หมายเหตุ กระทู้ยาวๆนี้เขียนขึ้นเพื่อถ่ายทอดแง่คิดและประสบการณ์ ฉันแค่อยากกระตุ้นให้ทุกๆคนที่ได้อ่านออกไปทำอะไรบางอย่าง
ที่สมควรทำในวันที่ไม่สายไปและจากความรักแล้วฉันจึงได้เรียนรู้ว่า...?
ความทรงจำที่ชัดเจนของฉันครั้งนี้ มันเริ่มต้นที่เดือนมกราคมที่ผ่านมานี้เอง ฉันเป็นเด็กผู้หญิงที่หน้าตาธรรมดามากๆ
ฐานะครอบครัวปานกลางและระดับผลการเรียนอยู่ในอันดับต้นๆของสังคมการเมือง
ณ มหาวิทยาลัยแห่งเสรีภาพแห่งหนึ่งในประเทศไทย
วันที่15มกราคม2556 ฉันก้าวเท้าย่างเดินด้วยความมั่นใจแบบปกติเหมือนที่เคยทำมาโดยตลอด
จนกระทั่งฉันต้องหยุดเดินด้วยเสียงบทสนทนาบทหนึ่งบนเวที ผู้ชายคนนั้นคนที่ฉันหยุดมองและหยุดฟังก็คือ
ผู้ชายที่มีรอยยิ้มและคำพูดที่ทรงพลังมาก ถึงแม้ว่าเค้าจะดูเหมือนคนพูดไม่ค่อยเก่งก็ตาม
ฉันหยิบสมุดบันทึกของตัวเองขึ้นมา “ ฉันว่าฉันกำลังตกหลุมรักนายว่ะ ” ถ้าใครไม่รู้จักฉัน ก็คงจะคิดว่าฉันเป็นพวกใจง่าย
แต่ตรงกันข้ามฉันเป็นคนที่รักคนอื่นยากมาก และไม่เคยเชื่อเรื่องตกหลุมรักมาก่อนเลย
ผู้ชายคนนี้ เขาเป็นเพื่อนร่วมคณะรุ่นเดียวกับฉันเอง เราอยู่กันคนละสาขาและไม่ค่อยได้เรียนวิชาเดียวกัน
ฐานะครอบครัวเขาดีมากหน้าตาดีการแต่งกายดีและฉันสัมผัสได้ว่าเขาเป็นคนจิตใจดี
*เหตุไฉนเล่าเมื่อหัวใจข้าเจ้าสั่งขนาดนี้จะไม่ลงมือทำอะไรสักอย่างเหรอ? เปล่าเลยในคืนเดียวกัน ฉันไลน์ไปหาเขา
เราสองคนคุยกันนานมาก และในที่สุดฉันก็เล็งเห็นโอกาสที่จะได้คุยกับเขาบ่อยขึ้นและรู้จักเขาให้ดียิ่งขึ้น
ผ่านการยืมฮาร์ดดิสของเขาที่มีซีรีย์ที่ฉันอยากดูมากมาย วันที่ฉันต้องก้าวเท้าลงไปจากตึกคณะเพื่อไปรับฮาร์ดดิสกับเขา
ฉันกลับไม่กล้า ฉันชักเท้ากลับ เพราะกลัวว่าความรู้สึกที่ฉันรู้สึกมันจะหลุดออกมาทางสีหน้าและแววตา
ฉันเลยโทรไปบอกให้เพื่อนสนิทลงไปเอาฮาร์ดดิสแทนฉันให้หน่อย สุดท้ายฉันได้ฮาร์ดดิสนั้นมานอนกอดสมใจ
หลังจากนั้นฉันก็ได้คุยไลน์กับเขาบ่อยขึ้นจนกระทั่งวันที่29มกราคมถึงเวลาที่ฉันต้องคืนฮาร์ดดิสนั่นเสียแล้ว
ฉันต้องไปคืนฮาร์ดดิสนั่นที่หอสมุดในมหาวิทยาลัย ฝนกำลังเริ่มตกรินๆแต่ฉันก็เดินฝ่าสายฝนมาได้ มันเป็นการตากฝนที่มีความสุขจริงๆ
ตลอดเวลาที่เดิน ฉันได้แต่ยิ้มและขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้ฉันและเขาพบกันอีกครั้ง พระเจ้าช่วยตื่นเต้นมากๆ
เขากำลังเดินขึ้นมาแต่ฉันก็ทำเป็นไม่สนใจ ฉันยื่นฮาร์ดดิสคืนให้เขา และเขาพูดกับฉันแค่2ประโยค ดูแล้วนะ -ไว้คุยกันนะ !
