สปีชยิ่งลักษณ์ บทพิสูจน์ประชาธิปไตย
รายงานพิเศษ
การปาฐกถาบนเวทีประชาคมประชาธิปไตย ที่มองโกเลีย
เปลี่ยนภาพ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
จาก "สมันน้อย" ทางการเมือง ให้กลายเป็น"นางสิงห์"
เนื้อหาคำปาฐกถา
สะท้อนความไม่สมบูรณ์ของประชาธิปไตยในไทย เนื่องจากถูกตีกรอบจำกัด โดยรัฐธรรมนูญฉบับจากการรัฐ ประหาร 19 ก.ย. 2549
เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ประชาชนและคนเสื้อแดงลุกขึ้นต่อต้าน นำมาสู่เหตุการณ์สลายการชุมนุมในปี 2553 มีผู้บริสุทธิ์ถูกยิงด้วยสไนเปอร์เสียชีวิตเกือบร้อยศพ
ที่สำคัญคือ ถึงพรรคเพื่อไทยจะฝ่าด่านกลไกกับดักดังกล่าวมาได้ ด้วยการคว้าชัยจากการเลือกตั้งในเดือนก.ค.2554 แต่ยังมีความชัดเจนว่า
ผู้ที่มีปฏิกิริยาต่อต้านประชา ธิปไตยยังอยู่
ตัวอย่างประชาธิปไตยที่ไม่สมบูรณ์นี้เห็นได้จากครึ่งหนึ่งของวุฒิสภามาจากการเลือกตั้ง อีก
ครึ่งหนึ่งกลับได้รับการแต่งตั้งโดยกลุ่มคนเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง
ยิ่งกว่านั้น
กลไกองค์กรอิสระ ยังใช้อำนาจเกินขอบเขตแทนประชาชนเจ้าของอำนาจที่แท้จริง ดำเนินการเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากกว่าเพื่อคนส่วนใหญ่ของสังคม
ตรงนี้คือความท้าทายประชาธิปไตยไทยในปัจจุบัน
การปาฐกถาของน.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นที่ถูกอกถูกใจของฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล แต่ก็
สร้างความขุ่นเคืองให้คนอีกกลุ่มที่เคยได้รับผลประโยชน์จากการรัฐประหารของคมช.
เห็นได้จากการที่มีส.ว.จำนวนหนึ่งออกแถลงการณ์เรียกร้องให้น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวขอโทษประชาชนต่อคำปาฐกถาดังกล่าวที่เป็นการบิดเบือน ทำให้สังคมโลกเข้าใจผิดและสร้างความแตกแยกในสังคมไทย
อันเป็นท่าทีเดียวกับซีกฝ่ายพรรคประชา ธิปัตย์ที่เตรียมทำจดหมายเปิดผนึกตอบโต้ปาฐกถาของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ส่งไปยังมองโกเลียและประชาคมโลก
นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการ นายกฯ และ นพ.ทศพร เสรีรักษ์ โฆษกรัฐบาล มองว่า
การทำจดหมายเปิดผนึกชี้แจงตอบโต้การปาฐกถาของนายกฯ เป็นสิทธิของฝ่ายค้านสามารถทำได้
แต่ทำแล้วประชาคมโลกจะเชื่อหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เพราะไม่ว่า
เหตุการณ์รัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 โค่นล้มรัฐบาลทักษิณที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จัดตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่ในค่ายทหาร
กระทั่ง
คำสั่งสลายการชุมนุมประท้วงในเดือนเม.ย.-พ.ค. 2553 ด้วยกระสุนจริงและสไนเปอร์ ทำให้มีคนตาย 99 ศพ บาดเจ็บเกือบ 2,000 คน สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นอยู่ในสายตาของอารยประเทศทั่วโลกตั้งแต่แรก
การโต้แย้งข้อเท็จจริงเหล่านี้ โดยส.ว.สรรหาหรือกลุ่มนักการเมืองที่เคยได้รับผลประโยชน์จากเผด็จการรัฐประหารจะเป็นการประจานตัวเองซ้ำซาก
หรือการปาฐกถาของน.ส.ยิ่งลักษณ์คือการบิดเบือนประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทยหรือไม่ เชื่อว่าสังคมโลกรู้คำตอบดีอยู่แล้ว
การปาฐกถาของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกมองว่าเป็นการแสดงนัยยะสอดคล้องกับสถานการณ์ภายในประเทศขณะนี้ โดยเฉพาะต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
