(ที่มา:มติชนรายวัน 28 มีนาคม 2556)
หลังศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 291 ที่บัญญัติให้มีสมาชิก
สภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมายกร่างธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ล่อแหลมต่อการขัดรัฐธรรมนูญ
ควรรับฟังความเห็นของประชาชนผู้ลงประชามติให้ความเห็นชอบรัฐธรรมนูญก่อน
คำตัดสินดังกล่าว ทำให้รัฐบาลเพื่อไทยและพรรคร่วม ไม่กล้าเดินหน้าลงมติวาระสาม
ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเลยค้างเติ่งอยู่ในสภา และต่อมารัฐบาลเสนอให้มีการลงประชามติ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เขียนจดหมายเปิดผนึกเชิญชวนให้
"มาร่วมกันคว่ำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อนักโทษ ก้าวข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ นำพา
ประเทศเดินไปข้างหน้า"
ข้อความในจดหมายถูกตั้งคำถามว่า นายอภิสิทธิ์ต้องการอะไรแน่ ต่อต้านการลงประชามติ
ซึ่งเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย หรือไม่ต่อต้านแต่เชิญชวนลงประชามติ ไม่เห็นด้วย
กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ขณะที่ฝ่ายเสนอแก้ไข วิเคราะห์ว่า แท้จริงแล้วผู้นำฝ่ายค้านต้องการสร้างกระแสต่อต้าน
การแก้ไขรัฐธรรมนูญ นั่นเอง
และถูกโต้กลับอีกว่า ท่าทีดังกล่าวสวนทางกับจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ก่อนหน้านี้ ที่
แสดงชัดเจนว่าควรแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ถ้าไม่เช่นนั้น คงไม่แต่งตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการ
แก้ไขรัฐธรรมนูญ มี ศ.สมบัติ ธำรงธัญวงค์ เป็นประธาน และเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ 6 ประเด็น
ได้แก่ มาตรา 190 การทำหนังสือสัญญาต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา
มาตรา 93-98 เรื่องระบบการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
มาตรา 111-121 ที่มาของสมาชิกวุฒิสภา มาตรา 265 การห้ามดำรงตำแหน่งหรือหน้าที่ใดๆ
ในหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือตำแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหาร
ท้องถิ่นหรือข้าราชการส่วนท้องถิ่น ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
มาตรา 266 การห้ามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิกแทรกแซงการทำงานของฝ่ายบริหาร
มาตรา 237 การยุบพรรคการเมืองและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการ
บริหารพรรคการเมือง
แต่เพราะกลัวกระทบเสถียรภาพ รัฐบาลล้มเร็วเกินไป เลยแก้ไขแค่ 2 ประเด็น คือ
มาตรา 93-98 กับ มาตรา 190 อีก 4 มาตรา ค้างไว้ จนกระทั่งยุบสภา เลือกตั้งใหม่
วันที่ 3 กรกฎาคม 2554 รัฐบาลเปลี่ยนเป็นพรรคเพื่อไทย
เมื่อร่างแก้ไข มาตรา 291 ที่ค้างอยู่เดินหน้าต่อไม่ได้ ทำให้เกิดการจับมือระหว่าง ส.ว.เลือกตั้ง
นำโดย นายดิเรก ถึงฝั่ง อดีตประธานคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและ
ศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ชุดก่อนหน้า ศ.สมบัติ กับ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ
รายมาตรา ต่อประธานรัฐสภาวันที่ 20 มีนาคม ที่ผ่านมา แก้ไข 3 ประเด็นคือ
