นับตั้งแต่การก่อกำเนิดของขบวนการเสื้อเหลือง
การรัฐประหาร กระบวนการตุลาการภิวัฒน์
รัฐธรรมนูญหน้าแหลมฟันดำ
การจัดตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ในค่ายทหาร
ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ได้กำเนิดจากกระบวนการสมรู้ร่วมคิดเพื่อหวังผลประการเดียว
หลังรัฐประหาร ขบวนการเสื้อเหลือง ได้รับการอวยยศ อำนาจเข้าสู่บอร์ดรัฐวิสาหกิจ
ได้เวลาจัดรายการทั้งในสถานีโทรทัศน์ และวิทยุ
หลังรัฐประหาร มีการยุบศาลรัฐธรรมนูญ ชุดเดิม และแต่งตั้ง ตุลาการรัฐธรรมนูญชุดใหม่ ตลอดเวลาฝ่ายตุลาการยืนยันว่าตัวเองสะอาดบริสุทธิ ทำไมต้องยุบชุดเดิมทิ้ง การตั้งตุลาการชุดใหม่โดย คณะรัฐประหาร นั้นแสดงว่้าตั้งธงไว้แล้ว ว่าตุลาการชุดนี้จะตัดสินคดีไปในทางไหน
รัฐธรรมนูญ ปี 50 เต็มไปด้วย ตัวแทนตุลาการ ตัวแทนทหาร และตัวแทนขบวนการเสื้อเหลือง กฏหมายไขว้อำนาจ เพื่อปกป้องพวกเดียวกัน และโฆษณาชวนเชื้อด้วยถ้อยคำ รับไปก่อน ค่อยไปแก้ที่หลังได้ ( ตอนนี้ใครจะแก้รัฐธรรมนูญกลายเป็นโจรหมด)
ถ้าระบอบทักษิน คือการใช้อำนาจรัฐแบบลุแก่อำนาจ แทรกแทรงไปทุกองค์กร
ขบวนการล้มล้างระบอบทักษิน ก็เลวร้ายยิ่งกว่า เพราะใช้อำนาจที่อยู่เหนือกฏหมาย สร้างองค์กรขึ้นมาใหม่
ยกพวกพ้องตนเองเข้ามาเสวยอำนาจ และสร้างปัญหาใหม่ให้กับสังคม
ขบวนการสมรู้ร่วมคิด ของตุลาการในการทำรัฐประหาร ทำให้สถาบันตุลาการและศาลขาดความน่าเชื่อถือ
การตัดสินคดีความทางการเมือง เต็มไปด้วยข้อกังขา ทั้งในหลักการ และการใช้ดุลพินิจ
การใส่เกียร์ว่าง ของทหารต่อการชุมนุมของพันธมิตร ก่อให้เกิด คนเสื้อแดง เกิดกระบวนการเลียนแบบปิดถนน ยึดสถานทีต่างๆ กลายเป็นเรื่องปกติ กฏหมายขาดความศักดิ์สิทธิ รัฐบาลอภิสิทธิ เมินเฉยต่อการดำเนินคดีเสื้อเหลือง พอๆกับรัฐบาลเพื่อไทย ไม่ใส่ใจจะจัดการกับการชุมนุมของคนเสื้อแดง คนทั้งสองกลุ่ม กำลังสร้างวัฒนธรรม การเรียกร้องสิทธิของตนเอง โดยไปละเมิดสิทธิของคนอื่นๆ ให้เป็นเรื่องชอบธรรม
สื่อมวลชน เลือกข้าง เลือกที่จะทำลายฝ่ายตรงข้าม ทุกวิถีทาง แม้แต่การสร้างเรื่องโกหก หรือยกหางพวกเดียวกันเองมีให้เห็น ทุกสี โดยลืมจรรยาบรรณของสื่อสารมวลชน
สังคมเรากำลังบ่มเพาะความเกลียดชังฝ่ายตรงข้ามโดยไม่มองเหตุผล ไม่ศึกษาข้อมูล เรายินดีที่จะเชื่อทุกข้อความที่ด่าฝ่ายตรงข้ามแล้วกดแชร์ อย่างสนุกมือ ( อย่างคำว่า ขนอม กดกัน มันส์ไหมละ )
ถ้าวันนั้นเราเลือก วิธีการอื่น ตามวิถีประชาธิปไตย โดยไม่ใช้รัฐประหาร เราจะเกลียดกันขนาดนี้ไหม ???