จากจุดเริ่มต้น กรณีศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับ คำร้องคัดค้านการแก้ไขมาตรา 68 ไว้วินิจฉัย ว่าเข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครองประชาธิปไตย มีโทษให้ต้องถูกยุบพรรค ตัดสิทธิการเมืองหรือไม่
สถานการณ์ได้พัฒนาเข้าสู่ขั้นเผชิญหน้าตึงเครียด จนหลายคนวิตกกังวลว่าอาจกลายเป็นชนวนความ ขัดแย้งรุนแรงรอบใหม่
รัฐบาลเพื่อไทยและส.ว.เคย "ถอย" ให้กับศาลรัฐธรรมนูญมาแล้ว
ในการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ที่กำหนดให้มีการเลือกตั้งส.ส.ร.ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ จนกลายเป็นปัญหาค้างคาในรัฐสภา ไม่สามารถลงมติวาระ 3 ได้จนถึงตอนนี้
ตอนนั้นมีนักการเมืองและนักกฎหมายหลายคน ชี้ตรงกันว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับตีความการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเป็นการก้าวก่ายอำนาจรัฐสภาโดยตรง
แต่ที่รัฐบาลเพื่อไทยยอมถอยเพราะไม่อยากให้ความขัดแย้งบานปลาย
ทั้งยัง
เชื่อว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญยังมีทางออกเหลืออยู่ คือการแก้ไขแบบรายมาตราตามที่ศาลรัฐธรรมนูญให้ข้อแนะนำไว้เองว่าสามารถทำได้แต่พอถึงเวลาจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น
ทันทีที่มีผู้ไปยื่นร้องคัดค้านการแก้ไขแบบรายมาตราของรัฐสภา ศาลรัฐธรรมนูญก็มีมติรับไว้วินิจฉัยด้วยเสียงข้างมากที่ไม่เป็นเอกฉันท์
ล่าสุดศาลฯ ยังได้มีมติ 5 ต่อ 3 รับ คำร้องของพล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ไว้เพิ่มเติมอีก 1 คำร้องต่อจากของนายสมชาย แสวงการ และนายบวร ยสินทร
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของฝ่าย ไม่ยอมรับมติศาลรัฐธรรมนูญก็มีความ เข้มข้นไม่แพ้กัน
ไม่ว่าความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทยที่ครั้งนี้ยืนยันเดินหน้าสู้ไม่ถอย โดยอาสาเป็นหัวหอกให้กับสมาชิกรัฐสภา 312 ส.ส.และส.ว.
ออกแถลงการณ์ไม่รับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ
เพราะมั่นใจว่าการรับคำร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภาไว้พิจารณาเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการแบ่งอำนาจ 3 ฝ่าย นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ
การแก้ไขรัฐธรรมนูญถือเป็นอำนาจหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา ตามมาตรา 291
นอกจากนี้
ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่มีอำนาจรับคำร้องตามมาตรา 68 ไว้พิจารณาเองโดยไม่ผ่านการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากอัยการสูงสุด
การพิจารณารับคำร้องของศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 68 เป็นไปโดยเร่งรัด ผิดปกติ ขาดหลักความเสมอภาค ไม่สอดคล้องหลักการตีความกฎหมายและรัฐธรรมนูญ
เป็นมาตรฐานที่ไม่อาจยอมรับได้
และที่ต้องจับตาก็คือม็อบหน้าศาลรัฐธรรมนูญ ครั้งนี้ปักหลักชุมนุมในนามกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ กวป.
ได้ประกาศยกระดับการชุมนุมครั้งใหญ่วันที่ 8 พ.ค.นี้ เพื่อกดดันให้ 9 ตุลาการฯ ยุติบทบาทการทำหน้าที่ ด้วยการลาออกให้ได้
สถานการณ์ขัดแย้งนี้จะเดินต่อไปในทิศทางใด จะคลี่คลาย หรือขึงตึงยิ่งกว่าเดิม คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญคือปัจจัยชี้ขาดสำคัญ
บทบาทศาลรัฐธรรมนูญนับจากนี้ จะเป็นหลักฐานยืนยันได้ดีถึงสิ่งที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวปาฐกถาบนเวทีประชาคมประชาธิปไตยที่มองโกเลีย
เป็นหลักฐานชัดเจนกว่าจดหมายใดๆ ทั้งสิ้น
ที่มา...