1.มาตรา 237 เกี่ยวกับการยุบพรรคและตัดสิทธิกรรมการบริหารทุกคน
และมาตรา 68 เกี่ยวกับสิทธิการยื่นเรื่องร้องต่อศาลรับธรรมนูญจะยื่นตรงไม่ได้ต้องยื่น
ผ่านอัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน ไม่สามารถยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง
2.มาตรา 111 112 113 114 115 117 118 และ 120 ที่มาและการดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิก
ให้ยกเลิก ส.ว.สรรหา มีแค่ ส.ว.เลือกตั้งที่ประชาชนเลือกโดยตรง 200 คน
3.มาตรา 190 เกี่ยวกับสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่รัฐบาลจะต้องเปิดเผยรายละเอียดการ
เจรจากับต่างประเทศ เพื่อขอความเห็นชอบจากรัฐสภา
ปรากฏว่า ท่าทีของประชาธิปัตย์ แสดงโดยนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคแถลงว่า
เป็นการแก้ไขเพื่อเพิ่มสิทธิและเอื้อประโยชน์ให้กับนักการเมือง เช่น การเพิ่มระยะเวลาการดำรง
ตำแหน่งของ ส.ว.เป็น 2 วาระ หรือการยกเลิกการยุบพรรคเพื่อปกป้องกรรมการบริหารพรรค
การจำกัดสิทธิของประชาชนกรณีให้ยื่นฟ้องผ่านอัยการสูงสุดก่อนเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญ หาก
อัยการไม่ขยับ ปากของประชาชนจะถูกปิดลงทันที
แก้ไขทั้งฉบับก็ไม่เอา แก้ไขรายมาตราก็มีปัญหา
เลยเกิดคำถามว่า ควรแก้หรือไม่ควรแก้ ถ้าควรแก้ ประเด็นที่ควรแก้ในแง่มุมของประชาธิปัตย์
หน้าตาเป็นอย่างไร
ทำนองเดียวกัน ประเด็นการแก้ไขมาตรา 68 ในเมื่อศาลรัฐธรรมนูญปัจจุบัน เคยชี้มาแล้วว่า
ผู้ร้องทำได้ทั้งสองทาง ยื่นผ่านอัยการสูงสุดก็ได้ ยื่นตรงถึงศาลรัฐธรรมนูญเลยก็ได้
ศาลรัฐธรรมนูญปัจจุบันจึงเข้าข่าย ผู้มีส่วนได้เสีย
หากให้ศาลรัฐธรรมนูญปัจจุบันเป็นผู้วินิจฉัย ย่อมขัดหลักการอย่างชัดเจน
ปิดท้ายวันนี้ คิดถึงคำพูดของ นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
"พรรคประชาธิปัตย์ต้องแยกแยะเรื่องการบริหารออกจากเรื่องการเมือง เพราะทุกวันนี้
ประชาชนเบื่อความขัดแย้ง หากยังหมกมุ่นกับการเมืองเกินไป จะกลายเป็นเรื่องที่ไม่
สร้างสรรค์ อยากเห็นพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่เข้มแข็ง เป็นสถาบันที่มีนโยบายที่
จะต้องตรวจสอบรัฐบาล ไม่ใช่ตรวจสอบการเมืองอย่างเดียว"
บทพิสูจน์ ว่าข้อชี้แนะของนายอลงกรณ์ได้ผลหรือไม่ ก็คือ ท่าทีของพรรคต่อการแก้ไข
รัฐธรรมนูญที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ นั่นเอง
เป็นไปเพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญที่ดีกว่า หรือเพื่อด่าเพื่อไทยลูกเดียว
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1364447865&grpid=&catid=02&subcatid=0207
จากเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท ขอตัดกลับมาเรื่องแก้รธน. กันหน่อย .....
"มติชน...เอ๊ย ...มติชิน" ถามว่า ตกลงปชป. เขาจะแก้รธน. ไหม ?
ได้ข่าวว่า ...เพื่อนๆ หลายคนบอกว่า ได้เดือดร้อนกับรธน. ฉบับนี้ แก้ไปทำไม ?
แก้ไป ....ปชป.อาจถูกยุบพรรคได้ เพราะ รธน.ฉบับนี้ ปชป. ยังอยู่ยงคงกระพัน
ไม่ว่าเรื่องอะไร ...ก็ยังไม่ผิดซักกะเรื่อง .... แก้รธน. ตามร่างของ นปช....
ของเพื่อไทย กระเทือนเรื่อง ส.ว....
บทบาทส.ว. คือรับรองการสรรหา องค์กร อิสระ ....กระเทือนปชป.ไหม ? ไปตอบโจทย์...กันได้ค่ะ ....


