มาสมัครสมาชิกสมัชชาปกป้องประชาธิปไตยกันค่ะ

ขอเสียงประชาชนผู้รักระบอบประชาธิปไตยช่วยกันโหวตให้เป็นกระทู้แนะนำ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้สมัครเป็นสมัชชาปกป้องประชาธิปไตยกัน

เราจะร่วมแสดงประชามติแบบสันติและเป็นรูปธรรม เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมอุดมการณ์กับทุกท่านผู้รักประชาธิปไตย ด้วยการสมัครเป็นสมาิชิกสมัชชาปกป้องประชาธิปไตยในวันรัฐธรรมนูญ

เชิญเข้าไปสมัครได้ที่เว็บนี่ได้เลยค่ะ
https://www.facebook.com/Assemblyforthedefenseofdemocracy
หรือส่ง ชื่อ และนามสกุล ของท่านไปที่ email address นี้ค่ะ
AFDD.thailand@gmail.com

(แก้ไขเพื่อเพิ่มอีเมล แอดเดรสค่ะ)

**********************************************
ที่มา เว็บเพจประชาไท
กลุ่มนักวิชาการตั้ง 'สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย' เห็นต่างข้อเสนอ กปปส.-ทปอ. (แถลงการณ์เต็ม)

Tue, 2013-12-10 13:44

ตั้ง ‘สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย’ ประกาศจุดร่วมไม่เห็นด้วยกับการนำสถาบันกษัตริย์มาเกี่ยวการเมือง ให้ทหารแทรกแซงการเมือง ต้องการรักษาและขยายพื้นที่สิทธิเสรีภาพ-พื้นที่ประชาธิปไตย

10 ธ.ค.2556 ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เกษียร เตชะพีระ พวงทอง ภวัครพันธุ์ ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ปิยบุตร แสงกนกกุล และประจักษ์ ก้องกีรติ เป็นตัวแทน สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย (สปป.) ก่อตั้งโดยเครือข่ายนักวิชาการ กว่า 150 คน อ่านแถลงการณ์ โดยมีจุดร่วมเบื้องต้นคือ ไม่เห็นด้วยกับการนำสถาบันกษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการเมือง ไม่เห็นด้วยกับการที่ทหารแทรกแซงการเมือง รักษาและขยายพื้นที่สิทธิเสรีภาพ รักษาและขยายพื้นที่ประชาธิปไตย ทั้งนี้ สปป.แจ้งว่า ประชาชนที่สนใจและเห็นด้วยสามารถร่วมลงชื่อในแถลงการณ์ได้ที่แฟนเพจ สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย (สปป.)

รายละเอียดมีดังนี้



แถลงการณ์สมัชชาปกป้องประชาธิปไตยฉบับที่ 1

“สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย” ซึ่งเป็นการรวมตัวของนักวิชาการ และประชาชนหลากหลายอาชีพ ขอแถลงโต้แย้งประเด็นที่ กปปส. ที่ประชุมอธิการบดี (ทปอ.) และ นักวิชาการจำนวนหนึ่งที่นำเสนอความเห็นไปในทิศทางที่ขัดกับกติกาประชาธิปไตยในภาวะวิกฤติของบ้านเมือง ดังนี้

1. การก่อตั้งสภาประชาชน: ความเคลื่อนไหวที่นำมาสู่การจัดตั้งสภาประชาชน มีที่มาจากการข้อกล่าวหาที่ว่ารัฐบาลและรัฐสภาไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นรัฐบาลและรัฐสภาจึงหมดความชอบธรรม และจำต้องจัดตั้งสภาประชาชนด้วยการอ้างอิงมาตราที่ 3 ของรัฐธรรมนูญ 2550 โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ สมัชชาฯ ขอแถลงว่า กระบวนที่นำมาซึ่งการก่อตั้งสภาประชาชนโดยไม่เข้าสู่กระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยวิถีทางปรกติ ถือว่าไม่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย หลักนิติธรรม และถือว่าเป็นการทำรัฐประหาร ทั้งนี้จำต้องชี้แจงว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ เป็นการขยายอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญโดยไม่มีฐานอำนาจตามรัฐธรรมนูญรองรับ จึงไม่มีผลทางกฏหมาย นอกจากนี้ การอ้างอิงมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญเพื่อจัดตั้งสภาประชาชนนั้น ไม่สามารถทำได้เพราะไม่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เว้นแต่จะต้องเข้าสู่กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเสียก่อน ประการสำคัญ การนำเสนอเรื่องของสภาประชาชนไม่มีความชัดเจนถึงความยืดโยงกับความเป็นตัวแทนของประชาชนไม่คำนึงถึงความเท่าเทียม และความหลากหลายทางความคิด โดยเฉพาะต่อประชาชนที่ไม่ได้เข้าร่วมกับ กปปส.

