราจะได้ออกเสียงคำนั้นๆได้ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาอังกฤษจะต่างจากภาษาไทยตรงที่เขาจะมีกาลเวลา หรือ tense เวลาพูด หากเราออกเสียงผิด ไม่ใช่แค่ความหมายผิด เพราะกาลหรือช่วงเวลาในประโยคนั้นๆก็จะผิดตามไปด้วยครับ
PS: ขอฝากบล็อกด้วยนะครับ:
http://behindthatsong.blogspot.com
การออกเสียง "ed" หรือคำกริยาที่เติม "ed"
stop (แปลว่าหยุด) ช่อง 2 หรือช่องอดีต คือ stopped บางคนออกเสียงว่า "สทอพพิด" หรือ "สต็อปเป็ด" ซึ่งเป็นการออกเสียงที่ผิด โดยที่ถูกต้องต้องออกเสียงว่า "สต็อปทึ" เปลี่ยน ed ให้เป็นเสียง /t/ ครับ
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวไหนต้องเปลี่ยนเสียงเป็นอะไร
มีหลักการจำอยู่ 3 ข้อหลักๆ โดย 3 วิธีการออกเสียงนี้จะแบ่งออกตามพยัญชนะตัวสุดท้ายก่อนที่จะเติม "ed"ครับ
1. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย p, f, gh, s, ce, k, ch, sh, sk และ sp ก่อนเติม ed เวลาออกเสียงให้เปลี่ยน ed เป็น t ครับ ซึ่งจะได้เสียงเป็น
...ped = /pt/ เช่น raped, stopped, ripped, sipped
...fed, ...ghed = /ft/ เช่น laughed, stuffed, beefed, puffed
...sed, ...ced = /st/ เช่น faced, kissed, hissed, passed
...ked = /kt/ เช่น faked, knocked, kicked, raked
...tched, ..ched = /cht/ เช่น matched, watched, hitched, coached
...shed = /sht/ เช่น mashed, cashed, wished, washed
...sked = /skt/ เช่น asked, masked, tasked
...sped = /spt/ เช่น grasped
2. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย t และ d ก่อนเติม ed เวลาออกเสียงไม่ต้องผันเป็นเสียงอื่นแต่ให้เปรียบ ed เสมือนเป็นสระและตัวสะกดต่อท้าย
..ted = /tid/ ออกเสียงเป็น ทิด หรือ เท็ด เช่น wanted = ว้อนเท็ด ตัวอย่างอื่น hated, presented, departed
..ded = /did/ ออกเสียงเป็น ดิด หรือ เด็ด เช่น needed = นีดเด็ด ตัวอย่างอื่น ended, rounded,
3. คำกริยาที่ลงท้ายด้วยพยัญชนะหรือเสียงอื่นๆ เช่น b, g, l, m, n, r, w, y, z ก่อนเติม ed โดยคำพวกนี้จะออกเสียง ด หรือ ดึ แบบเสียงก้อง หรือ voiced sounds (คือเสียงที่เวลาออกแล้วเส้นเสียงในลำคอจะบีบแคบลงและสั่น) เช่น
described ดิสไครบ์ดึ (อย่าลืมทำเสียงก้องตอนท้ายตรง บ์ดึ)
ตัวอย่าคำอื่นเช่น loved, played, called, cleared, followed, enjoyed, amazed, used, damaged, cleaned
การฝึกอ่านภาษาอังกฤษเป็นประจำจะทำให้เราจำการออกเสียงได้โดยอัตโนมัติครับ อย่าลืมฝึกอ่านออกเสียงกันบ่อยๆนะครับ เวลาเราสนทนาเป็นภาษาอังกฤษเราจะได้ออกเสียงคำนั้นๆได้ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาอังกฤษจะต่างจากภาษาไทยตรงที่เขาจะมีกาลเวลา หรือ tense เวลาพูด หากเราออกเสียงผิด ไม่ใช่แค่ความหมายผิด เพราะกาลหรือช่วงเวลาในประโยคนั้นๆก็จะผิดตามไปด้วยครับ
PS: ขอฝากบล็อกด้วยนะครับ: http://behindthatsong.blogspot.com