ตอนที่เข้าเดินหันหลังลงบันได้ไป ฉันอยากจะพูดอะไรกับเขาสักคำแต่ก็เหมือนตัวโดนสตาฟไว้
โชคดีที่ฉันหยิบโทรศัพท์มาทันที่จะถ่ายรูปเขาไว้ได้
“ การที่เราได้รู้จักใครสักคน มีความรู้สึกดีๆต่อกัน มันย่อมมีความหมายเสมอ”

ข้อความและรูปนี้ถูกส่งจากมือถือของฉันไปหาเขาโดยไม่มีอาการลังเลใดๆความเงียบและการนั่งรอไลน์ที่ตอบกลับจากเขา
มันช่างทรมานเสียจริง สุดท้ายฉันได้คำตอบมาเพียงว่า-.- ฉันปลอบใจตัวเองว่ามันจบลงแล้วฉันควรตัดใจให้ได้เสียก่อน
จะถึงวันเกิดของตัวเอง14กุมภาพันธ์ ฉันลบไลน์ทิ้งเพื่อที่จะได้ไม่ต้องรอเขาอีกต่อไป..ทุกวันต่อจากนั้นฉันไม่เคยลืมเขาเลย
และมันมากขึ้นเรื่อยๆจนฉันควบคุมความรู้สึกตัวเองไม่ได้ ฉันจึงตัดสินใจโทรไปหาเขาเพื่อที่จะบอกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงๆ
แต่มันก็น่าตลกที่วันนั้นเขาดันปิดมือถือไปอีก55 และเช้าวันถัดมา ขณะที่ฉันกำลังจะเดินไปเรียนตรงทางแยก
วินาทีที่ฉันกำลังยุ่งกับการหาหนังสือในกระเป๋าเสียงทักทายของเขาก็โผล่มาฉันแทบจะกรี๊ดฉันอยากวิ่งหนีให้ทัน
หรือหลบไปอีกทางแบบที่เคยทำมา แต่มันก็สายเสียแล้ว ฉันต้องเดินไปพร้อมๆเขา
ระยะทางที่สั้นมากก็กลายเป็นไกลเหลือเกินฉันได้ยินแค่เสียงหัวใจตัวเองดังมาก ดังเสียจนกลัวเขาได้ยิน
สายตาฉันมองตรงไปแค่พื้นข้างหน้าเท่านั้น เพราะฉันกลัวที่จะมองหน้าเขาอีกครั้ง ขณะที่ฉันนั่งเรียนในวันเดียวกัน
ฉันก็ได้รับขอความตอบกลับจากเขา และ "เขาขอโทษที่ไม่ได้รับสายที่ฉันโทรไปเมื่อคืน” ฉันจึงตอบไปว่า"ไม่เป็นไร
เรื่องนั้นไม่สำคัญแล้วล่ะ วันนี้พอมีเวลาไหมขอเวลาเราสัก10นาทีหน่อยสิ”
เขาตอบว่า เค้ายุ่งมากสะดวกให้ฉันส่งแชทในทวิตเตอร์ไป ซึ่งฉันก็ตอบว่า"โอเค"
ประเด็นสำคัญที่ 1ถ้าคุณอยากจะบอกรักใครสักคน คุณจะบอกยังไง? ฉันอยากแนะนำว่า บอกสิ่งที่ออกมาจากหัวใจคุณจริงๆเถอะ
เพราะมันคือสิ่งที่คุณเป็น และสิ่งที่คุณรู้สึกและคุณจะไม่มีทางรู้คำตอบอย่างแน่ชัดว่า คุณจะกินแห้วมั๊ยถ้าไม่บอก
วันที่13กุมภาพันธ์ ฉันตัดสินใจจะบอกเค้า>>สวัสดีนะ เราว่ามันก็คงตลก และดูงี่เง่าถ้าจะบอกว่าสิ่งที่นายจะได้อ่านต่อจากนี้ มันเป็นเพียงเรื่องราวเล็กๆจากสมุดบันทึกของเราเอง(ถ้าใช้เวลาพูดก็น่าจะ10นาทีแต่นายให้เราพิมพ์แทนก็ได้อยู่แล้วมีทางเลือกที่ไหนล่ะ)
""การชอบใครสักคน อาจไม่ใช่เรื่องยากแต่การที่เราจะบอกใครสักคนว่า เราชอบเค้านั่นสิเป็นเรื่องที่ยากกว่า "" พอจะนึกออกรึยังว่าเรากำลังจะบอกอะไร? ขอโทษถ้าสิ่งที่นายได้อ่านจากนี้ จะทำให้นายรู้สึกไม่ดีเราแค่อยากบอกแค่นั้นจริงๆ(นิ้วจะล็อคล่ะ)วันที่ 15 มกราคม 2556 ""ไม่มีเรื่องบังเอิญที่ทำให้คนสองคนได้พบกันมีแต่ความตั้งใจของคน 2 คน ที่ตรงกัน เราไม่รู้ว่าตลอดเวลานั้นนายรำคาญไหม๊ แต่ถ้ารำคาญ เราขอโทษด้วยจริงๆ มีวันนึง เราเจอนายระหว่างทางด้วยปฏิกิริยาแรกที่เราตอบสนอง คือ หันหลังและวิ่งหนีไปอีกทาง ตลกนะเราวิ่งหนีสิ่งที่เคยอยากได้มานาน ...ทางการแพทย์ อาจนิยามการกระทำทั้งหมดว่า คือ การที่หัวใจเต้นเร็ว
และสมองถึงจุดสุญญากาศทางปัญญา แต่สำหรับเรา สิ่งที่ดูเหมือนว่าปัญญาอ่อนทั้งหมดนี้ คือ
สภาวะการกระทำที่งี่เง่าแบบเฉียบพลัน เมื่อเราเจอใครสักคนที่เรา
ที่เรา...
"" ชอบ"" !
เขาบอกว่า : เราไม่ได้พิเศษอะไรขนาดนั้น
เรา : สำหรับเรา นายไม่ได้พิเศษแค่ 30,35แต่นายพิเศษ99อีกอย่างที่เราขอสารภาพ และต้องขอโทษที่รบกวนนาย
เราใช้อีกเบอร์นึงยิงไปหานายและเบอร์ที่ส่งข้อความไปแฮปปี้วาเลนไทน์ในเดือนมกรา ก็เป็นฝีมือเราเอง
เราแค่จะพิมพ์ร่างไว้ แต่มันดันกดผิด!
