อธิบายเรื่องอายตนะนั้นมีอยู่ เรื่องวิสังขาร เรื่องทุกคนมีนิพพานอยู่ในตัวแล้ว เรื่องนิพพานเป็นดังก้อนหิน ตามความจำความรู้

พอดีได้สนทนากันในกระทู้หนึ่ง ก็เห็นว่าพอใช้ได้ จึงตัดข้อมูลบางส่วนนำเสนอ

1.เรื่องอายตนะนั้นมีอยู่  (ที่หมายถึง นิพพาน) ซึ่งหลายท่านไปเข้าใจว่า เหมือนดังอายตนะ ที่เรามีอยู่ แต่นั้นเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
 
  คำว่า  อายตนะนั้นมีอยู่  แต่นั้นไม่ใช่ อายตนะ 6  เช่น อายตนะทางตา ...หู  ...จมูก ...ลิ้น ...กาย  ...ใจ(จิต)  ต้องมีความเข้าใจส่วนนี้ก่อนก็จะไม่สับสน  เพราะยังมีคำที่แตกออกมาอีกคือ...
    วิสังขาร  ซึ่งก็คือ นิพพาน แต่ไม่ใช่ สังขาร    
    ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกัน  อายตนะนั้นมีอยู่ แต่ไม่ใช่ อายตนะ 6 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) 
 
    ต่อไปคำว่า ธาตุ   ไม่ว่าจะเป็น รูป(มหาภูมิตรูป ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ ช่องว่าง)  หรือ นาม(จิต เจตสิค) หรือ นิพพาน   ต่างก็เรียกว่าเป็น ธาตุ ได้ทั้งนั้น ลองค้นในพระไตรปิฏกคำว่า ธาตุ ก็จะประกอบอยู่ทุกอย่าง
    
     มากล่าวถึง รูป-นาม  ซึ่ง นามหมายถึง จิต เจตสิค     แต่นิพพาน จัดว่าเป็น นาม ก็ไม่ใช่ แต่เป็นธรรมชาติหนึ่งที่เรียกว่า อสังขตธรรม
     ซึ่ง ทั้ง นาม หรือ นิพพาน ต่างก็จัดว่าเป็น ธรรม
     พระพุทธเจ้าทรงตรัส  สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ

     ต่อไปดูความหมายของคำว่า  นิพพานคือ  ความสิ้นกิเลส(สิ้นสังโยชน์ 10 ไปตามลำดับ) หรือหมดสิ้น ราคะ โทสะ โมหะ ไปตามลำดับไม่กลับคืนมาอีก.

     ดังนั้น คำว่า "เรา" ที่ยังมีกิเลสอยู่อย่างเต็มที่ ก็คือปุถุชนทั่วไป ย่อมไม่มีหรื่อไม่แจ้งชัดในนิพพานมาก่อนเลย

    ถ้าเห็นว่า เรา ทุกคนแม้เป็นปุถุชนย่อมมีนิพพานอยู่ในตัวอยู่แล้ว  นั้นเป็นการเข้าใจธรรมพระพุทธเจ้าคลาดเคลื่อนหรือผิด เพราะปุถุชนนั้นไม่เคย สิ้นกิเลสบางส่วนหรือทั้งหมดแบบไม่กลับคืนมาอีกอย่างถาวร มาก่อนเลย (ให้อ่านหรือทำความเข้าใจว่า นิพพานคือ ความสิ้นกิเลสไม่กลับคืนมาอีก... ก็จะเข้าใจได้)

     จึงสรุปได้ว่า  ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป จึงจะสัมผัสพระนิพพานด้วยใจ(จิต)ได้ ก็คือความสิ้นกิเลสไปบางส่วนหรือทั้งหมดแบบถาวรไม่กลับคืนมาอีกนั้นเอง แต่จิต หรือ ใจ นั้นไม่ใช่พระนิพพาน เพราะเป็นธรรมชาติคนละอย่างกัน และมีความหมายคนละเรี่องกัน.

    ผมเคยเสนอแนวคิดที่พอให้เข้าใจได้ดังนี้...

