อานาปานสติ : พระราชสุเมธาจารย์ (โรเบิร์ต สุเมโธ)

กระทู้สนทนา


อานาปานสติ
พระราชสุเมธาจารย์ (พระอาจารย์โรเบิร์ต สุเมโธ)
วัดอมราวดี กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
นายแพทย์วิเชียร สืบแสง แปลจาก Now is the Knowing


พวกเรามักจะมองข้ามสิ่งที่เป็นปกติธรรมดาไปเสีย
ลมหายใจของเรานั้นจะรู้สึกก็ต่อเมื่อเรามีอาการผิดปกติ เช่น หืดหอบ หรือวิ่งจนเหนื่อย

ในการทำอานาปานสตินั้น เราเอาลมหายใจปกติธรรมดาของเรานี้เป็นเครื่องกำหนด
เราจะไม่พยายามไปทำให้มันยาวหรือสั้น หรือไปบังคับให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
แต่จะอยู่กับลมหายใจเข้าออก ซึ่งเป็นปกติธรรมดาเท่านั้น

ลมหายใจไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราจะสร้างหรือจินตนาการขึ้นมา
มันเป็นไปตามธรรมชาติของร่างกายต่อเนื่องกันไปจนชีวิตจะหาไม่
จึงเป็นสิ่งที่อยู่กับเราตลอดชีวิต จะกลับไปดูเมื่อไรก็ได้
เราก็ไม่จำเป็นจะต้องมีคุณสมบัติพิเศษ
หรือฉลาดล้ำเลิศแต่อย่างใด ในการที่จะเฝ้าดูลมหายใจของเรา

เพียงแต่เราพอใจอยู่กับมัน ระลึกรู้อยู่ทุกลมหายใจเข้าออกก็เท่านั้น

อันสติปัญญาหรือความเฉลียวฉลาดนั้น
มิใช่จะได้มาจากการเรียนรู้ทฤษฎีหรือปรัชญาอันสูงส่ง
แต่ได้จากการเฝ้าสังเกตสิ่งที่เป็นปกติธรรมดานี้เอง

ลมหายใจไม่มีลักษณะที่ตื่นเต้นระทึกใจ
จนทำให้เรากระสับกระส่ายหรือหงุดหงิดแต่ประการใด
ใจของคนเรานั้นมักอยากจะได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งเสมอไป
อยากจะได้สิ่งที่ตื่นเต้นเร้าใจโดยไม่ต้องออกแรง
ถ้าเราได้ยินเสียงดนตรี เราคงไม่บอกกับตัวเราเองว่า
ฉันจะตั้งอกตั้งใจฟังและจับจังหวะท่วงทำนองของเพลงนี้ให้จงได้

เราจะปล่อยใจของเราไปตามเสียงดนตรี
เพราะเสียงเพลงมันไพเราะเย้ายวนชวนให้เราตามมันไป
ส่วนจังหวะของลมหายใจตามปกตินั้นไม่มีอะไรน่าจับใจเลย มันสงบราบเรียบ
แต่คนเราไม่เคยชินกับความสงบ บางคนอาจจะบอกว่าชอบความสงบ
แต่พอไปประสบเข้าจริงๆ แล้วกลับไม่พอใจ
เพราะพวกเราชอบสิ่งที่ตื่นเต้นเย้ายวนใจมากกว่า

ในอานาปานสตินั้น เราอยู่กับสิ่งที่เป็นกลางๆ
จะไม่รู้สึกชอบหรือไม่ชอบลมหายใจ
เวลาหายใจเข้า เราเพียงกำหนดรู้ต้นลม กลางลม และปลายลม
หายใจออกก็เช่นเดียวกัน กำหนดรู้ต้นลม กลางลม และปลายลม
จังหวะของลมหายใจเข้าออกเป็นไปอย่างเรียบๆ ช้าๆ
ช้ากว่าจังหวะของความนึกคิด นำเราไปสู่ความสงบแล้วเราก็หยุดคิด