2. ข้อเสนอให้มีนายกรัฐมนตรีคนกลางหลังการยุบสภา เป็นที่มาจากการตีความรัฐธรรมนูญมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ หรืออาจเรียกง่ายๆว่า “นายกฯคนกลางพระราชทาน” เป็นการพยายามตีความรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นไปตามครรลองของหลักการประชาธิปไตย และละเมิดบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่านายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีภายหลังจากการยุบสภาจะต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่มารับหน้าที่เมื่อการเลือกตั้งเสร็จสิ้นลง อีกทั้งกระบวนการใดๆ ที่ขัดขวางกระบวนการเลือกตั้ง เหนี่ยวรั้งให้การเลือกตั้งล่าช้า หรือสร้างสูญญากาศทางการเมืองถือเป็นการทำลายหลักการประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญเสียเอง นอกจากไม่เป็นคุณต่อการอยู่ร่วมกันในสังคมที่ต้องเคารพในสิทธิมนุษยชน เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ความเท่าเทียม สันติภาพ และอาจนำไปสู่วิกฤติความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นด้วย

3. การแก้ไขรัฐธรรมนูญ สมัชชาปกป้องประชาธิปไตยขอยืนยันว่ารัฐธรรมนูญเป็นกติกาประชาธิปไตยที่ทุกฝ่ายต้องให้ความเคารพ แต่รัฐธรรมนูญนั้นสามารถแก้ไขได้ด้วยเจตจำนงของประชาชนและต้องคำนึงถึงทั้งหลักประชาธิปไตยและหลักการที่ไม่ทำลายสังคมประชาธิปไตยเสียเอง ทั้งนี้หากมีความไม่เห็นพ้องต้องกันถึงกติกาประชาธิปไตยฉบับนี้ ก็สมควรจะร่วมกันหาทางออกที่ได้รับการยอมรับกันทุกฝ่าย สมัชชาฯขอเสนอว่าการร่วมกันออกแบบการทำประชามติในการแก้ไขหรือยืนยันการใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ควรเป็นทางออกของสังคม

วันที่ 10 ธันวาคม 2556

ทั้งนี้ แถลงการณ์ฉบับเต็มของสมัชชาปกป้องประชาธิปไตย (สปป.) มีรายละเอียดดังนี้

แถลงการณ์สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย (สปป.)

ตามที่ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) กลุ่มผู้ชุมนุมที่ใช้ชื่อว่า กปปส. และนักวิชาการจำนวนหนึ่ง เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีกระทำการในทางที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญและไม่เป็นไปตามครรลองของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพื่อมิให้เกิดความสับสนแก่ประชาชนจนอาจนำมาซึ่งวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่หนักหน่วงรุนแรงมากยิ่งขึ้นและป้องกันการทำลายระบอบประชาธิปไตย นักวิชาการ ปัญญาชน นักเขียน นิสิตนักศึกษา ข้าราชการ และบุคคลทั่วไป ซึ่งรวมตัวกันเป็นเครือข่ายในนามของ “สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย” จึงจำเป็นต้องแถลงโต้แย้งในประเด็นดังต่อไปนี้

- ๑ -

การก่อตั้ง “สภาประชาชน”
โดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๓

๑. กปปส. และนักวิชาการจำนวนหนึ่งได้อ้างว่ารัฐสภาและรัฐบาลไม่มีความชอบธรรมและเป็นโมฆะไป เนื่องจากไม่ยอมรับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ประชาชนจึงมีสิทธิต่อต้านรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๖๙ นั้น ข้ออ้างดังกล่าวไม่ถูกต้องและเป็นการจินตนาการที่ไกลเกินไป กล่าวคือ ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่ารัฐสภาหรือรัฐบาลได้ประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ มีเพียงพรรคเพื่อไทยและสมาชิกรัฐสภาบางส่วนที่ได้ประกาศไม่ยอมรับ “คำวินิจฉัย” ของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมในประเด็นที่มาของสมาชิกวุฒิสภา