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMk56WTRPRE14Tmc9PQ==§ionid=
?????????????????????????????????????
".....กลไกองค์กรอิสระ ยังใช้อำนาจเกินขอบเขตแทนประชาชนเจ้าของอำนาจที่แท้จริง ดำเนินการเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากกว่าเพื่อคนส่วนใหญ่ของสังคม....."
"......เหตุการณ์รัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 โค่นล้มรัฐบาลทักษิณที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จัดตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่ในค่ายทหาร
กระทั่งคำสั่งสลายการชุมนุมประท้วงในเดือนเม.ย.-พ.ค. 2553 ด้วยกระสุนจริงและสไนเปอร์ ทำให้มีคนตาย 99 ศพ บาดเจ็บเกือบ 2,000 คน สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นอยู่ในสายตาของอารยประเทศทั่วโลกตั้งแต่แรก........"
"........การโต้แย้งข้อเท็จจริงเหล่านี้ โดยส.ว.สรรหาหรือกลุ่มนักการเมืองที่เคยได้รับผลประโยชน์จากเผด็จการรัฐประหาร
จะเป็นการประจานตัวเองซ้ำซาก......"
"........
บทบาทศาลรัฐธรรมนูญนับจากนี้ จะเป็นหลักฐานยืนยันได้ดีถึงสิ่งที่น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวปาฐกถาบนเวทีประชาคมประชาธิปไตยที่มองโกเลีย
เป็นหลักฐานชัดเจนกว่าจดหมายใดๆทั้งสิ้น......."
ชัดเจน...ชัดเจน...กับเหตุการณ์ที่เป็นไป
ใครต่อใครอ้าปากก็เห็นลำไส้เน่าๆ
เห็นหมด...ตับ ไต ไส้ พุง กระเพาะ ม้าม กึ๋น ของแต่ละคน
ประจานตัวตนของตนได้อย่างหมดเปลือก แก้ผ้าล่อนจ้อน
เน่าเละเหลือเกินผู้ดีจอมปลอม.....
"สปีชยิ่งลักษณ์ บทพิสูจน์ประชาธิปไตย"..บทพิสูจน์ชัดว่าใครยึดถือระบอบ ปชต.อยู่ในหัวใจ และใครเป็นทาสเผด็จการที่ปล่อยไม่ไป
รายงานพิเศษ
การปาฐกถาบนเวทีประชาคมประชาธิปไตย ที่มองโกเลีย
เปลี่ยนภาพ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จาก "สมันน้อย" ทางการเมือง ให้กลายเป็น"นางสิงห์"
เนื้อหาคำปาฐกถาสะท้อนความไม่สมบูรณ์ของประชาธิปไตยในไทย เนื่องจากถูกตีกรอบจำกัด โดยรัฐธรรมนูญฉบับจากการรัฐ ประหาร 19 ก.ย. 2549
เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ประชาชนและคนเสื้อแดงลุกขึ้นต่อต้าน นำมาสู่เหตุการณ์สลายการชุมนุมในปี 2553 มีผู้บริสุทธิ์ถูกยิงด้วยสไนเปอร์เสียชีวิตเกือบร้อยศพ
ที่สำคัญคือ ถึงพรรคเพื่อไทยจะฝ่าด่านกลไกกับดักดังกล่าวมาได้ ด้วยการคว้าชัยจากการเลือกตั้งในเดือนก.ค.2554 แต่ยังมีความชัดเจนว่า
ผู้ที่มีปฏิกิริยาต่อต้านประชา ธิปไตยยังอยู่
ตัวอย่างประชาธิปไตยที่ไม่สมบูรณ์นี้เห็นได้จากครึ่งหนึ่งของวุฒิสภามาจากการเลือกตั้ง อีกครึ่งหนึ่งกลับได้รับการแต่งตั้งโดยกลุ่มคนเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง
ยิ่งกว่านั้นกลไกองค์กรอิสระ ยังใช้อำนาจเกินขอบเขตแทนประชาชนเจ้าของอำนาจที่แท้จริง ดำเนินการเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากกว่าเพื่อคนส่วนใหญ่ของสังคม
ตรงนี้คือความท้าทายประชาธิปไตยไทยในปัจจุบัน
การปาฐกถาของน.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นที่ถูกอกถูกใจของฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล แต่ก็สร้างความขุ่นเคืองให้คนอีกกลุ่มที่เคยได้รับผลประโยชน์จากการรัฐประหารของคมช.
