ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ควันหลงการกล่าวปาฐกถาของ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี
บนเวทีการประชุมประชาคมประชาธิปไตย ครั้งที่ 7 ที่ประเทศมองโกเลีย
เมื่อ 29 เมษายน ยังคงร้อนระอุไปทั่วทุกอณูการเมืองประเทศไทย
กลายเป็นสปีชที่ "ยิ่งลักษณ์" ถูกฝ่ายตรงข้ามรุมอัด รุมประณามว่า
เอาการเมืองภายในไปประจานบนเวทีโลก เพื่อช่วยเหลือ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร"
อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะพี่ชาย
เป็นการปลุกกระแสความขัดแย้งระหว่าง 3 เสาหลักของระบอบประชาธิปไตย อันประกอบด้วย
ฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ ให้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
เนื่องจากด้านหนึ่ง "ยิ่งลักษณ์" เป็น "ประมุขฝ่ายบริหาร" ในฐานะนายกรัฐมนตรี
ปาฐกถาพาดพิงถึงกระบวนการ "ตุลาการ" และองค์กรอิสระของไทย อย่างเผ็ดร้อน
ด้านหนึ่งพรรคเพื่อไทยที่ "ยิ่งลักษณ์" สังกัดภายใต้บัญชีรายชื่อหมายเลข 1
กุมเสียงข้างมากฝ่ายนิติบัญญัติ
ซึ่งขณะนี้กำลังเปิดฉากสงครามกับฝ่ายตุลาการอย่างดุเดือด
ตอนหนึ่งในสปีชร้อนดังกล่าว
"ยิ่งลักษณ์" กล่าวว่า "ดิฉันได้รับการเลือกตั้งด้วยเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ
แต่เรื่องราวนั้นยังไม่จบ มีความชัดเจนว่า
ผู้ที่มีปฏิกิริยาต่อต้านประชาธิปไตยยังคงอยู่ รัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นในรัฐบาลภายใต้
คณะรัฐประหารได้ใส่กลไกที่ตีกรอบเพื่อจำกัดความเป็นประชาธิปไตย"
"ตัวอย่างหนึ่งที่ดีในประเด็นนี้จะเห็นได้จากที่จำนวนครึ่งหนึ่งของวุฒิสภาไทยมาจากการ
เลือกตั้ง แต่อีกครึ่งหนึ่งกลับได้รับการแต่งตั้งโดยคนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นกลไก
ที่เรียกว่าองค์กรอิสระได้ใช้อำนาจเกินขอบเขตแทนประชาชนเจ้าของอำนาจที่แท้จริง
เป็นการดำเนินการเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากกว่าเพื่อคนส่วนใหญ่ของสังคม"
"ขอปิดท้ายด้วยการประกาศว่า ดิฉันหวังว่าความเจ็บปวดที่ครอบครัวของดิฉันได้รับ
ที่ครอบครัวของเหยื่อทางการเมืองไทย และครอบครัวของผู้เสียชีวิต 91 คน
ในเหตุการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 ต้องเผชิญ เป็นความเจ็บปวดครั้งสุดท้าย
ของประเทศนี้"
พลันกลับมาเหยียบแผ่นดินเกิด "ยิ่งลักษณ์" เข้าประชุมคณะรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล
ก่อนออกมาชี้แจงต่อสาธารณะว่า
"เวทีที่ไปพูดเป็นเวทีประชาคมเพื่อประชาธิปไตย และกล่าวไว้เพื่อเป็นอุทาหรณ์
ไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก"
"อยากเห็นประเทศเดินไปข้างหน้า ถ้ากระบวนการของเราเป็นประชาธิปไตยในทุกส่วนงาน
และทุกด้าน จะทำให้มีความมั่นใจ โดยเฉพาะนักลงทุนก็จะสบายใจ และประชาชนจะมีโอกาส
มีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน นั่นคือเจตนา"
"ต้องไปฟังดี ๆ อันนี้เป็นเรื่องอุทาหรณ์มากกว่าและเป็นเวทีประชาธิปไตย
ไม่ได้พูดเรื่องอื่นอย่างใด เป็นเฉพาะเวทีนี้ที่จะพูดกัน ต้องไปลองฟัง
