(นิยาย sci fi ) Avalon project The new fuhrer ตอนจบ

กระทู้สนทนา
ค.ศ. 1939  เยอรมันนี  
เบอร์ลิน  
ในห้องที่ไร้ซึ่งการตกแต่งใดๆ  เฟอร์นิเจอร์ที่ดูมีราดาที่สุดก็มีเพียงโต๊ะทำงาน ที่บนโต๊ะเต็มไปด้วยเอกสารมากมาย ชายผู้หนึ่งกำลังอ่านเอกสารที่อยู่ในมืออย่างคร่ำเคร่ง ชายผู้นั้นร่างเล็ก เมื่อเทียบกับมาตรฐานชาวยุโรปทั่วไป แต่ว่ามีบางอย่าทำให้คนผู้นี้โดดเด่นอยู่เสมอเมื่อเวลาเขาพูด  สุนทรพจน์ของเขาจับใจผู้คนทุกครั้งที่ต้องการ


ผู้นำ....คำๆนี้บางคนอาจไขว่คว้ามาชั่วชีวิต  แต่ก็ไม่ได้มันมา
แต่ทว่า ณ เวลานี้ เขาอยู่เหนือผู้ใด ไม่มีใครขัดขวางเขาได้อีกแล้ว  ผู้คนต่างเรียกเขาว่าผู้นำ  ยกย่องเชิดชูและให้เกียรติ   แม้ว่าเขาสามารถสั่งคนนับล้าน ซ้ายหันขวาหันได้ตามต้องการ แต่แน่นอนคำพูด ของเขาย่อมพาผู้คนนับล้านไปตายได้ด้วยเช่นกัน     ตอนนี้เขากำลังทุกข์ใจ  เขาเงียบขรึมลง ดูแก่ลง  คนรอบข้างเขาต่างเป็นห่วง ไม่ใช่เขาไม่รู้ตัว แต่ทว่าเขาก็ไม่รู้จะทำเช่นไร   เหลืออีกเพียงเก้าวัน  เวลาที่จะต้องตัดสินใจกำลังจะมาถึง
สันติหรือสงคราม
หยุดอยู่แค่นี้  หรือเดินหน้าต่อ  นี่คือคำถามที่เขาเผ้าถามตัวเองนับร้อยๆครั้ง

เขาขอร้องไม่ให้อังกฤษและฝรั่งเศสเข้ามายุ่งเกี่ยวหากเดินหน้าส่งทหารเข้าไปในโปแลนด์ อังกฤษปฏิเสธเขาและฝรั่งเศสก็พร้อมเต็มที่หากจะทำสงคราม  จริงอยู่ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมไว้แล้ว แต่ทว่าสงครามคือคำตอบสุดท้าย
ไม่มีใครที่ต้องการสงคราม  ไม่แม้แต่เขา
เวลาใกล้เข้ามาทุกที และเหลืออีกเพียงเก้าวันเท่านั้น

“ จะดูสักเท่าไหร่  เอกสารนั่นก็ไม่เปลี่ยนเป็นคำว่าตกลงไปได้หรอก “ เสียงเย็นชาดังมาจากทางหน้าต่างทำให้เขาต้องละสายตาจากเอกสารในมือ

จริงอย่างที่พูด เขาอ่านมันมาแทบนับครั้งไม่ถ้วน จนท่องจำมันได้ด้วยซ้ำ เขาถอนหายใจก่อนจะวางเอกสารลง
“คุณมาแล้วหรือ ทำไมไม่แจ้งผมก่อน จะได้บอกทหารยามเปิดทางให้ “
เสียงขึ้นจมูกอย่างดูถูกของคู่สนทนาดังตามมา ก่อนที่จะเอ่ย
“อย่าห่วงเลยไอ้หนู ทหารSSพวกนั้นทำอะไรข้าก็หาได้ไม่ “