"ความหวังแข็งแกร่งกว่าความกลัวเสมอ"นั่นคงเป็นประโยคที่อธิบายได้ว่า ทำไมเรากล้าจะบอกนาย
"การบอกชอบใครสักคน 1%ของความหวังแข็งแกร่งกว่า99% ของความกลัว" เราเคยกลัวนายจะมองเราไม่ดี
แต่ถึงวินาทีนี้แล้ว คงไม่ต้องกลัวไรแล้วล่ะ ขอบคุณที่แนะนำให้รู้จักการแอบชอบ
เรายอมรับว่ามันยากกว่าการเขียนเปเปอร์มากๆ เพราะนอกจากมันจะต้องใช้ความกล้า หน้าด้าน
มันยังต้องใช้"ความรู้สึก"มากด้วย ขอบคุณ
เขา:"เราก็ชอบเธอเหมือนกันนะ”

ฉันวางโทรศัพท์และวิ่งกรี๊ดไปรอบห้องเขาชอบฉันเหมือนกัน มันเป็นความรู้สึกที่สุดยอดจริงๆแต่หลังจากวันนั้นความรู้สึกมันเปลี่ยนไป ...
ประเด็นสำคัญที่2การที่ใครสักคนบอกว่าชอบคุณเหมือนกัน มันไม่ได้หมายความว่า คุณสองคนจะได้คบกัน
หลังจากวันนั้นน่ะเหรอฉันก็ไลน์ไปคุยกับเขาทุกวันแต่สิ่งที่ฉันได้รับการตอบกลับมาทุกครั้งคือ
คำปฎิเสธของการไม่ว่างที่นุ่งนวลทิ่มแทง “ ว่างแต่ขอตัวนะ” “ ไว้คุยกันนะ” และอื่นๆอีกมากมาย
ทั้งๆที่ฉันเพิ่งได้คุยกับเขาแค่ คำว่า สวัสดี และทำอะไรอยู่ฉันแค่อยากรู้จักเขามากขึ้น
แต่เขาไม่ได้เปิดโอกาสให้ฉันเลย แต่สิ่งเดียวที่ทำให้ฉันทนอยู่แบบนั้นเป็นอาทิตย์สองอาทิตย์ก็คือ ความรัก
และสุดท้ายฉันก็เจ็บกับความเย็นชาเสียจน ฉันต้องขอถอนตัวออกมายืนดูเขาอยู่ห่างๆ
ในวันที่7มีนาคมแต่ก่อนที่ฉันจะถอนตัวฉันได้ซื้อดินสอกดแท่งนึงให้เขา พร้อมกระดาษในกล่องที่บรรจุประโยคเล็กๆว่า
“ เราไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทนจากเธอนะ เราแค่ชอบดินสอกดแท่งนี้มาก เหมือนที่เราชอบเธอมาก”
และหลังจากวันนั้น ฉันไม่ได้คุยกับเขาอีกเลยจนเมื่อ
ประเด็นสำคัญที่3คุณไม่มีทางรู้หรอกว่า ฟ้าจะส่งบททดสอบเกี่ยวกับความรักอะไรมาให้คุณอีก คุณมีหน้าที่แค่เผชิญหน้ากับมันให้ดีที่สุด
และอยู่กับมันให้ได้แม้จะเจ็บปวดใจมากก็ตาม วันที่ 3มิถุนายนวันแรกขอการเปิดเรียน ปี3แว้ว
ฉันเดินเข้าห้องเรียนวิชาประวัติศาสตร์ของประเทศนึงอย่างมั่นใจ ฉันมีตัวตนใหม่ที่ตลอดปิดเทอมฉันสร้างมันขึ้นมา
และวินาทีนั้น ฉันค้นพบว่า เขา คนที่ฉันเคยยอมแพ้ คนที่ทำฉันร้องไห้ คนที่ทำให้ฉันกระโดดดีใจ นั่งอยู่ในห้องนั้นด้วย
เขาเรียนวิชานี้กับฉันด้วย? ห้องที่กว้างกลับแคบยิ่งกว่าแคบ อากาศที่พอให้หายใจกลับกลายเป็นสุญญากาศ
ไม่มีที่พอให้ฉันหมุนตัว หรือหลบสายตาเสียด้วยซ้ำ แต่นั่นไม่ใช่ที่สุดของเรื่องนี้หรอก คุณเชื่อฉันสิ
รางวัลพิเศษที่ฉันได้มาอีกก็คือ ฉันต้องนั่งสอบหลังเขา เขาต้องนั่งสอบหน้าฉัน?
พระเจ้ารายชื่อเรากลับไม่มีใครมาคั่นตรงกลาง แล้วฉันควรจะทำยังไง?
สิ่งที่ทำให้ฉันมีน้ำตามากที่สุดอาจจะเป็นเพราะว่า ฉันไม่แน่ใจว่าฉันควรจะดีใจหรือเสียใจดี?