เพราะประเทศอื่นก็พูดลักษณะนี้เช่นกัน
และที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการฟอกความผิดให้กับท่านทักษิณนั้น
ไม่ใช่อย่างแน่นอน ดิฉันเองยกเป็นอุทาหรณ์ และไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นี้"
แต่ก็ทำให้ฟากฝั่งพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นำโดย "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" หัวหน้าพรรค
สั่งการให้ "กษิต ภิรมย์" อดีต รมว.ต่างประเทศ ในฐานะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ
ทำหนังสือชี้แจงไปยังองค์กรระหว่างประเทศ
แม้ "ยิ่งลักษณ์" งัดแผน "โลกล้อมไทย" เดินตามรอย "พ.ต.ท.ทักษิณ"
ด้วยการจุดกระแสการเมืองไทยผ่านเวทีโลก
เพื่อชี้ความไม่เข้ารูปเข้ารอยของระบอบประชาธิปไตยในไทย
แต่ในช่วงเวลาเดียวกัน คู่ขัดแย้งอย่างศาลรัฐธรรมนูญ กลับเดินหน้ารับคำร้องของ
"พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม" ส.ว.สรรหา โดยมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 3 ที่ "พล.อ.สมเจตน์"
ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ตามมาตรา 68 ว่า การที่นายสมศักดิ์
เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา กับ ส.ส.และ ส.ว.รวม 312 คน
กระทำการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า
คำร้องดังกล่าวต้องด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรค 2
และข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาวินิจฉัย พ.ศ. 2550
และให้ผู้ถูกร้องทั้ง 312 คน ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลภายใน 15 วัน
หากไม่ยื่นถือว่าไม่ติดใจ
เป็นการรับคำร้องเพิ่มเติมจากคำร้องที่ นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา
ที่ยื่นคำร้องในลักษณะเดียวกันในก่อนหน้านี้
ทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติ อันประกอบด้วย ส.ส. และ ส.ว. ตบเท้าปฏิเสธอำนาจศาล
และไม่ยอมส่งคำชี้แจงตามคำสั่ง
พร้อมทั้งทำจดหมายเปิดผนึก ที่กลั่นออกมาจากมันสมองของ โภคิน พลกุล-ชูศักดิ์
ศิรินิล-พิชิต ชื่นบาน และทีมงาน ภายใต้หัวข้อ
"คัดค้านและไม่ยอมรับการใช้อำนาจที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญของศาลรัฐธรรมนูญ"
ก่อนส่งต่อให้ฝ่ายนิติบัญญัติอ่านจดหมายเปิดดังกล่าว เพื่อตอบโต้การใช้อำนาจเกิน
ขอบเขตของศาล
และร่อนจดหมายไปยังองค์กรอิสระทุกองค์กร แต่ยกเว้นศาลรัฐธรรมนูญ
ซึ่งเป็นคู่กรณี เพราะป้องกันไม่ให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า
จดหมายเปิดผนึกดังกล่าวเป็นหนังสือชี้แจงของฝ่ายนิติบัญญัติ
พร้อมทั้งยืนยันทำหน้าที่เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไป
โดยไม่รับฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น
เนื่องจากเห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนับจากนี้
เป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
เท่ากับว่า... นับจากนี้เป็นต้นไป พรรคเพื่อไทยในฐานะนิติบัญญัติเป็นฝ่ายเปิดเกมรุก
เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญไปจนสุดซอย ตามที่ "พ.ต.ท.ทักษิณ"
สไกป์ผ่านมายังที่ประชุมพรรคเพื่อไทย เพราะที่ผ่านมายอมฝ่ายอำมาตย์มามากแล้ว
ดังนั้น กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราทั้ง 3 ฉบับ
ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของกรรมาธิการ ฝ่ายพรรคเพื่อไทยวางปฏิทิน
แบบสุดซอยไว้ว่า การพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 ร่าง
ในชั้นกรรมาธิการจะต้องกำหนดกรอบเวลาให้เสร็จไล่เลี่ยกัน
หากกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับ
เสร็จทันก่อนการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญในวันที่ 28-30 พฤษภาคม
ก็จะนำเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 2 ต่อจากการพิจารณา ร่าง
พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 ทันที ตามคำสั่ง "พ.ต.ท.ทักษิณ"
หากไม่ทัน ก็จะนำเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 2
ช่วงเปิดประชุมสภาสมัยสามัญทั่วไปช่วงเดือนสิงหาคม
แต่มีการขีดเส้นตายให้มีรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม
มีผลบังคับใช้อย่างช้าที่สุดในต้นปี 2557 และไม่ควรเกินเดือนกุมภาพันธ์
เช่นเดียวกับร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ของ 42 ส.ส.เสื้อแดง พรรคเพื่อไทย
ที่ผ่านมาเลื่อนวาระมาอยู่ในลำดับแรกของการพิจารณา หากเปิดสภา
ในต้นเดือนสิงหาคม ก็จะนำเข้าสู่การพิจารณาทันที
เป็นความต้องการของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" ที่ต้องการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
คู่ขนานไปกับการผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพื่อเลี้ยงฐานเสียงจากคนเสื้อแดงทุก ๆ
ปีก ทุกระดับ ตั้งแต่รากหญ้า ถึงบุคคลระดับนักวิชาการสีแดง
ให้ยังสนับสนุนพรรคเพื่อไทยต่อไป
เป็นเกมการเมืองที่ "วิรัตน์ กัลยาศิริ" หัวหน้าทีมกฎหมาย ปชป.
ตั้งสมมติฐานถึงเหตุที่ทั้งองคาพยพของพรรคเพื่อไทย เคลื่อนไหวทั้งเร็ว
และแรง เพราะต้องการชิงความได้เปรียบในการดำเนินการระยะต่อไป
"มีความเป็นไปได้ว่า เขาต้องการจะเร่งพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 2
ให้ทันช่วงเดือน พ.ค. โดยเฉพาะมาตราที่อยากให้เสร็จก่อนต้องเรื่องสมาชิกวุฒิสภา
เพื่อจะได้ทำเรื่องอื่นได้ง่ายขึ้น"
"ผมยังเชื่อว่าเป้าหมายต่อไป เขาต้องการโละทิ้งองค์กรอิสระที่เป็นปรปักษ์กับเขา
แต่แน่นอนว่าลำพังเสียงข้างมากในสภามิอาจจะกระทำเช่นนั้นได้สำเร็จ
ดังนั้นเขาถึงรีบแลกเปลี่ยนข้อเสนอกับกลุ่ม ส.ว.สายเลือกตั้ง
ที่จะหมดวาระตามรัฐธรรมนูญ 2550 ในช่วงต้นปีหน้า"
"วิรัตน์" บอกว่า หากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตราที่เกี่ยวกับ ส.ว.ผ่านพ้นไปด้วยดี
การดำเนินการเป้าหมายสุดท้ายที่ "ทักษิณ" เคยเฝ้าหวัง อาจดำเนินการได้ง่ายขึ้น
"หากเขาได้กลุ่ม ส.ว.เป็นพวกเดียวกัน ก็น่ากลัวว่าจะสร้างกระแสกดดันองค์กรอิสระ
