ความสำคัญของการเดินและวิ่งที่มีต่อการออกกำลังกาย
โดย นักรบสายรุ้ง
นักวิ่งจำนวนหนึ่ง เมื่อวิ่งแล้วจะไม่ยอมเดิน
ส่วนนักเดินบางส่วน เมื่อเลือกที่จะใช้การเดินแล้ว ก็จะไม่วิ่ง
ทั้งสองพวก ทำราวกับการวิ่งและการเดินเป็นชนิดกีฬาที่แตกต่างและเป็นปฏิปักษ์กัน
เมื่อเป็นกันอย่างนี้ มีผลทำให้นักก่อการเพื่อสุขภาพทั้งหลาย อดได้ผลดีของพฤติกรรมอีกอย่างที่ตนไม่ได้เลือก
นักวิ่งเข้าใจราวกับว่า การเดินเป็นการทรยศต่อสปิริตนักกีฬา
เมื่อนิยามตนเป็นนักวิ่งและตราบใดที่ฉันยังมีลมหายใจอยู่ ฉันปฏิญาณว่าจะไม่เดินโดยเด็ดขาด
ส่วนนักเดิน มักได้ยินได้ฟังความร้ายกาจของการวิ่งที่ส่งผลลัพธ์ต่อเรือนร่างจากรายที่ฝึกปฏิบัติอย่างไม่ถูกต้องเหมาะสมมาเต็มหู
ตั้งแต่ก่อนมาออกกำลังกายเสียอีก พวกเขาจึงพยายามเท่าที่จะเป็นไปได้หลีกเลี่ยงการวิ่งอย่างสุดความสามารถ
แม้จะผ่านการเดินมาแล้วเป็นปีๆ หรือหลายๆปี ก็ปิดหูไม่ยอมรับคำแนะนำจากนักสรีระวิทยาการออกกำลังกาย
ให้ใช้การวิ่งมาเป็นประโยชน์บ้าง
ทำให้พวกเขาเสียโอกาสที่ควรจะได้อย่างน่าเสียดาย
จะว่าไป.........เป้าหมายการออกกำลังกายของนักเดินก็ยังได้รับอยู่เหมือนกัน
แต่เพื่อนเขาไปรถยนต์บนเครือข่ายถนนแล้ว แต่เรายังโขยกอยู่บนเกวียนเล่มเดิม
พร้อมๆกับคำปลอบใจตัวเองว่า ยังไงๆก็ยังดีกว่าไม่ได้ไปไหนเลย
Walker ยังไงก็ดีกว่า Sedentarian
คนเราควรฉลาดที่จะเลือกอยู่กับบรรดาสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างคัดสรรเฉพาะประโยชน์สูงสุดของสิ่งต่างๆ
จงเลือกเอาประโยชน์จากวิ่ง และเลือกเอาข้อดีของการเดินมาเป็นของตัวเอง และหลีกเลี่ยงที่ทำแล้วให้ผลลบออกไปเสีย
แท้จริงแล้ว....เราไม่ได้ต้องการทั้งเดินหรือวิ่งหรอก เป้าหมายที่เป็นสุดปรารถนาก็คือ “สุขภาพ” ต่างหาก
จุดหมายของพวกเราคือ เผาผลาญแคลลอรี่ สิ่งที่เราเพียรหลีกเลี่ยงให้เจอน้อยที่สุดคือ แพทย์และยา
และสภาพการล้มหมอนนอนเตียง ดังนั้นประเด็นก็คือ เพื่อจะให้ไปถึงเป้าหมายนั้น เราจะต้องทำอย่างไรต่างหาก
ไม่ได้ต้องการความเข้าสังกัดเป็นประชากรวิ่งหรือเดิน แล้วต้องภักดี ทำหน้าที่รับใช้กฎระเบียบ วิ่ง และ วิ่ง
การเดินนั้น แม้จะมีลีลาการเคลื่อนไหวเป็นคล้ายแบบวิ่ง คือสาวเท้าหน้าสลับแขนแกว่งไปมาเพื่อการทรงตัว
แต่การเดินแตกต่างออกไปตรงที่มีเท้าขาหนึ่งขาใดสัมผัสพื้นอยู่ตลอด แต่วิ่งจะมีช่วงหนึ่งช่วงใดที่เหินอยู่กลางอากาศ
จากธรรมชาติประการนี้เอง ทำให้พฤติกรรมวิ่งสร้างแรงสะเทือน ราว 2 – 3 เท่าของน้ำหนักตัว ยามประทบพื้น