เขาถอดแว่นตาออก ก่อนจะหันเก้าอี้ไปทางหน้าต่าง  รอยยิ้มแสนเย็นชานั่นยังคงเหมือนวันแรกที่เขาได้เจอ ผมสีขาว ใบหน้าอ่อนเยาว์ราวเด็กผู้หญิงอายุไม่เกิน15หรือน้อยกว่านั้น ห่างไกลเกินกว่าจะเรียกเขาว่าไอ้หนู
แต่ทว่าเขารู้ดี ผู้หญิงตรงหน้าเขามีอายุมากกว่าไม่รู้กี่เท่า
เขาถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะเอนหลังเข้ากับพนักพิง แล้วเงยหน้ามองเพดาน
“ ผมไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน “แต่ทว่าเขานึกอะไรได้บางอย่าง
“จริงสิคุณเห็นนี่หรือยัง “  เขาลุกจากเก้าอี้ประจำตัว  ก่อนจะเดินไปเลิกผ้าคลุมที่คลุมบางอย่างบนโต๊ะไม้กลางห้อง แบบจำลองขนาดย่อส่วนของเมืองๆหนึ่ง ปรากฏแก่สายตา  


“ นี่ละโยเดีย  ที่ผมจะสร้างขึ้นมาใหม่  ดูสิตรงนี้เป็นโรงหนัง  มีถนนตัดตรงไปที่ศาลาว่ากลาง“ เขาชี้ให้เธอดูแบบจำลองด้วยแววตาราวกับเด็ก   ผู้ชายไม่ว่าจะผ่านไปนานสักเพียงใดก็ยังคงเป็นเด็กน้อย
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เธออดยิ้มที่มุมปากไม่ได้

แต่ทว่า เธอไม่ได้มาเพื่อชมสิ่งนี้ เธอมาเพราะผู้คนที่ถูกทำร้าย และเสียงร่ำไห้
"แม้นข้าอยู่ไกลถึงดามัสกัสแต่ยังรู้ข่าว   เหตุใดจึงสั่งขับไล่พวกยิวกันเล่า  เจ้าคิดทำสิ่งใดกัน  ข้าเห็นผู้คนถูกทหารขับต้อนราวกับหมู  วันนี้สามคราแล้วที่ข้าเห็นทหารฆ่าคนที่ไร้ซึ่งความผิด  ข้าถามพวกมันแล้ว มันตอบว่าเป็นคำสั่งของเจ้า จริงหรือไม่“


ชายคนนั้นหยุดทุกอย่างที่กระทำอยู่ ก่อนจะหันไปมองที่ฝาผนังว่างเปล่า ราวกับมีสิ่งใดน่าสนใจเสียเต็มประดา
"คุณไปจากที่นี่ไปตั้งหลายปี หลายสิ่งเปลี่ยนไป  อีกอย่างผมก็แค่สานต่อสิ่งที่มีคนทำไว้แล้ว "

เธอหรี่ตาลงเล็กน้อย
"คนพวกนั้นหาได้ทำสิ่งใดผิดไม่ "

น้ำเสียงหนักแน่นถูกส่งกลับมา
"ผมก็แค่ทำสิ่งที่ควรทำ  หากพระเจ้าบอกว่าสิ่งที่ผมทำมันผิด  ผมยอมรับมัน เพื่อสวรรค์แห่งใหม่ ที่ชื่อว่าโยเดีย ผมทำได้ทุกอย่าง"

เธอลงมายืนที่พื้นพร้อมกับจับดาบที่นอนสงบนิ่งในฝัก ดาบที่ดื่มเลือดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
"ไอ้หนูรู้ใช่ไหมว่า ข้าสามารถบั่นหัวเจ้า โดยที่เจ้าไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ ชีวิตที่ข้าเคยช่วยเอาไว้ ข้าจะเอาคืนเสียเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ "

"ผมรู้แต่ผมเลือกแล้ว และจะไม่เสียใจ "  ชายผู้นั้นมองตอบกลับมา ด้วยสายตาที่มุ่งมั่น

เธอมองคนที่เธอเคยช่วยชีวิตเอาไว้เมื่อ20ปีก่อน  หากวันนั้นเธอปล่อยให้  เชาตายไปกลางหิมะที่หนาวเย็น
โลกคงไม่พบกับจุดจบ
.....................................