ได้ไม่ยาก นั่นหมายความว่าคดีความฝั่งเขา ก็อาจจะถูกโละทิ้งตามลำดับ
นั่นย่อมเป็นไปได้ที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับมาง่ายขึ้น"
อย่างไรก็ตาม ฝั่งพรรคเพื่อไทยยังวางโปรแกรมเดินสายชี้แจง
ทั้งเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ-นิรโทษกรรม
ควบคู่กับฉายภาพผลงานด้านเศรษฐกิจไปยังทุกหัวเมืองทั่วประเทศ
วางโปรแกรมไว้ตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม ที่ จ.อุบลราชธานี วันที่ 1 มิถุนายน ที่
จ.เชียงราย วันที่ 2 มิถุนายน จ.เชียงใหม่ วันที่ 8 มิถุนายน ที่ จ.พิษณุโลก วันที่
9 มิถุนายน ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และวันที่ 15 มิถุนายน ที่ จ.ระยอง
และจะมีการเปิดเวทีในกรุงเทพฯและปริมณฑล
และเตรียมเปิดเวทีใหญ่ ครบรอบ 3 ปีเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อเดือนพฤษภาคม
ปี 2553 ที่ยังรอการพิจารณาเรื่องรายละเอียดต่าง ๆ โดยมี "พงศ์เทพ เทพกาญจนา"
รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ศึกษาธิการ เป็นผู้ดูแล
ตั้งเป้าตอกย้ำ-ขยายผล ความไม่ชอบธรรมของศาลรัฐธรรมนูญ
ปลุกมวลชนให้เป็นเกราะป้องกันพรรคเพื่อไทย
แต่ถ้าแผนการทั้งหมดมีอันต้องสะดุด เดินไปไม่ถึงก้นซอยเหมือนที่
"พ.ต.ท.ทักษิณและพวก" ต้องการ
"พ.ต.ท.ทักษิณ" จึงมีคำสั่งผ่านสไกป์ไปยังที่ประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทยว่า ให้
ส.ส.ทุกคนเตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์
เป็นคำสั่งที่ "พ.ต.ท.ทักษิณ" วางหมากบนกระดานอำนาจว่า หากเดินหมากต่อไปแล้วแพ้
ให้ยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ ขอให้การเลือกตั้งครั้งต่อไปกวาด ส.ส.ให้ได้ 325 เสียง
เช่นเดียวกับการสไกป์มายังคณะยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ที่มี "สมชาย วงศ์สวัสดิ์"
อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน แหล่งข่าวในที่ประชุมดังกล่าว ตีความคำพูด
"พ.ต.ท.ทักษิณ" ที่สไกป์มา
ย้ำแผนการเดิมให้เดินเกมนิติบัญญัติของพรรคในเวลานี้จะต้องเป็นปึกแผ่น
สอดคล้องกับที่ "ยิ่งลักษณ์" ไปพูดที่มองโกเลีย
และที่สำคัญกำชับว่าคนในพรรคเพื่อไทยจะต้องไม่ปอดแหก !
ทั้งปาฐกถาของ "ยิ่งลักษณ์" ที่มองโกเลีย อันมีนัยกระชากหน้ากากตุลาการภิวัตน์
และอำมาตย์
ทั้งการสไกป์มายังพรรคเพื่อไทยของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" บอกให้ ส.ส.อย่าปอดแหก
เดินหน้าปรองดอง+แก้รัฐธรรมนูญให้สุดซอย
ล้วนมีนัยที่ร้อนแรงในภาวะที่ฝ่ายนิติบัญญัติปฏิบัติการหักดิบฝ่ายตุลาการทั้งสิ้น
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1367812680&grpid=09&catid=16
หากคุณทักษิณ ยังมีบุคคลทุกระดับยอมรับแบบนี้ ถามว่าฝ่ายตรงข้ามจะทำยังไงดี
ถึงจะลดทอน ความน่าเชื่อถือ นี้ลงไปได้ คงไม่ใช่แบบที่คุณอภิสิทธิ์ บอกเมื่อวาน
ที่บอก
"เลือกตั้งกี่ครี้งก็ไม่พ้นผิด"
หรือที่ ดร.เจิมศักดิ์ ...
ขอให้ศาลรธน. สั่งรัฐบาลยุติการทำงาน......
จับก็ไม่ได้ พูดอะไร ก็ดังไปทั่วโลก ....ทำไงดี .... ขอร้องเขาก็ไม่สนใจ ......