เราจะไม่ตั้งความมุ่งมาดปรารถนาว่าจะได้อะไรจากการทำสมาธิภาวนา
เช่น จะต้องได้ฌานขั้นนี้ขั้นนั้น เพราะถ้าจิตมุ่งจะให้บรรลุถึงสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้ว
จิตจะไม่น้อมลงอยู่กับลมหายใจ จะไม่สงบ แล้วเราจะมีแต่ความผิดหวัง
ในขั้นต้นนั้น จิตของเราชอบเตร็ดเตร่เร่ร่อนไปตามเรื่องของมัน
เมื่อเรารู้ตัวว่ามันเคลื่อนออกไปจากลมหายใจ เราก็ค่อยๆ ดึงมันกลับเข้ามา

เราต้องมีความพากเพียรและอดทนอย่างยิ่ง พร้อมเสมอที่จะตั้งต้นใหม่

จิตของเรานั้นไม่เคยชินกับการถูกจับให้อยู่นิ่ง
เคยแต่ถูกสอนให้เกี่ยวเกาะอยู่กับสิ่งต่างๆ เรื่อยมา
เคยชินอยู่กับการใช้ความคิดที่ตัวนึกว่าจะฉลาดหลักแหลม
แต่เมื่อไม่อาจจะทำอย่างนั้นได้ ก็จะเกิดความเครียด

ในการทำอานาปานสติ เราจะพบกับอุปสรรคเช่นที่กล่าวนี้
มันก็ไม่ต่างอะไรกับม้าป่า เมื่อถูกจับมาผูกและสวมบังเหียนครั้งแรก
มันจะโกรธและพยศอย่างยิ่งทีเดียว เวลาจิตของเราเคลื่อนออกไป
เราจะรู้สึกรำคาญ ท้อแท้ และเบื่อหน่ายไปหมด
ในสภาวะเช่นนั้น ถ้าเราใช้วิธีบังคับข่มจิตให้สงบ
มันจะสงบได้ชั่วครู่แล้วก็แส่ส่ายออกไปใหม่

การทำอานาปานสติที่ถูกวิธี เราต้องใจเย็นและอดทนอย่างยิ่ง
ถือเสียว่ามีเวลาถมไป ปล่อยวางภาระทุกอย่างทางบ้าน
ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือทรัพย์สินเงินทอง
ในช่วงเวลานั้นเราจะไม่ทำอะไรเลย นอกจากนั่งเฝ้าสังเกตลมหายใจเข้าออก
ถ้าจิตของเราเคลื่อนไปในระยะลมเข้า ก็เพ่งที่ลมเข้าให้มากสักหน่อย
ถ้าเคลื่อนไปในระยะลมออก ก็เพ่งตรงนั้นเช่นกัน
แล้วดึงมันกลับเข้ามา พร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่เสมอไป

ทำใจให้เหมือนนักเรียนใหม่ วางสิ่งเก่าๆ เสียให้หมด
เวลาจิตของเราเคลื่อนออกไป แล้วเราดึงกลับเข้ามาใหม่
ในช่วงนั้นแหละเป็นช่วงที่เรามีสติสัมปชัญญะ
เราฝึกจิตของเรา (ให้เหมือน) กับแม่ที่ดีฝึกลูกน้อยของเธอ
เด็กเล็กๆ ยังไม่รู้อะไร เดินสะเปะสะปะไปตามเรื่อง
ถ้าแม่เอาแต่โมโหและเฆี่ยนตี เด็กจะกลัว แล้วกลายเป็นเด็กโรคประสาท

แม่ที่ดีจะเฝ้ามอง ถ้าเห็นเด็กเดินออกนอกลู่นอกทาง แม่ก็จะอุ้มกลับเข้ามา
เราต้องใจเย็นและอดทนอย่างนั้น อย่างไปโกรธเกลียด ลงโทษตนเอง
เกลียดลมหายใจ หรือเกลียดไปหมดทุกคน จนเกิดความรำคาญ
ถ้าเป็นอย่างนั้นเราจะไม่ได้ความสงบจากอานาปานสติ