ซ่า!!
น้ำจากถังโครมใหญ่ถูกสาดมาที่หน้าของแทนไท
เจ้าตัวลุกขึ้นครึ่งตัวก่อนจะสะบัดหน้าเพื่อไล่ความมึนงง  แล้วมองไปรอบๆ

ตอนนี้เขาอยู่ที่สนามฝึกสินะ    ฝันอีกแล้วงั้นเหรอ มันเป็นฝันที่เศร้าจับใจ เศร้าจนอยากร้องไห้  เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงฝัน นับตั้งแต่มาอยู่ที่นี่  ความฝันมาเยือนถี่ขึ้นเรื่อยๆ และชัดเจนมากขึ้น
“เจ้าจะนอนไปถึงไหน “  เสียงของครูฝึกที่ฟีเรียสจัดหามาให้ดังตะคอกอยู่หู  

ตั้งแต่วันนั้น ฟีรียสได้จัดให้เขาอยู่ในโรงเรียนอาสาสมัครป้องกันภัย  และยังรับรองสถานะของเขาให้ด้วย  เนืองจากที่โลกนี้หากไม่มีที่มาที่ไปที่ตรวจสอบได้  จะถือเป็นคนเถื่อน  และ จะต้องส่งไปทำงานที่เหมืองผลึกฟาราฟ รึไม่ก็งานกรรมกรอื่นๆ  เขาถูกส่งมาเรียนที่ โรงเรียนอาสาป้องกันภัยในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยน ส่วนฟ้าใส ถูกส่งไปที่โรงเรียนเสนาธิการ  

ซึ่งอดไม่ได้ที่จะมองว่าสบายกว่าเขาเยอะ   นี่คงเป็นความแตกต่างกันระหว่างชายและหญิงสินะ  เขาอดไม่ได้ที่จะน้อยใจในชะตาตัวเองนิดๆ
“อย่ามาสำออย โดนแค่นี้อย่าทำเป็นลุกไม่ขึ้น “ ครุฝึกหน้าโหดตะคอกใส่หูเขาอีกที  ทำให้ต้องลุกขึ้นยืนอย่างเสียไม่ได้
เมื่อหันไปมองมังกรจำลองที่ถูกแขวนไว้บนโครงไม้ขนาดใหญ่ ก็อดถอนหายใจไม่ได้  เขาตกลงมาครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้  มันเป็นไม้ที่จำลองเท่าขนาดมังกรตัวจริง  เบาะหนังถูกสวมไว้ตรงร่องไหล่ของมังกรจำลอง มันถูกทำมาเพื่อฝึกต่อสู้ระยะประชิด โดยมังกรตัวนี้จะถูกเหวี่ยงเป็นชิงช้าโดยที่มีเขานั่งบนหลังมัน  และต้องถือทวนแทงให้ถูกหน้าอกของคู่ซ้อมที่นังบนหลังมังกรจำลองเหมือนกันเพียงแต่อยู่คนละฟาก  ซึ่งอีกฝั่งก็พยายามใช้ทวนแทงเขาให้ตกลงจากหลังมังกรเช่นเดียวกัน

แน่นอนว่า  เขาเป็นฝ่ายที่โดนทวนคู่ซ้อมเพียงฝ่ายเดียว เขามองไปรอบๆ ก็พบผู้ที่ประสบชะตาเดียวกับเขา โดนทวนคู่ต่อสู้แทงตกลงมา   กำลังโดนหามไปพยาบาลผ่านหน้าไป  สนามซ้อมนี้มีคนฝึกไม่ต่ำกว่าสองร้อยคน  ตัวสนามฝึกอยู่ห่างจากตัวเมืองไอร่อนวอล์พอสมควรเนื่องจาก  ภายในเมืองไม่มีที่เพียงพอ   วันนี้เป็นวันที่สองแล้วที่ฝึก