สัญญาณเสียง 2 นายกฯ "ชินวัตร" "ยิ่งลักษณ์" ฟ้องโลก-แฉอำมาตย์ สไกป์ "ทักษิณ" สั่งตาย ส.ส.อย่าปอดแหก
ควันหลงการกล่าวปาฐกถาของ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี
บนเวทีการประชุมประชาคมประชาธิปไตย ครั้งที่ 7 ที่ประเทศมองโกเลีย
เมื่อ 29 เมษายน ยังคงร้อนระอุไปทั่วทุกอณูการเมืองประเทศไทย
กลายเป็นสปีชที่ "ยิ่งลักษณ์" ถูกฝ่ายตรงข้ามรุมอัด รุมประณามว่า
เอาการเมืองภายในไปประจานบนเวทีโลก เพื่อช่วยเหลือ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร"
อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะพี่ชาย
เป็นการปลุกกระแสความขัดแย้งระหว่าง 3 เสาหลักของระบอบประชาธิปไตย อันประกอบด้วย
ฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ ให้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
เนื่องจากด้านหนึ่ง "ยิ่งลักษณ์" เป็น "ประมุขฝ่ายบริหาร" ในฐานะนายกรัฐมนตรี
ปาฐกถาพาดพิงถึงกระบวนการ "ตุลาการ" และองค์กรอิสระของไทย อย่างเผ็ดร้อน
ด้านหนึ่งพรรคเพื่อไทยที่ "ยิ่งลักษณ์" สังกัดภายใต้บัญชีรายชื่อหมายเลข 1
กุมเสียงข้างมากฝ่ายนิติบัญญัติ
ซึ่งขณะนี้กำลังเปิดฉากสงครามกับฝ่ายตุลาการอย่างดุเดือด
ตอนหนึ่งในสปีชร้อนดังกล่าว
"ยิ่งลักษณ์" กล่าวว่า "ดิฉันได้รับการเลือกตั้งด้วยเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ
แต่เรื่องราวนั้นยังไม่จบ มีความชัดเจนว่า
ผู้ที่มีปฏิกิริยาต่อต้านประชาธิปไตยยังคงอยู่ รัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นในรัฐบาลภายใต้
คณะรัฐประหารได้ใส่กลไกที่ตีกรอบเพื่อจำกัดความเป็นประชาธิปไตย"
"ตัวอย่างหนึ่งที่ดีในประเด็นนี้จะเห็นได้จากที่จำนวนครึ่งหนึ่งของวุฒิสภาไทยมาจากการ
เลือกตั้ง แต่อีกครึ่งหนึ่งกลับได้รับการแต่งตั้งโดยคนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นกลไก
ที่เรียกว่าองค์กรอิสระได้ใช้อำนาจเกินขอบเขตแทนประชาชนเจ้าของอำนาจที่แท้จริง
เป็นการดำเนินการเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากกว่าเพื่อคนส่วนใหญ่ของสังคม"
"ขอปิดท้ายด้วยการประกาศว่า ดิฉันหวังว่าความเจ็บปวดที่ครอบครัวของดิฉันได้รับ
ที่ครอบครัวของเหยื่อทางการเมืองไทย และครอบครัวของผู้เสียชีวิต 91 คน
ในเหตุการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 ต้องเผชิญ เป็นความเจ็บปวดครั้งสุดท้าย
ของประเทศนี้"
พลันกลับมาเหยียบแผ่นดินเกิด "ยิ่งลักษณ์" เข้าประชุมคณะรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล
ก่อนออกมาชี้แจงต่อสาธารณะว่า
"เวทีที่ไปพูดเป็นเวทีประชาคมเพื่อประชาธิปไตย และกล่าวไว้เพื่อเป็นอุทาหรณ์
ไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก"
"อยากเห็นประเทศเดินไปข้างหน้า ถ้ากระบวนการของเราเป็นประชาธิปไตยในทุกส่วนงาน
และทุกด้าน จะทำให้มีความมั่นใจ โดยเฉพาะนักลงทุนก็จะสบายใจ และประชาชนจะมีโอกาส
มีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน นั่นคือเจตนา"
"ต้องไปฟังดี ๆ อันนี้เป็นเรื่องอุทาหรณ์มากกว่าและเป็นเวทีประชาธิปไตย