ฉันควรจะดีใจเพราะนี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวหรือโอกาสสุดท้ายที่ฉันจะได้อยู่ใกล้เขาขนาดนี้
หรือฉันควรจะเสียใจที่อยู่ใกล้เขาขนาดนี้ แค่เอื้อมมือ แต่ฉันก็ทำอะไรไม่ได้
สายตาที่เย็นชาคู่นั้นทำให้ฉันอยากหายไปตลอดกาล
มันแปลกนะที่โชคชะตานำเรา2คนให้มาพบกันอีกครั้ง ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้รักกันก็ตาม
ประเด็นประเด็นสำคัญที่4เวลาที่คุณรักใครสักคน มันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าคุณไม่บอกเขา
และคุณจะเสียใจที่สุดถ้าคุณบอกเขาในวันที่สายไป >ตั้งแต่วันที่7มีนาวันสุดท้ายที่ฉันได้คุยกับเขา
ฉันก็เขียนบันทึกตลอดถึงแม้เราจะไม่ได้คุยกันอีกเลยเขียนกระทั่งถึงเมื่อวานนี้
ทุกครั้งที่ฉันพบเขา ฉันอึดอัดใจมากไม่แน่ใจว่าฉันกำลังเจ็บกับอะไร อดีตหรือปัจจุบัน?
วันที่20มิถุนาฉันตัดสินใจจะพูดอะไรกับเขาอีกครั้ง และมันคงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆฉันส่งข้อความไปในแชททวิตเตอร์เหมือนเดิม
อธิบายว่าฉันรู้สึกยังไงที่เราต้องเจอกันอีกครั้ง “ตั้งแต่วันนั้น วันที่ฉันบอกว่าชอบนาย จนวันนี้ฉันเรียกมันว่าความรัก”
ฉันก็ได้รู้ว่า เขาทำดินสอกดที่ฉันซื้อให้หายตั้งนานแล้ว เราคุยอะไรกันมากมาย"เหมือนเดิม”
""ความหวังที่นายเคยให้เรามาอ่ะ ถึงมันจะเป็นความหวังที่เล็กๆแต่มันก็เป็นความหวังที่ทรมานนะ
ฉันบอกเขาแบบนั้นไป เราจบการสนทนาวันนั้นเพราะเขามีงานต้องทำ หลังจากนั้นเขาส่งข้อความนี้มา..
"เราขอโทษนะ เราไม่รู้เธอคิดยังไงกับเราตอนนี้ แต่เรา
มีแฟนแล้ว แต่ไม่ว่าจะยังไง เรายังอยากเป็นเพื่อนกับเธออยู่นะ เราไม่อยากทำลายมิตรภาพที่เธอให้มานะ และเราก็อยากมอบมิตรภาพดีๆให้เธอด้วย เราเป็นเพื่อนกันได้ใช่มั๊ย?”
พระเจ้าน้ำตาฉันไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ฉันไม่ได้ตอบอะไรเขาไป ฉันทรุดลงนั่ง คิดและคิด เราเป็นเพื่อนกันได้ใช่มั๊ย?
ประโยคนี้ไม่น่าจะเจ็บปวดขนาดนี้เวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือน7มีนา–20มิถุนาเขามีแฟนแล้วได้ไง?เร็วไปไหม๊?
เพราะเขาไม่ใช่คนที่จะเปิดใจง่ายขนาดนั้นหรือว่า ที่เขาไม่คุยกับฉันตอนนั้น เพราะเขามีใครอยู่แล้ว
หรือเพราะฉันบอกว่ารัก-ช้าไป?
ฉันเอามือจับที่หัวใจตัวเองอีกครั้ง156 วันที่ฉันเขียนบันทึกให้ผู้ชายคนนึงมันจบลงแล้ว
ฉันไม่รู้จะตอบเขาไปได้ยังไงว่า"เราเป็นเพื่อนกันได้ ดีใจด้วยนะ”เพราะในบันทึกฉันมีแต่คำว่ารักเค้าเต็มไปหมด
ฉันไม่ได้ตอบอะไรทิ้งให้มันเป็นคนถามที่ไม่มีคำตอบต่อไป ฉันได้แต่บอกตัวเองว่ามันจบลงแล้ว จบลงสักที
ถึงแม้จะทำใจไม่ได้ 100%แต่ฉันก็ไม่มีน้ำตา ฉันคงปล่อยให้เวลาและตัวฉันเองรักษาหัวใจให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง
และก้าวเท้าออกไปอย่างมั่นใจเพื่อทำความฝันของฉันให้สำเร็จ
ถ้าเขาได้อ่านกระทู้นี้ฉันหวังว่าเขาคงได้คำตอบทั้งหมดแล้วว่าทำไม ฉันถึงยังเป็นเพื่อนกับเขาไม่ได้
ฉันก็แค่อยากจะบอกทุกคนว่า "ความรัก ก็คือความไม่แน่นอน
ถ้าคุณรักใครหรือแอบชอบใครก็ควรจะบอกเขาเพราะคุณอาจจะได้คำตอบที่ไม่คาดคิด
ถ้าคุณไม่รู้จะบอกรักใครสักคนยังไงให้เชื่อคำที่ออกจากหัวใจคุณ
และถ้าคุณกำลังอกหักจากใครให้คุณเชื่อในคุณค่าและความหมายของตัวเอง
เพราะแท้ที่จริงแล้ว หัวใจของคุณ แกร่งและแข็งแรงกว่าที่คุณคิดไว้
อดีตก็คือความทรงจำ
ปัจจุบันก็คือความจริง
และ
ความรักก็ควรอยู่ในความจริงที่เป็นปัจจุบัน
*ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมัน
*ก้าวออกมาจากความกลัวและความผิดหวังซะ โลกนี้สวยงานกว่าที่คุณคิดนะ

by ดินสอกดสีขาว
ถ้าคุณกำลังตกหลุมรักใครสักคน/อยากบอกรักใครสักคน/อกหักเพราะใครสักคน>>> คุณต้องอ่าน! โปรดอ่าน! กราบเถอะ ไหว้ด้วย
ที่สมควรทำในวันที่ไม่สายไปและจากความรักแล้วฉันจึงได้เรียนรู้ว่า...?