ส่วนการเดินก็กระเทือนเหมือนกัน แต่เป็นไปอย่างนิ่มนวลกว่า จงเลือกเอาประโยชน์ของความนิ่มนวล
หรือประโยชน์ของกระแทกให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นตัวตน ณ ช่วงขณะนั้นๆ
เมื่อเป็นหน้าใหม่ต่อวงการ ควรเริ่มที่เดินก่อน เพราะร่างกายแขนขายังอ่อนแอ
ไปสักระยะค่อยๆปรับวิ่งเข้ามาเสริมสลับ ลดเดินไปเพิ่มวิ่ง
แต่อย่าเข้าใจผิดกลับด้านอีกว่า “การกระแทก” เป็นลักษณะด้านลบที่พึงหลีกเลี่ยงเสมอไป
เพราะการกระแทกที่พอดีนี้เองที่ทำให้การวิ่งเป็นชนิดกีฬาที่ยังประโยชน์ให้กับเราในการเพาะสร้าง
ความแข็งแกร่งของมวลกระดูกอย่างยอดเยี่ยม อย่างที่ไม่มีชนิดกีฬาใดในโลกนี้มากเท่า(ในคาบระยะเวลาเท่ากัน)
คำถามเชิงวิเคราะห์สุขภาพเปรียบเทียบระหว่างนักเดินกับนักวิ่งในเรื่องระบบกระดูก จึงชัดเจนว่า วิ่งเป็นคำตอบสุดท้าย
ส่วนในเรื่องการเผาผลาญ การวิ่งก็ยังลอยลำอีก แม้นักเดินจะพยายามเถียงว่า การเดินก็ยังเผาผลาญได้เท่ากัน
แต่เวลาในการฝึกก็คนละเรื่องเลย
เราสามารถให้เวลาได้ชั่วโมงหนึ่งในแต่ละวัน สำหรับออกกำลังกาย เราไม่ได้มีเวลานับอนันต์
ต้องไปซื้อของ ต้องไปรับลูกจากโรงเรียน มีงานบ้านต้องสะสาง ฯลฯ จะให้เดินเพื่อเผาผลาญแคลลอรี่เท่าวิ่ง
ฉันมิต้องเดินถึง 3 ช.ม.ในแต่ละวันหรือ? แม้จะกัดฟันทำได้ แต่จะทำได้ต่อเนื่องทุกวันหรือ?
ทางปฏิบัติไม่เหมือนภาคทฤษฎี นักเดินไม่ควรเสียเวลาถกเถียงในเรื่องนี้
เมื่อการวิ่งต้องการผ่อนพัก และพักฟื้น อีกทั้งยังต้องการทักษะ
ทักษะในการจัดการ เอากรดแลคติกที่สะสมมาแต่การวิ่งออกไปจากระบบ
การเดินจึงมีประโยชน์อย่างยิ่ง การปฏิเสธเดิน จึงไม่ใช่ความฉลาดของนักวิ่งในการจัดการบริหารระบบ
ด้วยเหตุนี้เอง...การเดินจึงจำเป็นสำหรับนักวิ่งตลอดไปทุกระดับสามารถ ไม่เว้นแม้แต่แนวหน้า
ประเด็นอยู่ที่นักก่อการเพื่อสุขภาพต้องหยั่งตัวตนปัจจุบันให้แม่นยำ
ว่าสภาพตอนนี้ขาดอะไรจะได้เติม และล้นอะไรจะได้เอาออก
มือใหม่...ย่อมชัดเจนว่า เดินน่าจะเป็นพฤติกรรมนำร่องนัวตะเข็บ
ระหว่างที่ยังไม่ได้ออกกำลังใดๆเลยกับการวิ่งไม่ให้สะดุด
การเปลี่ยนปุบปับจาก Sedentarian มาเป็น Runner ทันทีมันหนักไป
นี่ยังไม่ได้นับพวกขาใหม่ริวิ่งเร็ว HIIT หรือ Interval Training
ตรงนี้ผมกล้าฟันธงว่าคุณลงเหวแน่ๆร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วย (ขีดเส้นใต้ขาใหม่)
ส่วนนักเดินสิ่งที่คุณได้ทำไปแล้วนานเดือนปีคือผ่านการปูพื้นสำหรับ
การออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพนานเพียงพอแล้ว ณ ปัจจุบันขณะ
คุณมีเรือนร่างที่แกร่งกว่าคนยังไม่เคยออกกำลังมาเลย
สามารถเพิ่มความเข้มข้นได้อย่างน่าจะปลอดภัย
จึงควรเอาประโยชน์จากธรรมชาติตรงนี้มาใช้ด้วยการทยอยเพิ่ม Intensity
ด้วยการวิ่ง(ช้า) สลับลงไป เริ่มจากน้อยก่อน แล้วมากขึ้นๆๆ ขณะที่เวลาเท่าเดิม
เราจะได้การเผาผลาญแคลลอรี่ที่มากขึ้น ลดสถิติโรคภัยในกลุ่มเสี่ยงอีกด้วย
โดยเฉพาะมาราธอน....สำหรับผู้ที่สมัครลงระยะไกลที่มีความสามารถปานกลาง
การเดินควรถูกนำมาใช้ประโยชน์ ปกป้องมิให้ตนเองได้รับบาดเจ็บจากงานหนักต่อเนื่องครั้งนี้
เมื่อเราถือประโยชน์นิยมเป็นใหญ่ ไม่ถือภักดีการวิ่งที่ต้องวิ่งเท่านั้นเป็นตัวตั้ง
เราย่อมได้ประโยชน์จากธรรมชาติอย่างที่มันเป็น
เราจะก้าวหน้าขึ้นในการออกกำลังกาย เราจะได้รับเผาผลาญแคลลอรี่ได้มากขึ้น
และเราจะสามารถลดอัตราเสี่ยงความบาดเจ็บ(จากการออกกำลังกาย)
บางครั้ง เราอาจทำเวลาในสนามมาราธอนดีขึ้น(เวลาที่น้อยลง) กว่าการวิ่งอย่างเดียว...อย่างน่าแปลกใจ
10.22 น. / 6 มิถุนายน 2556
นักวิ่งและนักเดินควรอ่านตรงนี้
โดย นักรบสายรุ้ง
นักวิ่งจำนวนหนึ่ง เมื่อวิ่งแล้วจะไม่ยอมเดิน
ส่วนนักเดินบางส่วน เมื่อเลือกที่จะใช้การเดินแล้ว ก็จะไม่วิ่ง
ทั้งสองพวก ทำราวกับการวิ่งและการเดินเป็นชนิดกีฬาที่แตกต่างและเป็นปฏิปักษ์กัน
เมื่อเป็นกันอย่างนี้ มีผลทำให้นักก่อการเพื่อสุขภาพทั้งหลาย อดได้ผลดีของพฤติกรรมอีกอย่างที่ตนไม่ได้เลือก
นักวิ่งเข้าใจราวกับว่า การเดินเป็นการทรยศต่อสปิริตนักกีฬา
เมื่อนิยามตนเป็นนักวิ่งและตราบใดที่ฉันยังมีลมหายใจอยู่ ฉันปฏิญาณว่าจะไม่เดินโดยเด็ดขาด
ส่วนนักเดิน มักได้ยินได้ฟังความร้ายกาจของการวิ่งที่ส่งผลลัพธ์ต่อเรือนร่างจากรายที่ฝึกปฏิบัติอย่างไม่ถูกต้องเหมาะสมมาเต็มหู
ตั้งแต่ก่อนมาออกกำลังกายเสียอีก พวกเขาจึงพยายามเท่าที่จะเป็นไปได้หลีกเลี่ยงการวิ่งอย่างสุดความสามารถ
แม้จะผ่านการเดินมาแล้วเป็นปีๆ หรือหลายๆปี ก็ปิดหูไม่ยอมรับคำแนะนำจากนักสรีระวิทยาการออกกำลังกาย
ให้ใช้การวิ่งมาเป็นประโยชน์บ้าง
ทำให้พวกเขาเสียโอกาสที่ควรจะได้อย่างน่าเสียดาย
จะว่าไป.........เป้าหมายการออกกำลังกายของนักเดินก็ยังได้รับอยู่เหมือนกัน
แต่เพื่อนเขาไปรถยนต์บนเครือข่ายถนนแล้ว แต่เรายังโขยกอยู่บนเกวียนเล่มเดิม
พร้อมๆกับคำปลอบใจตัวเองว่า ยังไงๆก็ยังดีกว่าไม่ได้ไปไหนเลย
Walker ยังไงก็ดีกว่า Sedentarian