บางครั้งเราเครียดเกินไป ไม่ร่าเริงผ่องใส ไม่มีแม้อารมณ์ขัน
คอยแต่จะกดทุกอย่างลงไป จงทำใจให้เบิกบาน
แต้มรอยยิ้มลงบนใบหน้าของท่าน ผ่อนคลายและทำใจสบายๆ
ปราศจากความกดดันที่จะต้องได้อะไรเป็นพิเศษ ไม่มีอะไรวิเศษพิสดารเลย

ท่านไปคุยได้ไหมว่า วันนี้ท่านได้ทำอะไรบ้างที่พอจะคุ้มค่าข้าวที่รับประทานเข้าไป
เพียงมีสติกำหนดรู้ลมหายใจเข้าเฮือกเดียวเท่านั้นหรือ ฟังแล้วมันน่าขำสิ้นดี

แต่นั่นแหละ ท่านยังได้ทำมากกว่าที่คนอื่นเขาไปคุยโม้ว่าได้ทำอย่างนั้นอย่างนี้เสียอีก
เราไม่ต้องไปต่อสู้ฟาดฟันกับมารร้ายที่มาคอยผจญ

ถ้าท่านรู้สึกเบื่อหน่ายการทำอานาปานสติ ก็จงกำหนดรู้ถึงความรู้สึกอันนั้นไว้ด้วย
อย่าไปคิดว่าเป็นสิ่งที่เราจะต้องทำ
แต่จงให้มันเป็นเรื่องเพลิดเพลิน ทำด้วยความยินดีสนุกสนาน
เมื่อท่านคิดว่าทำไม่ได้ ก็ให้กำหนดรู้ไว้ว่านั่นคือเครื่องกีดขวาง เป็นนิวรณ์
เป็นความกลัวหรือความท้อแท้ กำหนดรู้แล้วก็ผ่อนคลายลงไป

อย่าทำให้การฝึกนี้เป็นเรื่องยาก หรือถือว่าเป็นภาระหนัก
เมื่ออาตมาบวชใหม่ๆ อาตมาเคร่งเครียดเอาจริงเอาจัง
จนดูเหมือนกับท่อนไม้แห้งตายซากท่อนหนึ่ง ตกอยู่ในสภาพอันน่าทุเรศ
เพราะไปคิดว่าจะต้องอย่างนั้นจะต้องอย่างนี้อยู่เรื่อยไป

ต่อมา อาตมาก็เรียนรู้ที่จะหยิบยกเอาความสงบขึ้นมาพิจารณา
เมื่อความสงสัยลังเลใจ ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ความไม่พอใจ ความเบื่อหน่ายเกิดขึ้น
อาตมาก็ยกเอาความสงบขึ้นมาพิจารณาท่องคำนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก
สะกดจิตของอาตมาให้ผ่อนคลายลงไป ความสงสัยตนเองเกิดขึ้นมาอีก เช่นว่า

“นี่เรามาทำอะไรอยู่ ไม่เห็นไปถึงไหน ไม่เห็นได้อะไร
เป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ จะต้องได้อะไรสักอย่างหนึ่งสิ” เป็นต้น

แต่แล้วอาตมาก็อยู่กับความรู้สึกเช่นนั้นด้วยความสงบ
นี้เป็นวิธีหนึ่งที่ท่านอาจจะลองนำไปปฏิบัติดู คือ
เมื่อเราเครียด เราก็ผ่อนคลายลงเสีย แล้วเริ่มทำอานาปานสติต่อไปใหม่
ตอนแรกๆ เราจะรู้สึกตัวว่างุ่มง่ามเหมือนกับเราเริ่มหัดดีดกีตาร์
นิ้วมันแข็งทื่อเทอะทะสิ้นดี แต่พอเราฝึกไปเรื่อย เราก็ชำนาญขึ้น จนกลายเป็นเรื่องง่ายไป

