ต้องเข้าใจก่อนว่าวันนี้เงินบาทแข็งเพราะเงินเข้าสู่ตราสารหนี้ โดยเฉพาะจากญี่ปุ่น ซึ่งไม่สามารถใช้มาตรการการควบคุมเงินทุนได้ผล เพราะญี่ปุ่นใช้บัญชีระหว่างบริษัทแม่กับลูก ซึ่งเป็นบริษัทไทยคล้ายดีแทค เช่น การกู้ยืมระหว่างกัน การซื้อขายสินค้าระหว่างกัน หรือแม้การเพิ่มทุน เพื่อนำเงินเข้าไทย และการเปิดเสรีอาเซียน ยิ่งทำให้การควบคุมทางการเงินที่ไม่เป็นเสรีทำได้ยาก หรือถ้า ธปท ควบคุมเงินทุนเข้าสู่ตราสารหนี้ ยิ่งทำให้ต่างชาติเก็งหุ้นแทน หรือถ้าควบคุมเงินเข้าสู่ตลาดหุ้น ยิ่งทำให้ต่างชาติเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์แทน ซึ่งจะส่งผลรุนแรงต่อเศรษฐกิจ ถ้าเกิดฟองสบู่
ขณะที่แนวทางที่ ธปท ใช้คือคงดอกเบี้ยที่สูงกว่าเงินเฟ้ออย่างมาก(เงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 1.5) และมากกว่าดอกเบี้ยสหรัฐฯ และญี่ปุ่นที่เป็น 0 จะสนับสนุนเงินทุนไหลเข้าเพิ่มขึ้น และทำให้เกิดฟองสบู่เร็วขึ้น เพราะคิดง่ายๆ ว่าถ้าต่างชาติเอาเงินเข้ามา 2 ล้านล้านบาท ในตราสารหนี้ แน่นอนคนไทยจะต้องขายตราสารหนี้ที่ถืออยู่ให้ต่างชาติและถือเงินสด 2 ล้านล้าน ซึ่งต้องนำเงินสดกระจายไปลงทุน ซึ่งรวมทั้งอสังหาริมทรัพย์และหุ้น ถามว่าเดือนหน้าญี่ปุ่นนำเงินเข้าไทยจาก QE ยิ่งทำให้คนไทยมีเงินสดในมือเพิ่มขึ้น และยิ่งกระตุ้นฟองสบู่เพิ่มขึ้น
สิ่งที่ ธปท ทำคือการดูดซับสภาพคล่องที่เรียกว่า Money Sterilization ด้วยการออกพันธบัตร แน่นอนช่วยลดปริมาณเงินส่วนเกิน และลดความเสี่ยงฟองสบู่ แต่การดูดซับสภาพคล่อง ยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ต่างชาตินำเงินเข้าไทย เพราะอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรถูกบังคับโดย ธปท ให้อยู่สูงกว่าความจริงตามสภาพ Demand/Supply ของตลาดการเงิน ยิ่งทำให้ฟองสบู่เพิ่มขึ้น จากเงินทุนที่ไหลเข้า และยิ่งซ้ำเติม ธปท ให้มีต้นทุนการดูแลสภาพคล่องที่สูงเกินจริง
ธปท ควรทำอย่างไร สิ่งแรกคือถ้าให้มีการถือครองสกุลต่างประเทศเสรี ถ้าต่างชาตินำเงินเข้ามา 2 ล้านล้าน คนไทยถือเงินสด 2 ล้านล้าน และแน่นอนจะมีบางส่วนกระจายไปถือครองเงินตราต่างประเทศ ซึ่งลดการเก็งกำไรในหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ แต่สิ่งนี้ไม่สามารถหยุดเงินทุนไหลเข้าได้ และ ธปท ก็ยังต้องมีต้นทุนที่สูงในการดูดซับสภาพคล่อง และเงินทุนไหลเข้าที่เพิ่มขึ้น ยิ่งจะทำให้เกิดฟองสบู่ในหุ้นและอสังหาริมทรัพย์อยู่ดี
ถ้า ธปท เลือกทั้งให้ถือครองเงินตราต่างประเทศเสรี และลดดอกเบี้ยในต่ำ จะช่วยลดเงินทุนไหลเข้าลดลงชัดเจน และทำให้ไม่มีเงินส่วนเกินเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์และหุ้นเกินไป ขณะที่ ธปท จะไม่มีต้นทุนการดูแลสภาพคล่องที่สูงไป และมีเงินทุนไหลออกเสรี ถ้าดอกเบี้ยในประเทศต่ำ คนไทยก็มีสิทธิโยกเงินไปลงทุนที่อื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า ในตอนนี้ ธปท สามารถลดดอกเบี้ยให้อยู่ที่ร้อยละ 1.5-2 โดยไม่กระตุ้นให้เกิดการเก็งกำไร เพราะยังสูงกว่าเงินเฟ้อ ซึ่งแนวทางนี้ถึงเป็นการแก้ค่าเงินบาทที่แข็งค่า ลดภาวะฟองสบู่ และลดต้นทุนของ ธปท ในการดูแลสภาพคล่อง ขณะที่แนวทางที่ธ)ท ใช้คือ คงดอกเบี้ยสูง จะทำให้เงินบาทแข็งค่า ภาวะฟองสบู่รุนแรงขึ้น (ไม่เชื่อรออีก 1-2 ปี ว่าเงินลงทุนในหุ้นและอสังหาริมทรัพย์จะเพิ่มขนาดไหน) และ ธปท มีภาระต้นทุนสูงมากในการดูแลสภาพคล่อง