ความทรงจำที่ชัดเจนของฉันครั้งนี้ มันเริ่มต้นที่เดือนมกราคมที่ผ่านมานี้เอง ฉันเป็นเด็กผู้หญิงที่หน้าตาธรรมดามากๆ
ฐานะครอบครัวปานกลางและระดับผลการเรียนอยู่ในอันดับต้นๆของสังคมการเมือง
ณ มหาวิทยาลัยแห่งเสรีภาพแห่งหนึ่งในประเทศไทย
วันที่15มกราคม2556 ฉันก้าวเท้าย่างเดินด้วยความมั่นใจแบบปกติเหมือนที่เคยทำมาโดยตลอด
จนกระทั่งฉันต้องหยุดเดินด้วยเสียงบทสนทนาบทหนึ่งบนเวที ผู้ชายคนนั้นคนที่ฉันหยุดมองและหยุดฟังก็คือ
ผู้ชายที่มีรอยยิ้มและคำพูดที่ทรงพลังมาก ถึงแม้ว่าเค้าจะดูเหมือนคนพูดไม่ค่อยเก่งก็ตาม
ฉันหยิบสมุดบันทึกของตัวเองขึ้นมา “ ฉันว่าฉันกำลังตกหลุมรักนายว่ะ ” ถ้าใครไม่รู้จักฉัน ก็คงจะคิดว่าฉันเป็นพวกใจง่าย
แต่ตรงกันข้ามฉันเป็นคนที่รักคนอื่นยากมาก และไม่เคยเชื่อเรื่องตกหลุมรักมาก่อนเลย
ผู้ชายคนนี้ เขาเป็นเพื่อนร่วมคณะรุ่นเดียวกับฉันเอง เราอยู่กันคนละสาขาและไม่ค่อยได้เรียนวิชาเดียวกัน
ฐานะครอบครัวเขาดีมากหน้าตาดีการแต่งกายดีและฉันสัมผัสได้ว่าเขาเป็นคนจิตใจดี
*เหตุไฉนเล่าเมื่อหัวใจข้าเจ้าสั่งขนาดนี้จะไม่ลงมือทำอะไรสักอย่างเหรอ? เปล่าเลยในคืนเดียวกัน ฉันไลน์ไปหาเขา
เราสองคนคุยกันนานมาก และในที่สุดฉันก็เล็งเห็นโอกาสที่จะได้คุยกับเขาบ่อยขึ้นและรู้จักเขาให้ดียิ่งขึ้น
ผ่านการยืมฮาร์ดดิสของเขาที่มีซีรีย์ที่ฉันอยากดูมากมาย วันที่ฉันต้องก้าวเท้าลงไปจากตึกคณะเพื่อไปรับฮาร์ดดิสกับเขา
ฉันกลับไม่กล้า ฉันชักเท้ากลับ เพราะกลัวว่าความรู้สึกที่ฉันรู้สึกมันจะหลุดออกมาทางสีหน้าและแววตา
ฉันเลยโทรไปบอกให้เพื่อนสนิทลงไปเอาฮาร์ดดิสแทนฉันให้หน่อย สุดท้ายฉันได้ฮาร์ดดิสนั้นมานอนกอดสมใจ
หลังจากนั้นฉันก็ได้คุยไลน์กับเขาบ่อยขึ้นจนกระทั่งวันที่29มกราคมถึงเวลาที่ฉันต้องคืนฮาร์ดดิสนั่นเสียแล้ว
ฉันต้องไปคืนฮาร์ดดิสนั่นที่หอสมุดในมหาวิทยาลัย ฝนกำลังเริ่มตกรินๆแต่ฉันก็เดินฝ่าสายฝนมาได้ มันเป็นการตากฝนที่มีความสุขจริงๆ
ตลอดเวลาที่เดิน ฉันได้แต่ยิ้มและขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้ฉันและเขาพบกันอีกครั้ง พระเจ้าช่วยตื่นเต้นมากๆ
เขากำลังเดินขึ้นมาแต่ฉันก็ทำเป็นไม่สนใจ ฉันยื่นฮาร์ดดิสคืนให้เขา และเขาพูดกับฉันแค่2ประโยค ดูแล้วนะ -ไว้คุยกันนะ !