ทั้งฉบับก็ไม่ได้ รายมาตราก็ไม่เอา(ฮา) .....โดย สมหมาย ปาริจฉัตต์ ..... มติชนออนไลน์
หลังศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 291 ที่บัญญัติให้มีสมาชิก
สภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมายกร่างธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ล่อแหลมต่อการขัดรัฐธรรมนูญ
ควรรับฟังความเห็นของประชาชนผู้ลงประชามติให้ความเห็นชอบรัฐธรรมนูญก่อน
คำตัดสินดังกล่าว ทำให้รัฐบาลเพื่อไทยและพรรคร่วม ไม่กล้าเดินหน้าลงมติวาระสาม
ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเลยค้างเติ่งอยู่ในสภา และต่อมารัฐบาลเสนอให้มีการลงประชามติ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เขียนจดหมายเปิดผนึกเชิญชวนให้
"มาร่วมกันคว่ำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อนักโทษ ก้าวข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ นำพา
ประเทศเดินไปข้างหน้า"
ข้อความในจดหมายถูกตั้งคำถามว่า นายอภิสิทธิ์ต้องการอะไรแน่ ต่อต้านการลงประชามติ
ซึ่งเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย หรือไม่ต่อต้านแต่เชิญชวนลงประชามติ ไม่เห็นด้วย
กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ขณะที่ฝ่ายเสนอแก้ไข วิเคราะห์ว่า แท้จริงแล้วผู้นำฝ่ายค้านต้องการสร้างกระแสต่อต้าน
การแก้ไขรัฐธรรมนูญ นั่นเอง
และถูกโต้กลับอีกว่า ท่าทีดังกล่าวสวนทางกับจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ก่อนหน้านี้ ที่
แสดงชัดเจนว่าควรแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ถ้าไม่เช่นนั้น คงไม่แต่งตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการ
แก้ไขรัฐธรรมนูญ มี ศ.สมบัติ ธำรงธัญวงค์ เป็นประธาน และเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ 6 ประเด็น
ได้แก่ มาตรา 190 การทำหนังสือสัญญาต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา
มาตรา 93-98 เรื่องระบบการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
มาตรา 111-121 ที่มาของสมาชิกวุฒิสภา มาตรา 265 การห้ามดำรงตำแหน่งหรือหน้าที่ใดๆ
ในหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือตำแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหาร
ท้องถิ่นหรือข้าราชการส่วนท้องถิ่น ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
มาตรา 266 การห้ามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิกแทรกแซงการทำงานของฝ่ายบริหาร
มาตรา 237 การยุบพรรคการเมืองและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการ
บริหารพรรคการเมือง
แต่เพราะกลัวกระทบเสถียรภาพ รัฐบาลล้มเร็วเกินไป เลยแก้ไขแค่ 2 ประเด็น คือ
มาตรา 93-98 กับ มาตรา 190 อีก 4 มาตรา ค้างไว้ จนกระทั่งยุบสภา เลือกตั้งใหม่
วันที่ 3 กรกฎาคม 2554 รัฐบาลเปลี่ยนเป็นพรรคเพื่อไทย
เมื่อร่างแก้ไข มาตรา 291 ที่ค้างอยู่เดินหน้าต่อไม่ได้ ทำให้เกิดการจับมือระหว่าง ส.ว.เลือกตั้ง
นำโดย นายดิเรก ถึงฝั่ง อดีตประธานคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและ
ศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ชุดก่อนหน้า ศ.สมบัติ กับ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ
รายมาตรา ต่อประธานรัฐสภาวันที่ 20 มีนาคม ที่ผ่านมา แก้ไข 3 ประเด็นคือ
1.มาตรา 237 เกี่ยวกับการยุบพรรคและตัดสิทธิกรรมการบริหารทุกคน
และมาตรา 68 เกี่ยวกับสิทธิการยื่นเรื่องร้องต่อศาลรับธรรมนูญจะยื่นตรงไม่ได้ต้องยื่น
ผ่านอัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน ไม่สามารถยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง
2.มาตรา 111 112 113 114 115 117 118 และ 120 ที่มาและการดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิก
ให้ยกเลิก ส.ว.สรรหา มีแค่ ส.ว.เลือกตั้งที่ประชาชนเลือกโดยตรง 200 คน
3.มาตรา 190 เกี่ยวกับสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่รัฐบาลจะต้องเปิดเผยรายละเอียดการ
เจรจากับต่างประเทศ เพื่อขอความเห็นชอบจากรัฐสภา
ปรากฏว่า ท่าทีของประชาธิปัตย์ แสดงโดยนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคแถลงว่า
เป็นการแก้ไขเพื่อเพิ่มสิทธิและเอื้อประโยชน์ให้กับนักการเมือง เช่น การเพิ่มระยะเวลาการดำรง
ตำแหน่งของ ส.ว.เป็น 2 วาระ หรือการยกเลิกการยุบพรรคเพื่อปกป้องกรรมการบริหารพรรค
การจำกัดสิทธิของประชาชนกรณีให้ยื่นฟ้องผ่านอัยการสูงสุดก่อนเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญ หาก
อัยการไม่ขยับ ปากของประชาชนจะถูกปิดลงทันที
แก้ไขทั้งฉบับก็ไม่เอา แก้ไขรายมาตราก็มีปัญหา
เลยเกิดคำถามว่า ควรแก้หรือไม่ควรแก้ ถ้าควรแก้ ประเด็นที่ควรแก้ในแง่มุมของประชาธิปัตย์
หน้าตาเป็นอย่างไร
ทำนองเดียวกัน ประเด็นการแก้ไขมาตรา 68 ในเมื่อศาลรัฐธรรมนูญปัจจุบัน เคยชี้มาแล้วว่า
ผู้ร้องทำได้ทั้งสองทาง ยื่นผ่านอัยการสูงสุดก็ได้ ยื่นตรงถึงศาลรัฐธรรมนูญเลยก็ได้
ศาลรัฐธรรมนูญปัจจุบันจึงเข้าข่าย ผู้มีส่วนได้เสีย
หากให้ศาลรัฐธรรมนูญปัจจุบันเป็นผู้วินิจฉัย ย่อมขัดหลักการอย่างชัดเจน
ปิดท้ายวันนี้ คิดถึงคำพูดของ นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
"พรรคประชาธิปัตย์ต้องแยกแยะเรื่องการบริหารออกจากเรื่องการเมือง เพราะทุกวันนี้
ประชาชนเบื่อความขัดแย้ง หากยังหมกมุ่นกับการเมืองเกินไป จะกลายเป็นเรื่องที่ไม่
สร้างสรรค์ อยากเห็นพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่เข้มแข็ง เป็นสถาบันที่มีนโยบายที่
จะต้องตรวจสอบรัฐบาล ไม่ใช่ตรวจสอบการเมืองอย่างเดียว"
บทพิสูจน์ ว่าข้อชี้แนะของนายอลงกรณ์ได้ผลหรือไม่ ก็คือ ท่าทีของพรรคต่อการแก้ไข
รัฐธรรมนูญที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ นั่นเอง
เป็นไปเพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญที่ดีกว่า หรือเพื่อด่าเพื่อไทยลูกเดียว
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1364447865&grpid=&catid=02&subcatid=0207
จากเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท ขอตัดกลับมาเรื่องแก้รธน. กันหน่อย .....
"มติชน...เอ๊ย ...มติชิน" ถามว่า ตกลงปชป. เขาจะแก้รธน. ไหม ?
ได้ข่าวว่า ...เพื่อนๆ หลายคนบอกว่า ได้เดือดร้อนกับรธน. ฉบับนี้ แก้ไปทำไม ?
แก้ไป ....ปชป.อาจถูกยุบพรรคได้ เพราะ รธน.ฉบับนี้ ปชป. ยังอยู่ยงคงกระพัน
ไม่ว่าเรื่องอะไร ...ก็ยังไม่ผิดซักกะเรื่อง .... แก้รธน. ตามร่างของ นปช....
ของเพื่อไทย กระเทือนเรื่อง ส.ว....
บทบาทส.ว. คือรับรองการสรรหา องค์กร อิสระ ....กระเทือนปชป.ไหม ? ไปตอบโจทย์...กันได้ค่ะ ....