       เราเป็นส่วนของของธรรมชาติ   แต่ธรรมชาตินั้นไม่ใช่ของเรา

    ขยายความ>>>   เรา(ได้แก่ รูป จิต เจตสิค)เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติฝ่าย สังขตะ  แต่ธรรมชาติ(สัขตธรรม)นั้นไม่ใช่ของเรา เป็นไปตามกฏ ไตรลักษณ์ อิทัปปัจยตา ปฏิจสมุทปบาท   
     ดังนั้น สิ่งที่สำคัญว่าเป็นเรา ย่อมไม่เป็น อัตตาที่เที่ยงแท้ ย่อมแปรปรวนเป็นไปตามกฏของธรรมชาติที่เอื่ออำนวยตามธรรมชาติฝ่ายสังขตธรรมเท่านั้น          หมายเหตุ  ความสำคัญว่าเป็น เราคนนี้ หรือจิตเรานี้ เป็นเพียง ชาติหนึ่งในภพหนึ่งเท่านั้น เมื่อสิ้นชาติไปหรือสิ้นภพไป ความสำคัญว่าเป็น เราคนนี้ หรือจิตเราที่เป็นนี้ ย่อมสิ้นไปด้วย เพราะแม้ตอนเกิดมาถึงปัจจุบันนี้ ความสำคัญว่าเป็น เราคนนี้ก่อนหน้านั้น ก็ไม่ได้รู้ว่าเป็นอะไรหรืออย่างไรมาก่อน
    ข้อมูลจากพระไตรปิฏก  พระพุทธเจ้าทรงแบ่งธรรมใหญ่เพียง 2 คือ  1.สังขตะ  กับ 2.อสังขตะ(คือนิพพาน)
     
จากประโยค...   สรุป ก็คือ นิพพานธาตุ  เป็นนามธาตุอันหนึ่ง อยู่ในตัวเรา แต่ไม่ได้อยู่ในขันธ์ห้า

    อธิบาย>>> เป็นการกล่าวที่คลาดเคลื่อนครับ   เพราะตัวเราคือ  รูป-นาม หรือ ขันธ์ 5 เป็นธรรมชาติฝ่าย สังขตะ ไม่มีนิพพานธาตุอยู่เลย เพราะนิพพานเป็นธรรมชาติฝ่าย อสังขตะ
   จนกว่าจะเกิดปัญญาณแจ้งชัดละกิเลสบางส่วนได้อย่างถาวร แล้วจนหมดสิ้นไปตามลำดับ ปัญญาจึงรู้แจ้งในพระนิพพาน(ความสิ้นกิเลสไปตามลำดับไม่กลับคืนมาอีก)

    ซึ่งปัญญาแจ้งคือ แจ้งชัด ในทุกข์ ในเหตุแห่งทุกข์ ในความดับทุกข์ ในวิธิดับทุกข์ยิ่งขึ้นไปเมื่อยังมีกิเลสเหลืออยู่ ก็คือ อริยสัจ 4
    เพราะ เรา ก็คือ รูป-นาม หรือ บันธ์ 5 เป็นตัวทุกข์   
             อุปทานขันธ์ 5 นั้นแหละ เป็นเหตุแห่งทุกข์ ก็คือ ปฏิจสมุทปบาทฝ่ายเกิด คือเหตุแห่งทุกข์
             นิพพานคือ ความสิ้นกิเลส  นั้นแหละเป็นความดับทุกข์
             การปฏิบัติธรรมเพือความดับทุกข์ นั้นแหละเป็นวิธิดับทุกข์ (มรรค)

      ดังนั้นเรา ก็เพียงเป็นการปรุงแต่งไปตามกฏไตรลักษณ์ของธรรมชาติฝ่าย สังขตะ ก็เพียงเท่านั้น ไม่ได้ถาวรเทียงแท้ใดๆ เลย.
   
      และก้อนหิน ก็เป็นธรรมชาติฝ่าย สังขตะ เป็น รูป ธาตุดิน เป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ (ไม่เทียง ตั้งทนอยู่ในลักษณ์เช่นนั้นไม่ได้ ย่อมสลายคงรูปเดิมอยู่ไม่ได้  แม้จะขาด นามธรรมก็ตาม)

     เน้นย้ำอีกครั้ง นิพพานคือ ความสิ้นกิเลส   เป็น อสังขตะ    ถ้าเข้าใจอย่างนี้ และเข้าใจเรื่อง ธรรมชาติ 2 คือ สังขตะ กับ อสังขตะ ก็จะลดความสับสนไปมากได้.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่