เราเรียนรู้ที่จะมองดูว่า กำลังมีอะไรเกิดขึ้นในจิตของเรา
เมื่อมีความง่วงเหงา ความฟุ้งซ่านซัดส่าย หรือมีความเครียด
เราก็กำหนดรู้ เพียงแต่รู้ไว้เฉยๆ ไม่ต้องไปยุ่งอะไร
ให้มีความรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ว่ามันเป็นของมันอย่างนั้น

เราทำความเพียรอยู่กับลมเข้าลมออกไปเรื่อยๆ
หากกำหนดไม่ได้ ตั้งแต่ต้นลมจนปลายลม ทำได้เพียงครึ่งเดียวก็ยังดี
คือเราไม่มุ่งหวังจะให้มันถูกต้องครบถ้วนในทันทีทันใดนั้น
เราค่อยๆ ทำไป ค่อยๆ แก้ไขไป ถ้าขณะที่จิตแส่ส่ายออกไป
แล้วเราสามารถมีสติตามรู้ว่ามันไปที่ไหนบ้าง ขณะนั้นแหละเรียกว่าเรามีปัญญาเห็นแจ้ง

ถ้าไปคิดว่าจิตไม่ควรจะเร่ร่อนออกไป เกิดชังตนเอง เกิดความท้อถอย
ซึ่งก็มักจะเป็นกันเช่นนั้น นั่นแหละคือความโง่เขลา
ถ้าเราจะฝึกโยคะ เราคงไม่เริ่มต้นด้วยท่าที่รุนแรงอย่างพวกหัตถโยคี
ดังที่ท่านเคยเห็นในหนังสือ เช่น เอาขาขึ้นมาพันคอ เป็นต้น
หากเราพยายามทำอย่างนั้น เขาคงต้องหามเราเข้าโรงพยาบาลเป็นแน่
เราคงจะเริ่มด้วยวิธีง่ายๆ ไปก่อน ค่อยฝึกค่อยเรียนไปทีละขั้น

อานาปานสติก็เช่นกัน บัดนี้เรารู้วิธีบ้างแล้ว เราก็เริ่มตรงนั้น
และค่อยๆ ทำความเพียรไปเรื่อยๆ แล้วเราจะเข้าใจว่าสมาธิเป็นอย่างไร
เมื่อท่านไม่ใช่ซุปเปอร์แมนก็อย่าทำตัวเป็นซุปเปอร์แมน
อย่าไปพูดว่า “ฉันจะนั่งตรงนี้ และเฝ้าดูลมหายใจของฉันตลอดทั้งคืน”
ถ้าพูดอย่างนั้นแล้วเกิดทำไม่ได้ ท่านจะขัดเคืองใจ

กะเวลาเท่าที่ท่านพอจะทำได้ ค่อยๆ ฝึกไป
จนท่านรู้ได้เองว่าจะทำความเพียรไปแค่ไหน และเมื่อไรจึงจะหยุดพักผ่อน
คนเราจะเดินได้ก็ต้องหกล้มหกลุกมาก่อน
ดูเด็กสิ อาตมายังไม่เคยเห็นเด็กตัวน้อยๆ คนใดที่อยู่ๆ ก็ลุกขึ้นเดินได้ทันที
เด็กจะหัดคลานก่อนและเกาะโน่นเกาะนี่ พยุงตัวขึ้นมา ล้มลงไปแล้วก็พยุงตัวขึ้นมาใหม่
จิตภาวนาก็เป็นเช่นนั้น เราจะฉลาดขึ้นมาได้ก็ด้วยสังเกตดูความโง่เขลา
ดูความผิดพลาดที่ได้เคยทำไป นำมาพิจารณาทบทวน
แต่อย่าไปคิดถึงมันให้มากจนเกินไป เพราะจะกลายเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์

