
พระไตรปิฎกเล่มที่ 33 พระสุตตันตปิฎก เล่ม 25
ขุททกนิกาย เถรีอปทาน เอกุโปสถวรรค มหาปชาบดีโคตมีเถริยาปทาน
ออกจากภพนี้ไปสู่บุรีคือนิพพานอันอุดม
เข้าไปอ่านพระสูตรก่อน ที่นี่ http://khunsamatha.fix.gs/index.php?topic=216.0
พระสูตรนี้แสดงความชัดเจนหลายประการในมุมมองเรื่องนิพพานอีกนัยยะหนึ่ง โดยไม่ต้องตีความใดๆ กล่าวคือ...
คำว่า
"เข้านิพพาน" ก็ดี
"ไปนิพพาน" ก็ดี
บ่งถึงนิพพานอันเป็นสถานที่ แต่ท่านไม่กล่าวว่าเป็นภพ เพราะนิพพานไม่ได้อยู่ในภพ ๓ ท่านกล่าวเพียง ไปสู่บุรีคือนิพพานอันอุดมบ้าง อสังขตสถานบ้าง ซึ่งความนี้สอดคล้องกับพระพุทธวัจนะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า...อายตนะนั้นมีอยู่... (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗)
ทีนี้อาจมีผู้เสนอว่า นิพพานตามที่พระองค์ทรงตรัสคือความดับทุกข์(ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ) ที่กล่าวนั้นถูกต้องในมุมหนึ่ง เพราะนั่นคือ ภาวะนิพพาน ไม่ใช่ความเดียวกับพระสูตรนี้ที่กล่าวถึงการเข้านิพพาน การไปนิพพาน ซึ่งท่านใช้โวหารทางโลก เพื่อให้เข้าใจถึงอายตนะที่เรียกว่า อสังขตสถาน
อสังขตสถาน มีสภาพเป็นเช่นไร พระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงตรัสว่า "ในที่ใด ไม่มีความแก่หรือความตาย ไม่มีการสมาคมด้วยสัตว์และสังขารอันไม่เป็นที่รัก ไม่มีการพลัดพรากจากสัตว์และสังขารอันเป็นที่รัก ที่นั้นนักปราชญ์กล่าวว่าเป็นอสังขตสถาน"
ในเรื่องของภาวะนิพพาน(ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่ง โมหะ)นั้น พระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงกระทำให้แจ้งมาก่อนแล้ว ยังอรหันตผลให้เกิดขึ้นแล้ว แต่ท่านกล่าวการไปนิพพานคือบุรีอันอุดมนี้เป็นคนละประเด็นกับภาวะนิพพานที่ทรงตรัสว่า " ตัณหาอันนำไปสู่ภพ ดิฉันได้ถอนเสียแล้ว" พระนางกล่าวทูลลาเพื่อไปนิพพานต่อพระพุทธองค์อย่างชัดเจน เหมือนคนจะไปสู่สถานที่อื่นมากล่าวลาญาติพี่น้องฉันนั้น ดังนั้นนิพพานในประเด็นนี้ ไม่ใช่ภาวะนิพพานตามที่มักมีผู้มองแต่เพียงมุมนี้มุมเดียว และชอบยกมาอ้างเสมอๆ ว่า นิพพาน คือ ความดับทุกข์ อันเป็นในมุมของภาวะนิพพานเท่านั้น
การทูลลาไปนิพพานนี้ พระพุทธองค์ทรงตรัสรับรองอีกว่า "เมื่อท่านบอกว่าลาจะนิพพาน ตถาคตจักไปว่ากระไรให้มากไปเล่า. เมื่อภิกษุสงฆ์ของตถาคตบริสุทธิ์ไม่บกพร่อง ท่านจะออก ไปเสียจากโลกนี้ได้ก็ควร" ทรงตรัสว่าท่านจะออกไปจากโลกนี้ได้ก็ควร
พระอานนท์ ยังกล่าวชัดเจนอีกว่า "พระโคตมีเถรีเจ้าตรัสอยู่หลัดๆ ก็จะเสด็จไปนิพพานเสีย อีกไม่นานเลยแม้พระพุทธเจ้าก็คงจะเสด็จไปนิพพานแน่นอน เปรียบเหมือนไฟที่หมดเชื้อแล้ว ฉะนั้น"
ทีนี้การไปนิพพาน ท่านเปรียบเหมือนไฟที่หมดเชื้อ คือไม่กลับมาข้องในภพ ๓ อีก ท่านกล่าวชัดว่า แม้พระพุทธเจ้าก็คงจะเสด็จไปนิพพานแน่นอน นิพพานเช่นนี้จะเป็นภาวะนิพพานคือ ความดับทุกข์ เช่นนั้นหรือ...?