เขาแหวกเกราะอกดูก็พบรอยเขียวจ้ำใหญ่  ที่เกิดจากทวนแทงครั้งแล้วครั้งเล่า  ก่อนพยุงตัวเองขึ้นไปบนหลังมังกรจำลอง  แล้วจะนึกในใจ
“เอาล่ะได้เวลาเจ็บตัวอีกแล้ว ”  ก่อนจะดึงกระบังหน้าหมวกเหล็กที่สวมอยู่   มังกรจำลองถูกดึงไปข้างหลังด้วยรอก

เจ้าหน้าที่ปล่อยตัว จับไหล่เขาก่อนจะเอ่ย
“พร้อมนะ “  เขายกนิ้วโป้งขึ้นเป็นสัญญาณ แต่ทันใดนั้นเอง  เสียงแตร แหลมดังยาวก็ดังมาจากที่ไกลๆ
ทหารคนนึงวิ่งกระหืดกระหอบ วิ่งตรงมายังพวกเขา พร้อมๆกับตะโกนไปด้วย
“ยกเลิกการฝึก!!  ยกเลิกการฝึก!! เตรียมป้องกันภัยทางอากาศ “

ไม่ทันที่จะมีใครได้ถามถึงสาเหตุ  ที่ขอบฟ้าก็พบจุดดำจำนวนมหาศาล  ก่อนที่จุดดำจำนวนหนึ่งจะแยกออกจากกลุ่มและมุ่งมาทางพวกเขา  ส่วนที่เหลือ  ก็มุ่งตรงไปยังเมืองไอร่อนวอลล์
ทันใดนั้นเองครุฝึกที่อยู่ด้านข่างเขาก็ตะโกนสุดเสียง
“นั่นมังกรทิ้งระเบิดทุกคน หมอบลง !! “ จุดดำพวกนั้นเมื่อมันร่อนต่ำลงมา ก็ปรากฏให้เห็นโฉมหน้า
มันคือมังกรที่ด้านหลังลากเกวียนที่ติดปีก  โดยมีมังกรขนาดเล็กกว่า บินขนาบข้าง  ก่อนที่ใต้เกวียนจะเปิดออก ทิ้งบางอย่างลงมาจำนวนเป็นร้อยๆ
ตูม!!  ตูม!! ตูม!!
เสียงกัมปนาท ดังขึ้นติดๆกันนับครั้งไม่ถ้วนเมื่อสิ่งที่ทิ้งลงมา  ทำหน้าที่ของมัน  
พื้นดินสั่นสะเทือน ฝุ่นและควัน เต็มไปทั่วบริเวณ  
ราวกับโลกจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ  แรงสั่นสะเทือนที่แม้จะหมอบอยู่ ก็ยังรู้สึกราวกับตัวเองอยู่บนหลังของยักษ์ที่กำลังสบัดเจ้ามดตัวจ้อยออกจากหลัง
แทนไทเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นอาคารไฟลุกท่วม  ในใจเขาคิดว่าจะไปช่วยคนที่ติดข้างในยังไง  อาคารหลังนั้นก็ถูกระเบิดซ้ำลงมาอีกลูกหนึ่ง จนมันกระจุยเป็นเศษไม้     เขาเห็นคน ที่ห่างเขาไปไม่ไกล  ร่างกระจายเป็นชิ้นเมื่อระเบิดตกลงพอดี
ส่วนอีกคนนั้นลอยราวกับมีมือยักษ์ที่มองไม่เห็นหยิบขึ้นมา   ก่อนจะฉีกกระจายบนอากาศ
เขาหมอบลงให้แนบกับพื้นมาที่สุดเท่าที่จะทำได้   จนบางทีเขาอาจจะได้กินอะไรมีรสชาติของดินไปเป็นอาทิตย์ๆ
ต่อจากนั้น ก็เป็นระเบิดเพลิง ที่เมื่อใกล้ถึงพื้นมันก็ ระเบิดออกกลายเป็นของเหลวติดไฟ เพลิงลุกไหม้สิ่งต่างๆที่มันผ่าน  
ระบิดทิ้งลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง หลังจบระลอกแรกได้ไม่ถึงหายใจดี  มังกรกลุ่มนั้น ก็ย้อนกลับมา ทิ้งระบิดรอบใหม่
เขาเห็นคนที่ไฟลุกท่วมร่างวิ่งผ่านหน้าเขาไป