คนเราควรฉลาดที่จะเลือกอยู่กับบรรดาสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างคัดสรรเฉพาะประโยชน์สูงสุดของสิ่งต่างๆ
จงเลือกเอาประโยชน์จากวิ่ง และเลือกเอาข้อดีของการเดินมาเป็นของตัวเอง และหลีกเลี่ยงที่ทำแล้วให้ผลลบออกไปเสีย
แท้จริงแล้ว....เราไม่ได้ต้องการทั้งเดินหรือวิ่งหรอก เป้าหมายที่เป็นสุดปรารถนาก็คือ “สุขภาพ” ต่างหาก
จุดหมายของพวกเราคือ เผาผลาญแคลลอรี่ สิ่งที่เราเพียรหลีกเลี่ยงให้เจอน้อยที่สุดคือ แพทย์และยา
และสภาพการล้มหมอนนอนเตียง ดังนั้นประเด็นก็คือ เพื่อจะให้ไปถึงเป้าหมายนั้น เราจะต้องทำอย่างไรต่างหาก
ไม่ได้ต้องการความเข้าสังกัดเป็นประชากรวิ่งหรือเดิน แล้วต้องภักดี ทำหน้าที่รับใช้กฎระเบียบ วิ่ง และ วิ่ง
การเดินนั้น แม้จะมีลีลาการเคลื่อนไหวเป็นคล้ายแบบวิ่ง คือสาวเท้าหน้าสลับแขนแกว่งไปมาเพื่อการทรงตัว
แต่การเดินแตกต่างออกไปตรงที่มีเท้าขาหนึ่งขาใดสัมผัสพื้นอยู่ตลอด แต่วิ่งจะมีช่วงหนึ่งช่วงใดที่เหินอยู่กลางอากาศ
จากธรรมชาติประการนี้เอง ทำให้พฤติกรรมวิ่งสร้างแรงสะเทือน ราว 2 – 3 เท่าของน้ำหนักตัว ยามประทบพื้น
ส่วนการเดินก็กระเทือนเหมือนกัน แต่เป็นไปอย่างนิ่มนวลกว่า จงเลือกเอาประโยชน์ของความนิ่มนวล
หรือประโยชน์ของกระแทกให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นตัวตน ณ ช่วงขณะนั้นๆ
เมื่อเป็นหน้าใหม่ต่อวงการ ควรเริ่มที่เดินก่อน เพราะร่างกายแขนขายังอ่อนแอ
ไปสักระยะค่อยๆปรับวิ่งเข้ามาเสริมสลับ ลดเดินไปเพิ่มวิ่ง
แต่อย่าเข้าใจผิดกลับด้านอีกว่า “การกระแทก” เป็นลักษณะด้านลบที่พึงหลีกเลี่ยงเสมอไป
เพราะการกระแทกที่พอดีนี้เองที่ทำให้การวิ่งเป็นชนิดกีฬาที่ยังประโยชน์ให้กับเราในการเพาะสร้าง
ความแข็งแกร่งของมวลกระดูกอย่างยอดเยี่ยม อย่างที่ไม่มีชนิดกีฬาใดในโลกนี้มากเท่า(ในคาบระยะเวลาเท่ากัน)
คำถามเชิงวิเคราะห์สุขภาพเปรียบเทียบระหว่างนักเดินกับนักวิ่งในเรื่องระบบกระดูก จึงชัดเจนว่า วิ่งเป็นคำตอบสุดท้าย
ส่วนในเรื่องการเผาผลาญ การวิ่งก็ยังลอยลำอีก แม้นักเดินจะพยายามเถียงว่า การเดินก็ยังเผาผลาญได้เท่ากัน
แต่เวลาในการฝึกก็คนละเรื่องเลย
เราสามารถให้เวลาได้ชั่วโมงหนึ่งในแต่ละวัน สำหรับออกกำลังกาย เราไม่ได้มีเวลานับอนันต์
ต้องไปซื้อของ ต้องไปรับลูกจากโรงเรียน มีงานบ้านต้องสะสาง ฯลฯ จะให้เดินเพื่อเผาผลาญแคลลอรี่เท่าวิ่ง
ฉันมิต้องเดินถึง 3 ช.ม.ในแต่ละวันหรือ? แม้จะกัดฟันทำได้ แต่จะทำได้ต่อเนื่องทุกวันหรือ?