ตอนที่เข้าเดินหันหลังลงบันได้ไป ฉันอยากจะพูดอะไรกับเขาสักคำแต่ก็เหมือนตัวโดนสตาฟไว้
โชคดีที่ฉันหยิบโทรศัพท์มาทันที่จะถ่ายรูปเขาไว้ได้
“ การที่เราได้รู้จักใครสักคน มีความรู้สึกดีๆต่อกัน มันย่อมมีความหมายเสมอ”
ข้อความและรูปนี้ถูกส่งจากมือถือของฉันไปหาเขาโดยไม่มีอาการลังเลใดๆความเงียบและการนั่งรอไลน์ที่ตอบกลับจากเขา
มันช่างทรมานเสียจริง สุดท้ายฉันได้คำตอบมาเพียงว่า-.- ฉันปลอบใจตัวเองว่ามันจบลงแล้วฉันควรตัดใจให้ได้เสียก่อน
จะถึงวันเกิดของตัวเอง14กุมภาพันธ์ ฉันลบไลน์ทิ้งเพื่อที่จะได้ไม่ต้องรอเขาอีกต่อไป..ทุกวันต่อจากนั้นฉันไม่เคยลืมเขาเลย
และมันมากขึ้นเรื่อยๆจนฉันควบคุมความรู้สึกตัวเองไม่ได้ ฉันจึงตัดสินใจโทรไปหาเขาเพื่อที่จะบอกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงๆ
แต่มันก็น่าตลกที่วันนั้นเขาดันปิดมือถือไปอีก55 และเช้าวันถัดมา ขณะที่ฉันกำลังจะเดินไปเรียนตรงทางแยก
วินาทีที่ฉันกำลังยุ่งกับการหาหนังสือในกระเป๋าเสียงทักทายของเขาก็โผล่มาฉันแทบจะกรี๊ดฉันอยากวิ่งหนีให้ทัน
หรือหลบไปอีกทางแบบที่เคยทำมา แต่มันก็สายเสียแล้ว ฉันต้องเดินไปพร้อมๆเขา
ระยะทางที่สั้นมากก็กลายเป็นไกลเหลือเกินฉันได้ยินแค่เสียงหัวใจตัวเองดังมาก ดังเสียจนกลัวเขาได้ยิน
สายตาฉันมองตรงไปแค่พื้นข้างหน้าเท่านั้น เพราะฉันกลัวที่จะมองหน้าเขาอีกครั้ง ขณะที่ฉันนั่งเรียนในวันเดียวกัน
ฉันก็ได้รับขอความตอบกลับจากเขา และ "เขาขอโทษที่ไม่ได้รับสายที่ฉันโทรไปเมื่อคืน” ฉันจึงตอบไปว่า"ไม่เป็นไร
เรื่องนั้นไม่สำคัญแล้วล่ะ วันนี้พอมีเวลาไหมขอเวลาเราสัก10นาทีหน่อยสิ”
เขาตอบว่า เค้ายุ่งมากสะดวกให้ฉันส่งแชทในทวิตเตอร์ไป ซึ่งฉันก็ตอบว่า"โอเค"
ประเด็นสำคัญที่ 1ถ้าคุณอยากจะบอกรักใครสักคน คุณจะบอกยังไง? ฉันอยากแนะนำว่า บอกสิ่งที่ออกมาจากหัวใจคุณจริงๆเถอะ
เพราะมันคือสิ่งที่คุณเป็น และสิ่งที่คุณรู้สึกและคุณจะไม่มีทางรู้คำตอบอย่างแน่ชัดว่า คุณจะกินแห้วมั๊ยถ้าไม่บอก
วันที่13กุมภาพันธ์ ฉันตัดสินใจจะบอกเค้า>>สวัสดีนะ เราว่ามันก็คงตลก และดูงี่เง่าถ้าจะบอกว่าสิ่งที่นายจะได้อ่านต่อจากนี้ มันเป็นเพียงเรื่องราวเล็กๆจากสมุดบันทึกของเราเอง(ถ้าใช้เวลาพูดก็น่าจะ10นาทีแต่นายให้เราพิมพ์แทนก็ได้อยู่แล้วมีทางเลือกที่ไหนล่ะ)
""การชอบใครสักคน อาจไม่ใช่เรื่องยากแต่การที่เราจะบอกใครสักคนว่า เราชอบเค้านั่นสิเป็นเรื่องที่ยากกว่า "" พอจะนึกออกรึยังว่าเรากำลังจะบอกอะไร? ขอโทษถ้าสิ่งที่นายได้อ่านจากนี้ จะทำให้นายรู้สึกไม่ดีเราแค่อยากบอกแค่นั้นจริงๆ(นิ้วจะล็อคล่ะ)วันที่ 15 มกราคม 2556 ""ไม่มีเรื่องบังเอิญที่ทำให้คนสองคนได้พบกันมีแต่ความตั้งใจของคน 2 คน ที่ตรงกัน เราไม่รู้ว่าตลอดเวลานั้นนายรำคาญไหม๊ แต่ถ้ารำคาญ เราขอโทษด้วยจริงๆ มีวันนึง เราเจอนายระหว่างทางด้วยปฏิกิริยาแรกที่เราตอบสนอง คือ หันหลังและวิ่งหนีไปอีกทาง ตลกนะเราวิ่งหนีสิ่งที่เคยอยากได้มานาน ...ทางการแพทย์ อาจนิยามการกระทำทั้งหมดว่า คือ การที่หัวใจเต้นเร็ว
และสมองถึงจุดสุญญากาศทางปัญญา แต่สำหรับเรา สิ่งที่ดูเหมือนว่าปัญญาอ่อนทั้งหมดนี้ คือ
สภาวะการกระทำที่งี่เง่าแบบเฉียบพลัน เมื่อเราเจอใครสักคนที่เรา
ที่เรา..."" ชอบ"" !
เขาบอกว่า : เราไม่ได้พิเศษอะไรขนาดนั้น
เรา : สำหรับเรา นายไม่ได้พิเศษแค่ 30,35แต่นายพิเศษ99อีกอย่างที่เราขอสารภาพ และต้องขอโทษที่รบกวนนาย
เราใช้อีกเบอร์นึงยิงไปหานายและเบอร์ที่ส่งข้อความไปแฮปปี้วาเลนไทน์ในเดือนมกรา ก็เป็นฝีมือเราเอง
เราแค่จะพิมพ์ร่างไว้ แต่มันดันกดผิด!