ถ้าเด็กคิดมากเกินไปก็คงหัดเดินไม่ได้ เราจะไม่คิดอะไรมาก เพียงแต่ทำความเพียรไปเรื่อยๆ
ในขณะที่เรากำลังมีความกระตือรือร้นและศรัทธาอย่างแรงกล้า
ในตัวท่านอาจารย์และคำสอนของท่าน ขณะนั้นอะไรๆ ดูมันง่ายไปหมด
แต่ความกระตือรือร้นอย่างแรงกล้านั้นมันไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง
แล้วจะนำไปสู่ความเบื่อหน่าย และเมื่อเราเบื่อ เราก็ผละไปหาสิ่งที่ตื่นเต้นเร้าใจแทน

จะเกิดปัญญาหรือความเห็นแจ้งได้ เราต้องมานะอดทน ปลดเปลื้องความเห็นผิดออกไป
วิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้นที่จะสามารถจะระงับความคิดตามนิสัยเดิมของเรา
และทำให้เราได้รู้ ได้สัมผัสกับความเงียบสงบและความว่างแห่งจิต
ถ้าไปอ่านหนังสือที่ว่าด้วยเรื่อง ปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นไปเองตามธรรมชาติของมัน
โดยไม่ต้องไปพยายามดิ้นรนขวนขวายแต่อย่างใด แล้วเราก็มาคำนึงว่าเราไม่ต้องทำอะไรเลย
นอนเอกเขนกขี้เกียจไปตามเรื่อง เมื่อเป็นเช่นนี้เราจะตกอยู่ในสภาพที่เซื่องซึมเฉื่อยชา

ในการปฏิบัติของอาตมา เมื่อใดที่รู้สึกตัวว่าเซื่องซึมไป
อาตมาจะหันมาให้ความสำคัญในการเปลี่ยนอิริยาบถเสียใหม่
คือจะยืดตัวให้ตรง เชิดอกขึ้น และเพิ่มพลังในท่านั่ง
แม้จะทำได้ในระยะสั้นเพียงไม่กี่นาที ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
ยิ่งเราเลือกเอาทางที่ไม่มีอุปสรรคหรือเอาแต่ของง่ายๆ มากเท่าใด
เราจะยิ่งตามอารมณ์ ตามตัณหาของเรามากเท่านั้น

การจะนั่งลงแล้วคิดโน่นคิดนี่ตลอดเวลานั้น มันง่ายกว่านั่งลงแล้วไม่คิด
เพราะเราติดนิสัยอย่างนั้นมานานแล้ว แม้ความคิดที่ว่า “จะไม่คิด”
มันก็ยังเป็นความคิดอย่างหนึ่งอยู่ดี ถ้าจะไม่คิดเราต้องมีสติ
แล้วเพียงเฝ้าสังเกตและฟังการเคลื่อนของจิต แทนที่จะคิดเรื่องจิต
เราจะเฝ้าดูมัน และแทนที่จะไปติดอยู่กับความคิดความฝัน เราจะรู้ทันมัน
ความคิดเป็นการเคลื่อนไหว เป็นพลังผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่เที่ยง
เราเพียงแต่รู้ไว้ว่า ความคิดก็เป็นเพียงความคิด โดยไม่ต้องไปประเมินคุณค่า
หรือแยกแยะแต่ประการใด แล้วมันจะเบาบางลงไป และจะระงับไปในที่สุด

นี้ไม่ได้หมายความว่า จงใจไปประหัตประหารมัน แต่ยอมให้ระงับไปเอง
เป็นลักษณะของความเมตตา นิสัยที่ชอบคิดจะเหือดหายไป
ความว่างอันไพศาลชนิดที่ไม่เคยประสบมาก่อนก็จะปรากฏแก่ท่าน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่