ในส่วนที่มีผู้อ้างว่ารัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๑๖ วรรคห้าบัญญัติว่า “คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ” ดังนั้น เมื่อรัฐสภาหรือรัฐบาลไม่ยอมรับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ จึงละเมิดรัฐธรรมนูญ ทำให้รัฐสภาหรือรัฐบาลขาดความชอบธรรมและเป็นโมฆะนั้น พวกเราเห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่จะถือได้ว่ามีผลเป็นเด็ดขาดและผูกพันองค์กรอื่นของรัฐนั้น ต้องเป็นคำวินิจฉัยที่ได้ตัดสินไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๑๙๗ และต้องเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบที่รัฐธรรมนูญกำหนด ไม่ใช่เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ซึ่งขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือตามอำเภอใจ

เมื่อกรณีนี้ปรากฏว่าศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องและทำการตัดสิน โดยที่ไม่มีฐานอำนาจตามรัฐธรรมนูญรองรับ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนี้จึงขัดต่อรัฐธรรมนูญ และถือไม่ได้ว่าเป็นคำวินิจฉัยในความหมายของรัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๑๖ วรรคห้า คำวินิจฉัยนี้จึงเสียเปล่าและไม่มีผลทางกฎหมายผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐแต่อย่างใด การอ้างกรณีไม่ยอมรับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเพื่อใช้เป็นเหตุให้ใช้สิทธิในการต่อต้านรัฐบาลจึงยังไม่อาจรับฟังได้

๒. นอกจากนี้ กปปส. และนักวิชาการจำนวนหนึ่งยังได้อ้างต่อไปว่า เมื่อรัฐบาลและรัฐสภาเป็นโมฆะไปแล้ว อำนาจอธิปไตยจึงต้องกลับคืนสู่ประชาชนตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๓ ดังนั้น ประชาชนจึงสามารถใช้อำนาจอธิปไตยโดยตรงเพื่อก่อตั้งสภาประชาชนได้นั้น หากพิจารณาตามรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ประชาชนมีวิธีการแสดงออกซึ่งการใช้อำนาจอธิปไตยโดยตรง ผ่านการออกเสียงประชามติ และการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ตลอดจนใช้อำนาจผ่านองค์กรของรัฐซึ่งมีจุดเชื่อมโยงกับประชาชน

เมื่อพิจารณาบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๓ จะเห็นได้ว่า พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจอธิปไตยของประชาชนผ่านทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ดังนั้น จึงไม่มีกรณีใดตามมาตรา ๓ ที่ให้ประชาชนใช้อำนาจอธิปไตยก่อตั้งสภาประชาชนได้เอง อีกทั้งเมื่อพิจารณารัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ก็ไม่ปรากฏว่ามีบทบัญญัติใดให้อำนาจประชาชนก่อตั้งสภาประชาชนได้ ข้อเสนอดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่คนกลุ่มหนึ่งฉกฉวยแอบอ้างความเป็น “ประชาชน” เพื่อก่อตั้งสภาประชาชนขึ้นเอง โดยปราศจากบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญรองรับและเป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ หากต้องการให้ “สภาประชาชน” เกิดขึ้นได้ มีเพียงวิธีการเดียวเท่านั้น คือ แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญกำหนดให้มีสภาประชาชนขึ้น

ความพยายามก่อตั้งสภาประชาชนขึ้นโดยอาศัยวิธีการอื่น นอกจากการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ  จึงเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ หรือรัฐประหารนั่นเอง

๓. ในส่วนขององค์ประกอบของสภาประชาชนและการได้มาซึ่งสมาชิกสภาประชาชนนั้น แม้ข้อเสนอดังกล่าวจะยังไม่เป็นที่ยุติ แต่ปรากฏให้เห็นจุดร่วมกันประการหนึ่งว่า สภาประชาชนไม่ได้มาจากการเลือกตั้งแต่มาจากการแต่งตั้งบุคคลจากสาขาอาชีพต่างๆ ข้อเสนอเรื่องสภาประชาชนจึงไม่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย

ตรงกันข้าม หากพิจารณาจากข้อเท็จจริงในทางประวัติศาสตร์และการเมืองร่วมสมัย พบว่าสภาประชาชนที่มาจากหลากหลายวิชาชีพเป็นความคิดสืบทอดจากลัทธิ Fascist corporatism ดังที่เคยปรากฏให้เห็นในประเทศอิตาลีในสมัยที่ปกครองโดยเผด็จการฟาสซิสต์ภายใต้การนำของเบนิโต้ มุสโสลินี ซึ่งได้แก้ไขกฎหมายการเลือกตั้งในปี ๑๙๒๘ ให้สภามีที่มาจากการเสนอชื่อของหลากหลายสาขาอาชีพ และสภานี้ก็เป็นกลไกสำคัญที่นำอิตาลีไปสู่รัฐเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จในท้ายที่สุด
l
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่