"ความหวังแข็งแกร่งกว่าความกลัวเสมอ"นั่นคงเป็นประโยคที่อธิบายได้ว่า ทำไมเรากล้าจะบอกนาย
"การบอกชอบใครสักคน 1%ของความหวังแข็งแกร่งกว่า99% ของความกลัว" เราเคยกลัวนายจะมองเราไม่ดี
แต่ถึงวินาทีนี้แล้ว คงไม่ต้องกลัวไรแล้วล่ะ ขอบคุณที่แนะนำให้รู้จักการแอบชอบ
เรายอมรับว่ามันยากกว่าการเขียนเปเปอร์มากๆ เพราะนอกจากมันจะต้องใช้ความกล้า หน้าด้าน
มันยังต้องใช้"ความรู้สึก"มากด้วย ขอบคุณ
เขา:"เราก็ชอบเธอเหมือนกันนะ”
ฉันวางโทรศัพท์และวิ่งกรี๊ดไปรอบห้องเขาชอบฉันเหมือนกัน มันเป็นความรู้สึกที่สุดยอดจริงๆแต่หลังจากวันนั้นความรู้สึกมันเปลี่ยนไป ...
ประเด็นสำคัญที่2การที่ใครสักคนบอกว่าชอบคุณเหมือนกัน มันไม่ได้หมายความว่า คุณสองคนจะได้คบกัน
หลังจากวันนั้นน่ะเหรอฉันก็ไลน์ไปคุยกับเขาทุกวันแต่สิ่งที่ฉันได้รับการตอบกลับมาทุกครั้งคือ
คำปฎิเสธของการไม่ว่างที่นุ่งนวลทิ่มแทง “ ว่างแต่ขอตัวนะ” “ ไว้คุยกันนะ” และอื่นๆอีกมากมาย
ทั้งๆที่ฉันเพิ่งได้คุยกับเขาแค่ คำว่า สวัสดี และทำอะไรอยู่ฉันแค่อยากรู้จักเขามากขึ้น
แต่เขาไม่ได้เปิดโอกาสให้ฉันเลย แต่สิ่งเดียวที่ทำให้ฉันทนอยู่แบบนั้นเป็นอาทิตย์สองอาทิตย์ก็คือ ความรัก
และสุดท้ายฉันก็เจ็บกับความเย็นชาเสียจน ฉันต้องขอถอนตัวออกมายืนดูเขาอยู่ห่างๆ
ในวันที่7มีนาคมแต่ก่อนที่ฉันจะถอนตัวฉันได้ซื้อดินสอกดแท่งนึงให้เขา พร้อมกระดาษในกล่องที่บรรจุประโยคเล็กๆว่า
“ เราไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทนจากเธอนะ เราแค่ชอบดินสอกดแท่งนี้มาก เหมือนที่เราชอบเธอมาก”
และหลังจากวันนั้น ฉันไม่ได้คุยกับเขาอีกเลยจนเมื่อ
ประเด็นสำคัญที่3คุณไม่มีทางรู้หรอกว่า ฟ้าจะส่งบททดสอบเกี่ยวกับความรักอะไรมาให้คุณอีก คุณมีหน้าที่แค่เผชิญหน้ากับมันให้ดีที่สุด
และอยู่กับมันให้ได้แม้จะเจ็บปวดใจมากก็ตาม วันที่ 3มิถุนายนวันแรกขอการเปิดเรียน ปี3แว้ว
ฉันเดินเข้าห้องเรียนวิชาประวัติศาสตร์ของประเทศนึงอย่างมั่นใจ ฉันมีตัวตนใหม่ที่ตลอดปิดเทอมฉันสร้างมันขึ้นมา
และวินาทีนั้น ฉันค้นพบว่า เขา คนที่ฉันเคยยอมแพ้ คนที่ทำฉันร้องไห้ คนที่ทำให้ฉันกระโดดดีใจ นั่งอยู่ในห้องนั้นด้วย
เขาเรียนวิชานี้กับฉันด้วย? ห้องที่กว้างกลับแคบยิ่งกว่าแคบ อากาศที่พอให้หายใจกลับกลายเป็นสุญญากาศ
ไม่มีที่พอให้ฉันหมุนตัว หรือหลบสายตาเสียด้วยซ้ำ แต่นั่นไม่ใช่ที่สุดของเรื่องนี้หรอก คุณเชื่อฉันสิ
รางวัลพิเศษที่ฉันได้มาอีกก็คือ ฉันต้องนั่งสอบหลังเขา เขาต้องนั่งสอบหน้าฉัน?
พระเจ้ารายชื่อเรากลับไม่มีใครมาคั่นตรงกลาง แล้วฉันควรจะทำยังไง?
สิ่งที่ทำให้ฉันมีน้ำตามากที่สุดอาจจะเป็นเพราะว่า ฉันไม่แน่ใจว่าฉันควรจะดีใจหรือเสียใจดี?