ทีนี้ใน เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
ขุททกนิกาย ที่ทรงตรัสว่า " ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม
อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ
โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการ
จุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้
นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ"
ตามพระสูตรนี้พระองค์ตรัสเปรียบอายตนะที่เป็นที่สุดทุกข์ว่าไม่มีอะไรเหมือนกับในภพ ๓ เลย อาการต่างๆ ตลอดจนสิ่งแวดล้อมใดๆ จะนำเอาสิ่งที่มีอยู่ในภพ ๓ อันเป็นโลกียภูมิมาเปรียบกับอายตนะอันเป็นที่สุดทุกข์อันเป็นโลกุตตรภูมิไม่ได้นั่นเอง
ในประเด็น "เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป"
พระนางมหาปชาบดีโคตมี ทรงตรัสอธิบายความให้ชัดเจนยิ่งอีกว่า
"บุคคลไปในทิศใดแล้วไม่ปรากฏ ดิฉันก็จะขอลาไปในทิศนั้นนะลูก"
การไปสู่นิพพานนี้ แม้คนมี ๕ ตาก็ยังมองไม่เห็น แต่ท่านก็กล่าวว่า "พระผู้มีพระภาคซึ่งเป็นผู้นำทรงเห็นได้" ดังนั้นการไปนิพพาน การเข้านิพพาน คือ อสังขตสถานนี้ ก็เป็นคนละนัยกับภาวะนิพพาน(ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่ง โมหะ)อย่างไม่ต้องสงสัยเลย...เพราะภาวะนิพพานเช่นนี้ พระอรหันต์ทั้งหลายหรือแม้แต่พระนางมหาปชาบดีโคตมีก็ทรงเข้าถึงมาก่อนแล้ว จะต้องมาทูลลาไปนิพพาน หรือเข้านิพพานอีกทำไมเล่า...
ออกจากภพนี้ ไป นิพพานบุรี หรือ อสังขตสถาน อย่างไร
พระไตรปิฎกเล่มที่ 33 พระสุตตันตปิฎก เล่ม 25
ขุททกนิกาย เถรีอปทาน เอกุโปสถวรรค มหาปชาบดีโคตมีเถริยาปทาน
ออกจากภพนี้ไปสู่บุรีคือนิพพานอันอุดม
เข้าไปอ่านพระสูตรก่อน ที่นี่ http://khunsamatha.fix.gs/index.php?topic=216.0
พระสูตรนี้แสดงความชัดเจนหลายประการในมุมมองเรื่องนิพพานอีกนัยยะหนึ่ง โดยไม่ต้องตีความใดๆ กล่าวคือ...
คำว่า "เข้านิพพาน" ก็ดี "ไปนิพพาน" ก็ดี บ่งถึงนิพพานอันเป็นสถานที่ แต่ท่านไม่กล่าวว่าเป็นภพ เพราะนิพพานไม่ได้อยู่ในภพ ๓ ท่านกล่าวเพียง ไปสู่บุรีคือนิพพานอันอุดมบ้าง อสังขตสถานบ้าง ซึ่งความนี้สอดคล้องกับพระพุทธวัจนะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า...อายตนะนั้นมีอยู่... (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗)
ทีนี้อาจมีผู้เสนอว่า นิพพานตามที่พระองค์ทรงตรัสคือความดับทุกข์(ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ) ที่กล่าวนั้นถูกต้องในมุมหนึ่ง เพราะนั่นคือ ภาวะนิพพาน ไม่ใช่ความเดียวกับพระสูตรนี้ที่กล่าวถึงการเข้านิพพาน การไปนิพพาน ซึ่งท่านใช้โวหารทางโลก เพื่อให้เข้าใจถึงอายตนะที่เรียกว่า อสังขตสถาน
อสังขตสถาน มีสภาพเป็นเช่นไร พระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงตรัสว่า "ในที่ใด ไม่มีความแก่หรือความตาย ไม่มีการสมาคมด้วยสัตว์และสังขารอันไม่เป็นที่รัก ไม่มีการพลัดพรากจากสัตว์และสังขารอันเป็นที่รัก ที่นั้นนักปราชญ์กล่าวว่าเป็นอสังขตสถาน"