ไม่ได้พูดเรื่องอื่นอย่างใด เป็นเฉพาะเวทีนี้ที่จะพูดกัน ต้องไปลองฟัง
เพราะประเทศอื่นก็พูดลักษณะนี้เช่นกัน
และที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการฟอกความผิดให้กับท่านทักษิณนั้น
ไม่ใช่อย่างแน่นอน ดิฉันเองยกเป็นอุทาหรณ์ และไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นี้"
แต่ก็ทำให้ฟากฝั่งพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นำโดย "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" หัวหน้าพรรค
สั่งการให้ "กษิต ภิรมย์" อดีต รมว.ต่างประเทศ ในฐานะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ
ทำหนังสือชี้แจงไปยังองค์กรระหว่างประเทศ
แม้ "ยิ่งลักษณ์" งัดแผน "โลกล้อมไทย" เดินตามรอย "พ.ต.ท.ทักษิณ"
ด้วยการจุดกระแสการเมืองไทยผ่านเวทีโลก
เพื่อชี้ความไม่เข้ารูปเข้ารอยของระบอบประชาธิปไตยในไทย
แต่ในช่วงเวลาเดียวกัน คู่ขัดแย้งอย่างศาลรัฐธรรมนูญ กลับเดินหน้ารับคำร้องของ
"พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม" ส.ว.สรรหา โดยมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 3 ที่ "พล.อ.สมเจตน์"
ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ตามมาตรา 68 ว่า การที่นายสมศักดิ์
เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา กับ ส.ส.และ ส.ว.รวม 312 คน
กระทำการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า
คำร้องดังกล่าวต้องด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรค 2
และข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาวินิจฉัย พ.ศ. 2550
และให้ผู้ถูกร้องทั้ง 312 คน ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลภายใน 15 วัน
หากไม่ยื่นถือว่าไม่ติดใจ
เป็นการรับคำร้องเพิ่มเติมจากคำร้องที่ นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา
ที่ยื่นคำร้องในลักษณะเดียวกันในก่อนหน้านี้
ทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติ อันประกอบด้วย ส.ส. และ ส.ว. ตบเท้าปฏิเสธอำนาจศาล
และไม่ยอมส่งคำชี้แจงตามคำสั่ง
พร้อมทั้งทำจดหมายเปิดผนึก ที่กลั่นออกมาจากมันสมองของ โภคิน พลกุล-ชูศักดิ์
ศิรินิล-พิชิต ชื่นบาน และทีมงาน ภายใต้หัวข้อ
"คัดค้านและไม่ยอมรับการใช้อำนาจที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญของศาลรัฐธรรมนูญ"
ก่อนส่งต่อให้ฝ่ายนิติบัญญัติอ่านจดหมายเปิดดังกล่าว เพื่อตอบโต้การใช้อำนาจเกิน
ขอบเขตของศาล
และร่อนจดหมายไปยังองค์กรอิสระทุกองค์กร แต่ยกเว้นศาลรัฐธรรมนูญ
ซึ่งเป็นคู่กรณี เพราะป้องกันไม่ให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า
จดหมายเปิดผนึกดังกล่าวเป็นหนังสือชี้แจงของฝ่ายนิติบัญญัติ
พร้อมทั้งยืนยันทำหน้าที่เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไป
โดยไม่รับฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น
เนื่องจากเห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนับจากนี้
เป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