ฉันควรจะดีใจเพราะนี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวหรือโอกาสสุดท้ายที่ฉันจะได้อยู่ใกล้เขาขนาดนี้
หรือฉันควรจะเสียใจที่อยู่ใกล้เขาขนาดนี้ แค่เอื้อมมือ แต่ฉันก็ทำอะไรไม่ได้
สายตาที่เย็นชาคู่นั้นทำให้ฉันอยากหายไปตลอดกาล
มันแปลกนะที่โชคชะตานำเรา2คนให้มาพบกันอีกครั้ง ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้รักกันก็ตาม
ประเด็นประเด็นสำคัญที่4เวลาที่คุณรักใครสักคน มันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าคุณไม่บอกเขา
และคุณจะเสียใจที่สุดถ้าคุณบอกเขาในวันที่สายไป >ตั้งแต่วันที่7มีนาวันสุดท้ายที่ฉันได้คุยกับเขา
ฉันก็เขียนบันทึกตลอดถึงแม้เราจะไม่ได้คุยกันอีกเลยเขียนกระทั่งถึงเมื่อวานนี้
ทุกครั้งที่ฉันพบเขา ฉันอึดอัดใจมากไม่แน่ใจว่าฉันกำลังเจ็บกับอะไร อดีตหรือปัจจุบัน?
วันที่20มิถุนาฉันตัดสินใจจะพูดอะไรกับเขาอีกครั้ง และมันคงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆฉันส่งข้อความไปในแชททวิตเตอร์เหมือนเดิม
อธิบายว่าฉันรู้สึกยังไงที่เราต้องเจอกันอีกครั้ง “ตั้งแต่วันนั้น วันที่ฉันบอกว่าชอบนาย จนวันนี้ฉันเรียกมันว่าความรัก”
ฉันก็ได้รู้ว่า เขาทำดินสอกดที่ฉันซื้อให้หายตั้งนานแล้ว เราคุยอะไรกันมากมาย"เหมือนเดิม”
""ความหวังที่นายเคยให้เรามาอ่ะ ถึงมันจะเป็นความหวังที่เล็กๆแต่มันก็เป็นความหวังที่ทรมานนะ
ฉันบอกเขาแบบนั้นไป เราจบการสนทนาวันนั้นเพราะเขามีงานต้องทำ หลังจากนั้นเขาส่งข้อความนี้มา..
"เราขอโทษนะ เราไม่รู้เธอคิดยังไงกับเราตอนนี้ แต่เรามีแฟนแล้ว แต่ไม่ว่าจะยังไง เรายังอยากเป็นเพื่อนกับเธออยู่นะ เราไม่อยากทำลายมิตรภาพที่เธอให้มานะ และเราก็อยากมอบมิตรภาพดีๆให้เธอด้วย เราเป็นเพื่อนกันได้ใช่มั๊ย?”
พระเจ้าน้ำตาฉันไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ฉันไม่ได้ตอบอะไรเขาไป ฉันทรุดลงนั่ง คิดและคิด เราเป็นเพื่อนกันได้ใช่มั๊ย?
ประโยคนี้ไม่น่าจะเจ็บปวดขนาดนี้เวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือน7มีนา–20มิถุนาเขามีแฟนแล้วได้ไง?เร็วไปไหม๊?
เพราะเขาไม่ใช่คนที่จะเปิดใจง่ายขนาดนั้นหรือว่า ที่เขาไม่คุยกับฉันตอนนั้น เพราะเขามีใครอยู่แล้ว
หรือเพราะฉันบอกว่ารัก-ช้าไป?
ฉันเอามือจับที่หัวใจตัวเองอีกครั้ง156 วันที่ฉันเขียนบันทึกให้ผู้ชายคนนึงมันจบลงแล้ว
ฉันไม่รู้จะตอบเขาไปได้ยังไงว่า"เราเป็นเพื่อนกันได้ ดีใจด้วยนะ”เพราะในบันทึกฉันมีแต่คำว่ารักเค้าเต็มไปหมด
ฉันไม่ได้ตอบอะไรทิ้งให้มันเป็นคนถามที่ไม่มีคำตอบต่อไป ฉันได้แต่บอกตัวเองว่ามันจบลงแล้ว จบลงสักที
ถึงแม้จะทำใจไม่ได้ 100%แต่ฉันก็ไม่มีน้ำตา ฉันคงปล่อยให้เวลาและตัวฉันเองรักษาหัวใจให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง
และก้าวเท้าออกไปอย่างมั่นใจเพื่อทำความฝันของฉันให้สำเร็จ
ถ้าเขาได้อ่านกระทู้นี้ฉันหวังว่าเขาคงได้คำตอบทั้งหมดแล้วว่าทำไม ฉันถึงยังเป็นเพื่อนกับเขาไม่ได้
ฉันก็แค่อยากจะบอกทุกคนว่า "ความรัก ก็คือความไม่แน่นอน
ถ้าคุณรักใครหรือแอบชอบใครก็ควรจะบอกเขาเพราะคุณอาจจะได้คำตอบที่ไม่คาดคิด
ถ้าคุณไม่รู้จะบอกรักใครสักคนยังไงให้เชื่อคำที่ออกจากหัวใจคุณ
และถ้าคุณกำลังอกหักจากใครให้คุณเชื่อในคุณค่าและความหมายของตัวเอง
เพราะแท้ที่จริงแล้ว หัวใจของคุณ แกร่งและแข็งแรงกว่าที่คุณคิดไว้
อดีตก็คือความทรงจำ
ปัจจุบันก็คือความจริง
และความรักก็ควรอยู่ในความจริงที่เป็นปัจจุบัน
*ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมัน
*ก้าวออกมาจากความกลัวและความผิดหวังซะ โลกนี้สวยงานกว่าที่คุณคิดนะ
by ดินสอกดสีขาว