ในเรื่องของภาวะนิพพาน(ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่ง โมหะ)นั้น พระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงกระทำให้แจ้งมาก่อนแล้ว ยังอรหันตผลให้เกิดขึ้นแล้ว แต่ท่านกล่าวการไปนิพพานคือบุรีอันอุดมนี้เป็นคนละประเด็นกับภาวะนิพพานที่ทรงตรัสว่า " ตัณหาอันนำไปสู่ภพ ดิฉันได้ถอนเสียแล้ว" พระนางกล่าวทูลลาเพื่อไปนิพพานต่อพระพุทธองค์อย่างชัดเจน เหมือนคนจะไปสู่สถานที่อื่นมากล่าวลาญาติพี่น้องฉันนั้น ดังนั้นนิพพานในประเด็นนี้ ไม่ใช่ภาวะนิพพานตามที่มักมีผู้มองแต่เพียงมุมนี้มุมเดียว และชอบยกมาอ้างเสมอๆ ว่า นิพพาน คือ ความดับทุกข์ อันเป็นในมุมของภาวะนิพพานเท่านั้น
การทูลลาไปนิพพานนี้ พระพุทธองค์ทรงตรัสรับรองอีกว่า "เมื่อท่านบอกว่าลาจะนิพพาน ตถาคตจักไปว่ากระไรให้มากไปเล่า. เมื่อภิกษุสงฆ์ของตถาคตบริสุทธิ์ไม่บกพร่อง ท่านจะออก ไปเสียจากโลกนี้ได้ก็ควร" ทรงตรัสว่าท่านจะออกไปจากโลกนี้ได้ก็ควร
พระอานนท์ ยังกล่าวชัดเจนอีกว่า "พระโคตมีเถรีเจ้าตรัสอยู่หลัดๆ ก็จะเสด็จไปนิพพานเสีย อีกไม่นานเลยแม้พระพุทธเจ้าก็คงจะเสด็จไปนิพพานแน่นอน เปรียบเหมือนไฟที่หมดเชื้อแล้ว ฉะนั้น"
ทีนี้การไปนิพพาน ท่านเปรียบเหมือนไฟที่หมดเชื้อ คือไม่กลับมาข้องในภพ ๓ อีก ท่านกล่าวชัดว่า แม้พระพุทธเจ้าก็คงจะเสด็จไปนิพพานแน่นอน นิพพานเช่นนี้จะเป็นภาวะนิพพานคือ ความดับทุกข์ เช่นนั้นหรือ...?
ทีนี้ใน เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
ขุททกนิกาย ที่ทรงตรัสว่า " ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม
อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ
โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการ
จุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้
นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ"
ตามพระสูตรนี้พระองค์ตรัสเปรียบอายตนะที่เป็นที่สุดทุกข์ว่าไม่มีอะไรเหมือนกับในภพ ๓ เลย อาการต่างๆ ตลอดจนสิ่งแวดล้อมใดๆ จะนำเอาสิ่งที่มีอยู่ในภพ ๓ อันเป็นโลกียภูมิมาเปรียบกับอายตนะอันเป็นที่สุดทุกข์อันเป็นโลกุตตรภูมิไม่ได้นั่นเอง
ในประเด็น "เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป"
พระนางมหาปชาบดีโคตมี ทรงตรัสอธิบายความให้ชัดเจนยิ่งอีกว่า "บุคคลไปในทิศใดแล้วไม่ปรากฏ ดิฉันก็จะขอลาไปในทิศนั้นนะลูก"
การไปสู่นิพพานนี้ แม้คนมี ๕ ตาก็ยังมองไม่เห็น แต่ท่านก็กล่าวว่า "พระผู้มีพระภาคซึ่งเป็นผู้นำทรงเห็นได้" ดังนั้นการไปนิพพาน การเข้านิพพาน คือ อสังขตสถานนี้ ก็เป็นคนละนัยกับภาวะนิพพาน(ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่ง โมหะ)อย่างไม่ต้องสงสัยเลย...เพราะภาวะนิพพานเช่นนี้ พระอรหันต์ทั้งหลายหรือแม้แต่พระนางมหาปชาบดีโคตมีก็ทรงเข้าถึงมาก่อนแล้ว จะต้องมาทูลลาไปนิพพาน หรือเข้านิพพานอีกทำไมเล่า...