เท่ากับว่า... นับจากนี้เป็นต้นไป พรรคเพื่อไทยในฐานะนิติบัญญัติเป็นฝ่ายเปิดเกมรุก
เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญไปจนสุดซอย ตามที่ "พ.ต.ท.ทักษิณ"
สไกป์ผ่านมายังที่ประชุมพรรคเพื่อไทย เพราะที่ผ่านมายอมฝ่ายอำมาตย์มามากแล้ว
ดังนั้น กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราทั้ง 3 ฉบับ
ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของกรรมาธิการ ฝ่ายพรรคเพื่อไทยวางปฏิทิน
แบบสุดซอยไว้ว่า การพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 ร่าง
ในชั้นกรรมาธิการจะต้องกำหนดกรอบเวลาให้เสร็จไล่เลี่ยกัน
หากกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับ
เสร็จทันก่อนการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญในวันที่ 28-30 พฤษภาคม
ก็จะนำเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 2 ต่อจากการพิจารณา ร่าง
พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 ทันที ตามคำสั่ง "พ.ต.ท.ทักษิณ"
หากไม่ทัน ก็จะนำเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 2
ช่วงเปิดประชุมสภาสมัยสามัญทั่วไปช่วงเดือนสิงหาคม
แต่มีการขีดเส้นตายให้มีรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม
มีผลบังคับใช้อย่างช้าที่สุดในต้นปี 2557 และไม่ควรเกินเดือนกุมภาพันธ์
เช่นเดียวกับร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ของ 42 ส.ส.เสื้อแดง พรรคเพื่อไทย
ที่ผ่านมาเลื่อนวาระมาอยู่ในลำดับแรกของการพิจารณา หากเปิดสภา
ในต้นเดือนสิงหาคม ก็จะนำเข้าสู่การพิจารณาทันที
เป็นความต้องการของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" ที่ต้องการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
คู่ขนานไปกับการผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพื่อเลี้ยงฐานเสียงจากคนเสื้อแดงทุก ๆ
ปีก ทุกระดับ ตั้งแต่รากหญ้า ถึงบุคคลระดับนักวิชาการสีแดง
ให้ยังสนับสนุนพรรคเพื่อไทยต่อไป
เป็นเกมการเมืองที่ "วิรัตน์ กัลยาศิริ" หัวหน้าทีมกฎหมาย ปชป.
ตั้งสมมติฐานถึงเหตุที่ทั้งองคาพยพของพรรคเพื่อไทย เคลื่อนไหวทั้งเร็ว
และแรง เพราะต้องการชิงความได้เปรียบในการดำเนินการระยะต่อไป
"มีความเป็นไปได้ว่า เขาต้องการจะเร่งพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 2
ให้ทันช่วงเดือน พ.ค. โดยเฉพาะมาตราที่อยากให้เสร็จก่อนต้องเรื่องสมาชิกวุฒิสภา
เพื่อจะได้ทำเรื่องอื่นได้ง่ายขึ้น"
"ผมยังเชื่อว่าเป้าหมายต่อไป เขาต้องการโละทิ้งองค์กรอิสระที่เป็นปรปักษ์กับเขา
แต่แน่นอนว่าลำพังเสียงข้างมากในสภามิอาจจะกระทำเช่นนั้นได้สำเร็จ
ดังนั้นเขาถึงรีบแลกเปลี่ยนข้อเสนอกับกลุ่ม ส.ว.สายเลือกตั้ง
ที่จะหมดวาระตามรัฐธรรมนูญ 2550 ในช่วงต้นปีหน้า"
"วิรัตน์" บอกว่า หากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตราที่เกี่ยวกับ ส.ว.ผ่านพ้นไปด้วยดี
การดำเนินการเป้าหมายสุดท้ายที่ "ทักษิณ" เคยเฝ้าหวัง อาจดำเนินการได้ง่ายขึ้น
"หากเขาได้กลุ่ม ส.ว.เป็นพวกเดียวกัน ก็น่ากลัวว่าจะสร้างกระแสกดดันองค์กรอิสระ