เห็นได้จากการที่มีส.ว.จำนวนหนึ่งออกแถลงการณ์เรียกร้องให้น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวขอโทษประชาชนต่อคำปาฐกถาดังกล่าวที่เป็นการบิดเบือน ทำให้สังคมโลกเข้าใจผิดและสร้างความแตกแยกในสังคมไทย
อันเป็นท่าทีเดียวกับซีกฝ่ายพรรคประชา ธิปัตย์ที่เตรียมทำจดหมายเปิดผนึกตอบโต้ปาฐกถาของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ส่งไปยังมองโกเลียและประชาคมโลก
นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการ นายกฯ และ นพ.ทศพร เสรีรักษ์ โฆษกรัฐบาล มองว่า
การทำจดหมายเปิดผนึกชี้แจงตอบโต้การปาฐกถาของนายกฯ เป็นสิทธิของฝ่ายค้านสามารถทำได้
แต่ทำแล้วประชาคมโลกจะเชื่อหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เพราะไม่ว่าเหตุการณ์รัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 โค่นล้มรัฐบาลทักษิณที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จัดตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่ในค่ายทหาร
กระทั่งคำสั่งสลายการชุมนุมประท้วงในเดือนเม.ย.-พ.ค. 2553 ด้วยกระสุนจริงและสไนเปอร์ ทำให้มีคนตาย 99 ศพ บาดเจ็บเกือบ 2,000 คน สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นอยู่ในสายตาของอารยประเทศทั่วโลกตั้งแต่แรก
การโต้แย้งข้อเท็จจริงเหล่านี้ โดยส.ว.สรรหาหรือกลุ่มนักการเมืองที่เคยได้รับผลประโยชน์จากเผด็จการรัฐประหารจะเป็นการประจานตัวเองซ้ำซาก
หรือการปาฐกถาของน.ส.ยิ่งลักษณ์คือการบิดเบือนประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทยหรือไม่ เชื่อว่าสังคมโลกรู้คำตอบดีอยู่แล้ว
การปาฐกถาของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกมองว่าเป็นการแสดงนัยยะสอดคล้องกับสถานการณ์ภายในประเทศขณะนี้ โดยเฉพาะต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
จากจุดเริ่มต้น กรณีศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับ คำร้องคัดค้านการแก้ไขมาตรา 68 ไว้วินิจฉัย ว่าเข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครองประชาธิปไตย มีโทษให้ต้องถูกยุบพรรค ตัดสิทธิการเมืองหรือไม่
สถานการณ์ได้พัฒนาเข้าสู่ขั้นเผชิญหน้าตึงเครียด จนหลายคนวิตกกังวลว่าอาจกลายเป็นชนวนความ ขัดแย้งรุนแรงรอบใหม่
รัฐบาลเพื่อไทยและส.ว.เคย "ถอย" ให้กับศาลรัฐธรรมนูญมาแล้ว
ในการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ที่กำหนดให้มีการเลือกตั้งส.ส.ร.ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ จนกลายเป็นปัญหาค้างคาในรัฐสภา ไม่สามารถลงมติวาระ 3 ได้จนถึงตอนนี้
ตอนนั้นมีนักการเมืองและนักกฎหมายหลายคน ชี้ตรงกันว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับตีความการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเป็นการก้าวก่ายอำนาจรัฐสภาโดยตรง
แต่ที่รัฐบาลเพื่อไทยยอมถอยเพราะไม่อยากให้ความขัดแย้งบานปลาย
ทั้งยังเชื่อว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญยังมีทางออกเหลืออยู่ คือการแก้ไขแบบรายมาตราตามที่ศาลรัฐธรรมนูญให้ข้อแนะนำไว้เองว่าสามารถทำได้แต่พอถึงเวลาจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น
ทันทีที่มีผู้ไปยื่นร้องคัดค้านการแก้ไขแบบรายมาตราของรัฐสภา ศาลรัฐธรรมนูญก็มีมติรับไว้วินิจฉัยด้วยเสียงข้างมากที่ไม่เป็นเอกฉันท์
ล่าสุดศาลฯ ยังได้มีมติ 5 ต่อ 3 รับ คำร้องของพล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ไว้เพิ่มเติมอีก 1 คำร้องต่อจากของนายสมชาย แสวงการ และนายบวร ยสินทร
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของฝ่าย ไม่ยอมรับมติศาลรัฐธรรมนูญก็มีความ เข้มข้นไม่แพ้กัน
ไม่ว่าความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทยที่ครั้งนี้ยืนยันเดินหน้าสู้ไม่ถอย โดยอาสาเป็นหัวหอกให้กับสมาชิกรัฐสภา 312 ส.ส.และส.ว.