ทางปฏิบัติไม่เหมือนภาคทฤษฎี นักเดินไม่ควรเสียเวลาถกเถียงในเรื่องนี้
เมื่อการวิ่งต้องการผ่อนพัก และพักฟื้น อีกทั้งยังต้องการทักษะ
ทักษะในการจัดการ เอากรดแลคติกที่สะสมมาแต่การวิ่งออกไปจากระบบ
การเดินจึงมีประโยชน์อย่างยิ่ง การปฏิเสธเดิน จึงไม่ใช่ความฉลาดของนักวิ่งในการจัดการบริหารระบบ
ด้วยเหตุนี้เอง...การเดินจึงจำเป็นสำหรับนักวิ่งตลอดไปทุกระดับสามารถ ไม่เว้นแม้แต่แนวหน้า
ประเด็นอยู่ที่นักก่อการเพื่อสุขภาพต้องหยั่งตัวตนปัจจุบันให้แม่นยำ
ว่าสภาพตอนนี้ขาดอะไรจะได้เติม และล้นอะไรจะได้เอาออก
มือใหม่...ย่อมชัดเจนว่า เดินน่าจะเป็นพฤติกรรมนำร่องนัวตะเข็บ
ระหว่างที่ยังไม่ได้ออกกำลังใดๆเลยกับการวิ่งไม่ให้สะดุด
การเปลี่ยนปุบปับจาก Sedentarian มาเป็น Runner ทันทีมันหนักไป
นี่ยังไม่ได้นับพวกขาใหม่ริวิ่งเร็ว HIIT หรือ Interval Training
ตรงนี้ผมกล้าฟันธงว่าคุณลงเหวแน่ๆร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วย (ขีดเส้นใต้ขาใหม่)
ส่วนนักเดินสิ่งที่คุณได้ทำไปแล้วนานเดือนปีคือผ่านการปูพื้นสำหรับ
การออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพนานเพียงพอแล้ว ณ ปัจจุบันขณะ
คุณมีเรือนร่างที่แกร่งกว่าคนยังไม่เคยออกกำลังมาเลย
สามารถเพิ่มความเข้มข้นได้อย่างน่าจะปลอดภัย
จึงควรเอาประโยชน์จากธรรมชาติตรงนี้มาใช้ด้วยการทยอยเพิ่ม Intensity
ด้วยการวิ่ง(ช้า) สลับลงไป เริ่มจากน้อยก่อน แล้วมากขึ้นๆๆ ขณะที่เวลาเท่าเดิม
เราจะได้การเผาผลาญแคลลอรี่ที่มากขึ้น ลดสถิติโรคภัยในกลุ่มเสี่ยงอีกด้วย
โดยเฉพาะมาราธอน....สำหรับผู้ที่สมัครลงระยะไกลที่มีความสามารถปานกลาง
การเดินควรถูกนำมาใช้ประโยชน์ ปกป้องมิให้ตนเองได้รับบาดเจ็บจากงานหนักต่อเนื่องครั้งนี้
เมื่อเราถือประโยชน์นิยมเป็นใหญ่ ไม่ถือภักดีการวิ่งที่ต้องวิ่งเท่านั้นเป็นตัวตั้ง
เราย่อมได้ประโยชน์จากธรรมชาติอย่างที่มันเป็น
เราจะก้าวหน้าขึ้นในการออกกำลังกาย เราจะได้รับเผาผลาญแคลลอรี่ได้มากขึ้น
และเราจะสามารถลดอัตราเสี่ยงความบาดเจ็บ(จากการออกกำลังกาย)
บางครั้ง เราอาจทำเวลาในสนามมาราธอนดีขึ้น(เวลาที่น้อยลง) กว่าการวิ่งอย่างเดียว...อย่างน่าแปลกใจ
10.22 น. / 6 มิถุนายน 2556