เราได้อะไร หลัง รัฐประหาร ?
การรัฐประหาร กระบวนการตุลาการภิวัฒน์
รัฐธรรมนูญหน้าแหลมฟันดำ
การจัดตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ในค่ายทหาร
ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ได้กำเนิดจากกระบวนการสมรู้ร่วมคิดเพื่อหวังผลประการเดียว
หลังรัฐประหาร ขบวนการเสื้อเหลือง ได้รับการอวยยศ อำนาจเข้าสู่บอร์ดรัฐวิสาหกิจ
ได้เวลาจัดรายการทั้งในสถานีโทรทัศน์ และวิทยุ
หลังรัฐประหาร มีการยุบศาลรัฐธรรมนูญ ชุดเดิม และแต่งตั้ง ตุลาการรัฐธรรมนูญชุดใหม่ ตลอดเวลาฝ่ายตุลาการยืนยันว่าตัวเองสะอาดบริสุทธิ ทำไมต้องยุบชุดเดิมทิ้ง การตั้งตุลาการชุดใหม่โดย คณะรัฐประหาร นั้นแสดงว่้าตั้งธงไว้แล้ว ว่าตุลาการชุดนี้จะตัดสินคดีไปในทางไหน
รัฐธรรมนูญ ปี 50 เต็มไปด้วย ตัวแทนตุลาการ ตัวแทนทหาร และตัวแทนขบวนการเสื้อเหลือง กฏหมายไขว้อำนาจ เพื่อปกป้องพวกเดียวกัน และโฆษณาชวนเชื้อด้วยถ้อยคำ รับไปก่อน ค่อยไปแก้ที่หลังได้ ( ตอนนี้ใครจะแก้รัฐธรรมนูญกลายเป็นโจรหมด)
ถ้าระบอบทักษิน คือการใช้อำนาจรัฐแบบลุแก่อำนาจ แทรกแทรงไปทุกองค์กร
ขบวนการล้มล้างระบอบทักษิน ก็เลวร้ายยิ่งกว่า เพราะใช้อำนาจที่อยู่เหนือกฏหมาย สร้างองค์กรขึ้นมาใหม่
ยกพวกพ้องตนเองเข้ามาเสวยอำนาจ และสร้างปัญหาใหม่ให้กับสังคม
ขบวนการสมรู้ร่วมคิด ของตุลาการในการทำรัฐประหาร ทำให้สถาบันตุลาการและศาลขาดความน่าเชื่อถือ
การตัดสินคดีความทางการเมือง เต็มไปด้วยข้อกังขา ทั้งในหลักการ และการใช้ดุลพินิจ
การใส่เกียร์ว่าง ของทหารต่อการชุมนุมของพันธมิตร ก่อให้เกิด คนเสื้อแดง เกิดกระบวนการเลียนแบบปิดถนน ยึดสถานทีต่างๆ กลายเป็นเรื่องปกติ กฏหมายขาดความศักดิ์สิทธิ รัฐบาลอภิสิทธิ เมินเฉยต่อการดำเนินคดีเสื้อเหลือง พอๆกับรัฐบาลเพื่อไทย ไม่ใส่ใจจะจัดการกับการชุมนุมของคนเสื้อแดง คนทั้งสองกลุ่ม กำลังสร้างวัฒนธรรม การเรียกร้องสิทธิของตนเอง โดยไปละเมิดสิทธิของคนอื่นๆ ให้เป็นเรื่องชอบธรรม
สื่อมวลชน เลือกข้าง เลือกที่จะทำลายฝ่ายตรงข้าม ทุกวิถีทาง แม้แต่การสร้างเรื่องโกหก หรือยกหางพวกเดียวกันเองมีให้เห็น ทุกสี โดยลืมจรรยาบรรณของสื่อสารมวลชน
สังคมเรากำลังบ่มเพาะความเกลียดชังฝ่ายตรงข้ามโดยไม่มองเหตุผล ไม่ศึกษาข้อมูล เรายินดีที่จะเชื่อทุกข้อความที่ด่าฝ่ายตรงข้ามแล้วกดแชร์ อย่างสนุกมือ ( อย่างคำว่า ขนอม กดกัน มันส์ไหมละ )
ถ้าวันนั้นเราเลือก วิธีการอื่น ตามวิถีประชาธิปไตย โดยไม่ใช้รัฐประหาร เราจะเกลียดกันขนาดนี้ไหม ???