ออกแถลงการณ์ไม่รับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ
เพราะมั่นใจว่าการรับคำร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภาไว้พิจารณาเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการแบ่งอำนาจ 3 ฝ่าย นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ
การแก้ไขรัฐธรรมนูญถือเป็นอำนาจหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา ตามมาตรา 291
นอกจากนี้ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่มีอำนาจรับคำร้องตามมาตรา 68 ไว้พิจารณาเองโดยไม่ผ่านการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากอัยการสูงสุด
การพิจารณารับคำร้องของศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 68 เป็นไปโดยเร่งรัด ผิดปกติ ขาดหลักความเสมอภาค ไม่สอดคล้องหลักการตีความกฎหมายและรัฐธรรมนูญ
เป็นมาตรฐานที่ไม่อาจยอมรับได้
และที่ต้องจับตาก็คือม็อบหน้าศาลรัฐธรรมนูญ ครั้งนี้ปักหลักชุมนุมในนามกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ กวป.
ได้ประกาศยกระดับการชุมนุมครั้งใหญ่วันที่ 8 พ.ค.นี้ เพื่อกดดันให้ 9 ตุลาการฯ ยุติบทบาทการทำหน้าที่ ด้วยการลาออกให้ได้
สถานการณ์ขัดแย้งนี้จะเดินต่อไปในทิศทางใด จะคลี่คลาย หรือขึงตึงยิ่งกว่าเดิม คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญคือปัจจัยชี้ขาดสำคัญ
บทบาทศาลรัฐธรรมนูญนับจากนี้ จะเป็นหลักฐานยืนยันได้ดีถึงสิ่งที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวปาฐกถาบนเวทีประชาคมประชาธิปไตยที่มองโกเลีย
เป็นหลักฐานชัดเจนกว่าจดหมายใดๆ ทั้งสิ้น
ที่มา...http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMk56WTRPRE14Tmc9PQ==§ionid=
?????????????????????????????????????
".....กลไกองค์กรอิสระ ยังใช้อำนาจเกินขอบเขตแทนประชาชนเจ้าของอำนาจที่แท้จริง ดำเนินการเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากกว่าเพื่อคนส่วนใหญ่ของสังคม....."
"......เหตุการณ์รัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 โค่นล้มรัฐบาลทักษิณที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จัดตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่ในค่ายทหาร
กระทั่งคำสั่งสลายการชุมนุมประท้วงในเดือนเม.ย.-พ.ค. 2553 ด้วยกระสุนจริงและสไนเปอร์ ทำให้มีคนตาย 99 ศพ บาดเจ็บเกือบ 2,000 คน สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นอยู่ในสายตาของอารยประเทศทั่วโลกตั้งแต่แรก........"
"........การโต้แย้งข้อเท็จจริงเหล่านี้ โดยส.ว.สรรหาหรือกลุ่มนักการเมืองที่เคยได้รับผลประโยชน์จากเผด็จการรัฐประหารจะเป็นการประจานตัวเองซ้ำซาก......"
"........บทบาทศาลรัฐธรรมนูญนับจากนี้ จะเป็นหลักฐานยืนยันได้ดีถึงสิ่งที่น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวปาฐกถาบนเวทีประชาคมประชาธิปไตยที่มองโกเลีย เป็นหลักฐานชัดเจนกว่าจดหมายใดๆทั้งสิ้น......."
ชัดเจน...ชัดเจน...กับเหตุการณ์ที่เป็นไป
ใครต่อใครอ้าปากก็เห็นลำไส้เน่าๆ
เห็นหมด...ตับ ไต ไส้ พุง กระเพาะ ม้าม กึ๋น ของแต่ละคน
ประจานตัวตนของตนได้อย่างหมดเปลือก แก้ผ้าล่อนจ้อน
เน่าเละเหลือเกินผู้ดีจอมปลอม.....