ได้ไม่ยาก นั่นหมายความว่าคดีความฝั่งเขา ก็อาจจะถูกโละทิ้งตามลำดับ
นั่นย่อมเป็นไปได้ที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับมาง่ายขึ้น"
อย่างไรก็ตาม ฝั่งพรรคเพื่อไทยยังวางโปรแกรมเดินสายชี้แจง
ทั้งเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ-นิรโทษกรรม
ควบคู่กับฉายภาพผลงานด้านเศรษฐกิจไปยังทุกหัวเมืองทั่วประเทศ
วางโปรแกรมไว้ตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม ที่ จ.อุบลราชธานี วันที่ 1 มิถุนายน ที่
จ.เชียงราย วันที่ 2 มิถุนายน จ.เชียงใหม่ วันที่ 8 มิถุนายน ที่ จ.พิษณุโลก วันที่
9 มิถุนายน ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และวันที่ 15 มิถุนายน ที่ จ.ระยอง
และจะมีการเปิดเวทีในกรุงเทพฯและปริมณฑล
และเตรียมเปิดเวทีใหญ่ ครบรอบ 3 ปีเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อเดือนพฤษภาคม
ปี 2553 ที่ยังรอการพิจารณาเรื่องรายละเอียดต่าง ๆ โดยมี "พงศ์เทพ เทพกาญจนา"
รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ศึกษาธิการ เป็นผู้ดูแล
ตั้งเป้าตอกย้ำ-ขยายผล ความไม่ชอบธรรมของศาลรัฐธรรมนูญ
ปลุกมวลชนให้เป็นเกราะป้องกันพรรคเพื่อไทย
แต่ถ้าแผนการทั้งหมดมีอันต้องสะดุด เดินไปไม่ถึงก้นซอยเหมือนที่
"พ.ต.ท.ทักษิณและพวก" ต้องการ
"พ.ต.ท.ทักษิณ" จึงมีคำสั่งผ่านสไกป์ไปยังที่ประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทยว่า ให้
ส.ส.ทุกคนเตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์
เป็นคำสั่งที่ "พ.ต.ท.ทักษิณ" วางหมากบนกระดานอำนาจว่า หากเดินหมากต่อไปแล้วแพ้
ให้ยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ ขอให้การเลือกตั้งครั้งต่อไปกวาด ส.ส.ให้ได้ 325 เสียง
เช่นเดียวกับการสไกป์มายังคณะยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ที่มี "สมชาย วงศ์สวัสดิ์"
อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน แหล่งข่าวในที่ประชุมดังกล่าว ตีความคำพูด
"พ.ต.ท.ทักษิณ" ที่สไกป์มา
ย้ำแผนการเดิมให้เดินเกมนิติบัญญัติของพรรคในเวลานี้จะต้องเป็นปึกแผ่น
สอดคล้องกับที่ "ยิ่งลักษณ์" ไปพูดที่มองโกเลีย
และที่สำคัญกำชับว่าคนในพรรคเพื่อไทยจะต้องไม่ปอดแหก !
ทั้งปาฐกถาของ "ยิ่งลักษณ์" ที่มองโกเลีย อันมีนัยกระชากหน้ากากตุลาการภิวัตน์
และอำมาตย์
ทั้งการสไกป์มายังพรรคเพื่อไทยของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" บอกให้ ส.ส.อย่าปอดแหก
เดินหน้าปรองดอง+แก้รัฐธรรมนูญให้สุดซอย
ล้วนมีนัยที่ร้อนแรงในภาวะที่ฝ่ายนิติบัญญัติปฏิบัติการหักดิบฝ่ายตุลาการทั้งสิ้น
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1367812680&grpid=09&catid=16
หากคุณทักษิณ ยังมีบุคคลทุกระดับยอมรับแบบนี้ ถามว่าฝ่ายตรงข้ามจะทำยังไงดี
ถึงจะลดทอน ความน่าเชื่อถือ นี้ลงไปได้ คงไม่ใช่แบบที่คุณอภิสิทธิ์ บอกเมื่อวาน
ที่บอก "เลือกตั้งกี่ครี้งก็ไม่พ้นผิด"
หรือที่ ดร.เจิมศักดิ์ ...ขอให้ศาลรธน. สั่งรัฐบาลยุติการทำงาน......
จับก็ไม่ได้ พูดอะไร ก็ดังไปทั่วโลก ....ทำไงดี .... ขอร้องเขาก็ไม่สนใจ ......