เห็นผู้ชายคนนึงที่ทักอยู่เมื่อเช้า   แทนไทพยามส่งสัญญาญาณให้ชายคนนั้น คลานมาทางเขาที่มีหินก้อนใหญ่กำบังอยู่
ชายคนนั้น พยามคลานมาทางเขา แต่ได้ไม่ถึงเมตรดี ก็หยุดการเคลื่อนไหว  ตอนแรกแทนไท คิดจะลุกขึ้นไปลากให้ชายคนนั้นมาที่กำบัง    แต่แล้วก็พบว่าเขามีแค่ครึ่งตัว
เสียงระเบิดดังปานฟ้าถล่ม  เมื่อระเบิดลงไปไกลเกินกว่าจะทำอันตรายได้  แต่ก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนราวกับตกลงตรงขา  เสียงหวีดหวิว เมื่อเศษซากอาคาร ที่ถูกทำลายปลิวข้ามไปมา คอยทำร้ายผู้ที่เปลี่ยนใจไม่ยอมหมอบแต่คิดจะวิ่งหนี  ตามด้วยเสียงร้องอย่างทรมานเมื่อคนที่เสื้อผ้าลุกติดไฟ  วิ่งผ่านหน้าไป
ชายคนหนึ่ง  กระโดดลงมาทับเขา  พร้อมกับดวงตาที่โตเป็นไข่ห่าน   แล้วร้องว่าพระเจ้าช่วยๆ  แม้ว่าจะกลัวแสนกลัวแต่แทนไท ก็เกือบจะหัวเราะออกมา  
แม้เป็นเวลาที่ไม่ถึงนาที แต่แทนไทกลับรู้สึกว่านรกบนดินนี้ ยาวนานนับชั่วโมง
ขณะที่กำลังคิดว่า  เมื่อไหร่จะจบสักที
ระเบิดลูกหนึ่งก็ตกลงใกล้ตัว เศษฝุ่นและเศษไม้ปลิวตกลงมาบนตัวหากไม่มีก้อนหินใหญ่กำบัง น่ากลัวเขาคงกลายเป็นเศษเนื้อ  แทนไทรู้สึกว่าพื้นดิน สั่นอีกครั้งก่อน แต่ทว่าครั้งนี้ไม่ได้สั่นเพียงอย่างเดียว จู่ๆ พื้นที่หมอบอยู่ก็ทรุดตัวลงไป

เขาล่วงลงมาก่อนจะทันได้ร้องว่า “เฮ้ย” เสียด้วยซ้ำ หัวของแทนไทฟาดกับอะไรบางอย่าง จากนั้นก็เป็นหลัง แล้วก็เอว จากนั้นก็ทุกส่วน  ความเจ็บที่ไม่รู้ว่าเจ็บจากที่ไหนแน่ เข้ามาประดังประเด แทนไทล่วงลงมาไปเรื่อยๆพร้อมๆกับความเจ็บที่มากขึ้น  ก่อนที่จะสิ้นสุดลงเมื่อแทนไท ตกลงมากระแทกกับแผ่นไม้ แล้วทะลุลงไปถึงพื้นชั้นล่างสุด
เจ็บจนร้องไม่ออก คงไม่คำบรรยายใดๆดีกว่านี้  ท่ามกลางสายตาที่พร่าเลือน
เขาเห็นป้ายเหล็กที่เขียนตัวอักษร ไว้ว่า

Avalon project

.............................



End  (จบภาคแรก แจ้ ดีใจแท้ๆ  จุดพลุฉลองแม้ว่า  มันจะเป็นแค่ภาคแรกก็เถอะ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่