การแก้ไขค่าเงินแข็งโดยไม่เกิดฟองสบู่ ต้องให้มีการถือครองเงินต่างประเทศเสรี พร้อมลดดอกเบี้ยให้ต่ำที่สุด
ขณะที่แนวทางที่ ธปท ใช้คือคงดอกเบี้ยที่สูงกว่าเงินเฟ้ออย่างมาก(เงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 1.5) และมากกว่าดอกเบี้ยสหรัฐฯ และญี่ปุ่นที่เป็น 0 จะสนับสนุนเงินทุนไหลเข้าเพิ่มขึ้น และทำให้เกิดฟองสบู่เร็วขึ้น เพราะคิดง่ายๆ ว่าถ้าต่างชาติเอาเงินเข้ามา 2 ล้านล้านบาท ในตราสารหนี้ แน่นอนคนไทยจะต้องขายตราสารหนี้ที่ถืออยู่ให้ต่างชาติและถือเงินสด 2 ล้านล้าน ซึ่งต้องนำเงินสดกระจายไปลงทุน ซึ่งรวมทั้งอสังหาริมทรัพย์และหุ้น ถามว่าเดือนหน้าญี่ปุ่นนำเงินเข้าไทยจาก QE ยิ่งทำให้คนไทยมีเงินสดในมือเพิ่มขึ้น และยิ่งกระตุ้นฟองสบู่เพิ่มขึ้น
สิ่งที่ ธปท ทำคือการดูดซับสภาพคล่องที่เรียกว่า Money Sterilization ด้วยการออกพันธบัตร แน่นอนช่วยลดปริมาณเงินส่วนเกิน และลดความเสี่ยงฟองสบู่ แต่การดูดซับสภาพคล่อง ยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ต่างชาตินำเงินเข้าไทย เพราะอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรถูกบังคับโดย ธปท ให้อยู่สูงกว่าความจริงตามสภาพ Demand/Supply ของตลาดการเงิน ยิ่งทำให้ฟองสบู่เพิ่มขึ้น จากเงินทุนที่ไหลเข้า และยิ่งซ้ำเติม ธปท ให้มีต้นทุนการดูแลสภาพคล่องที่สูงเกินจริง
ธปท ควรทำอย่างไร สิ่งแรกคือถ้าให้มีการถือครองสกุลต่างประเทศเสรี ถ้าต่างชาตินำเงินเข้ามา 2 ล้านล้าน คนไทยถือเงินสด 2 ล้านล้าน และแน่นอนจะมีบางส่วนกระจายไปถือครองเงินตราต่างประเทศ ซึ่งลดการเก็งกำไรในหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ แต่สิ่งนี้ไม่สามารถหยุดเงินทุนไหลเข้าได้ และ ธปท ก็ยังต้องมีต้นทุนที่สูงในการดูดซับสภาพคล่อง และเงินทุนไหลเข้าที่เพิ่มขึ้น ยิ่งจะทำให้เกิดฟองสบู่ในหุ้นและอสังหาริมทรัพย์อยู่ดี
ถ้า ธปท เลือกทั้งให้ถือครองเงินตราต่างประเทศเสรี และลดดอกเบี้ยในต่ำ จะช่วยลดเงินทุนไหลเข้าลดลงชัดเจน และทำให้ไม่มีเงินส่วนเกินเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์และหุ้นเกินไป ขณะที่ ธปท จะไม่มีต้นทุนการดูแลสภาพคล่องที่สูงไป และมีเงินทุนไหลออกเสรี ถ้าดอกเบี้ยในประเทศต่ำ คนไทยก็มีสิทธิโยกเงินไปลงทุนที่อื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า ในตอนนี้ ธปท สามารถลดดอกเบี้ยให้อยู่ที่ร้อยละ 1.5-2 โดยไม่กระตุ้นให้เกิดการเก็งกำไร เพราะยังสูงกว่าเงินเฟ้อ ซึ่งแนวทางนี้ถึงเป็นการแก้ค่าเงินบาทที่แข็งค่า ลดภาวะฟองสบู่ และลดต้นทุนของ ธปท ในการดูแลสภาพคล่อง ขณะที่แนวทางที่ธ)ท ใช้คือ คงดอกเบี้ยสูง จะทำให้เงินบาทแข็งค่า ภาวะฟองสบู่รุนแรงขึ้น (ไม่เชื่อรออีก 1-2 ปี ว่าเงินลงทุนในหุ้นและอสังหาริมทรัพย์จะเพิ่มขนาดไหน) และ ธปท มีภาระต้นทุนสูงมากในการดูแลสภาพคล่อง