เศรษฐกิจฟองสบู่ของจีน : ที่มาของเศรษฐกิจฟองสบู่ (1)
ถ้ามีคนถามผมว่ากังวลกับปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจเรื่องใดมากที่สุดในปัจจุบัน ผมจะตอบว่าปัญหาเศรษฐกิจฟองสบู่ของจีนน่าห่วงที่สุด เพราะมีโอกาสสูงที่ฟองสบู่จะแตก จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้จัดการกองทุนโดยหนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal พบว่าสัดส่วนของผู้จัดการกองทุนที่มีความเห็นว่าเศรษฐกิจฟองสบู่ของจีนเป็นความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจาก 26% ในเดือนธันวาคม 2556 เป็น 37% และ 46% ในเดือนมกราคม และกุมภาพันธ์ 2557 ตามลำดับ สถาบันการเงินสำคัญหลายแห่ง เช่น ING, UBS, Societe Generale และ Merrill Lynch ได้ศึกษาผลกระทบกรณีที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัวอย่างรวดเร็ว (Hard Landing) และพบว่าสัญญาณต่างๆ ค่อนข้างชี้ชัดว่าฟองสบู่จีนเข้าสู่ขั้นสุดท้ายแล้ว ซึ่งถ้าฟองสบู่แตกและลุกลามจนกระทั่งรัฐบาลจีนคุมไม่อยู่ จะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะราคาสินค้าโภคภัณฑ์อย่างรุนแรง และจะทำให้สินค้าโภคภัณฑ์สำคัญของไทย เช่น ยางพารา และผลิตภัณฑ์ยางพารา มัน และน้ำมันปาล์ม ได้รับผลกระทบตามไปด้วย
ผมได้ศึกษาและติดตามปัญหาเศรษฐกิจจีนมาหลายปี โดยได้ทำการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ จนสามารถสรุปเป็นบทความขนาดยาวเกี่ยวกับปัญหาของเศรษฐกิจฟองสบู่จีน ซึ่งคาดว่าจะมีหลายตอน โดยฉบับแรกนี้จะเขียนถึงที่มาของปัญหาในภาพรวม ตอนต่อๆไปผมจะกล่าวถึงปัญหาแต่ละเรื่องแบบเฉพาะเจาะจง เช่น หนี้รัฐบาลท้องถิ่น, Shadow Banking, นโยบายเศรษฐกิจฉบับที่ 3 (The 3rd Plenum) และ Special Economic Zone ที่เซี่ยงไฮ้ และตอนสุดท้ายจะเป็นการคาดการณ์ทิศทางของเศรษฐกิจจีนในอนาคต จึงขอให้ท่านที่สนใจติดตามกันต่อไปครับ
ผู้อ่านอาจจะแปลกใจว่า พื้นฐานปัญหาเศรษฐกิจจีนมาจากปัจจัยที่ไม่แตกต่างจากวิกฤติการเงินในสหรัฐ ญี่ปุ่น และเอเชียตะวันออก นั่นก็คือ เกิดจากสภาพคล่องทางการเงินจำนวนมากและก่อให้เกิดเศรษฐกิจฟองสบู่ Dr. Jim Walker อดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ CLSA ได้อธิบายการเกิดปัญหาเศรษฐกิจฟองสบู่ว่ามาจากปรากฎการณ์ทางการเงินจากสภาพคล่องส่วนเกินตามทฤษฎีของ Austrian school ซึ่งสามารถคาดการณ์วิกฤติการเงินในประเทศเอเชียตะวันออกในปี 2540/41 (โดย Dr. Walker คาดการณ์ไว้ในปี 2537) และในปี 2549 Dr. Walker ได้ศึกษาการเกิดวิกฤติการเงินของสหรัฐฯ (ก่อนวิกฤติ Subprime ในปี 2551) พบว่า เมื่อขนาดของปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (Broad money) ขยายตัวในอัตราที่สูงกว่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 3 เท่าขึ้นไป ก็จะเกิดเศรษฐกิจฟองสบู่และปัญหาตามมา ซึ่งทฤษฎีนี้ ยังสามารถอธิบายการเกิดปัญหาเศรษฐกิจฟองสบู่ในญี่ปุ่นในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 ในประเทศกลุ่มละตินอเมริกาช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 และ 1980 และในไอร์แลนด์และสเปนในคริส์ทศวรรษ 2000 โดยพื้นฐานแล้วปรากฎการณ์ฟองสบู่ของจีนก็ไม่ได้แตกต่างจากที่เคยเกิดขึ้นในประเทศอื่นๆ ที่กล่าวมาแล้ว
สภาพคล่องจำนวนมากที่เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ในจีน เกิดจากการเกินดุลทั้งดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลบัญชีเงินทุน (รูปที่ 1 และ 2) พูดง่ายๆ คือ จีนขายของมากกว่าซื้อของ และมีนักลงทุนขนเงินเข้าประเทศจีนมากกว่าที่คนในจีนนำเงินออกนอกประเทศ ภาวะการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นติดต่อกันเป็นเวลานาน จึงทำให้เกิดการสะสมเงินทุนจำนวนมากในประเทศ คำถามคือ เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวได้อย่างไร จึงต้องย้อนกลับมาดูที่ปัจจัยพื้นฐาน จีนเป็นประเทศใหญ่มีประชากรกว่า 1,200 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 20 ของประชากรโลก ทำให้มีศักยภาพทั้งการเป็นตลาดที่ใหญ่อันดับต้นๆ ของโลก และมีปัจจัยการผลิตคือแรงงานราคาถูกจำนวนมาก (ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 -ต้นคริสต์ทศวรรษ 1990) ประกอบกับจีนได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) ในปี 2544 จึงทำให้ค้าขายในตลาดโลกได้ทัดเทียมกับประเทศสมาชิกอื่นๆ การที่ค้าขายได้ง่าย เป็นตลาดขนาดใหญ่และมีแรงงานมาก ส่งผลให้มีการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศเพื่อลงทุนในจีนจำนวนมาก จนทำให้จีนกลายเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมอันดับ 1 ของโลก และการส่งออกขยายตัวในอัตราที่สูงอย่างต่อเนื่อง เมื่อเศรษฐกิจรุ่งเรืองก็ดึงดูดให้เงินทุนต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในด้านอื่นๆ ทั้งการลงทุนในตลาดหุ้น (Portfolio Investment) และสินทรัพย์อื่นๆซึ่งรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ และการเก็งกำไรค่าเงิน
โดยปกติการขยายตัวของการส่งออกและการไหลเข้าของเงินทุนเพียงอย่างเดียว จะไม่ทำให้เกิดการเกินดุล ทั้งบัญชีเงินทุนและบัญชีการค้าอย่างต่อเนื่องเกินกว่า 10 ปี แต่จะต้องมีปัจจัยสนับสนุนอื่นประกอบด้วย ก็คือ มีการแทรกแซงจากภาครัฐด้วยการกำหนดค่าเงินให้ต่ำ และควบคุมเงินทุนไหลออก ทำให้กลไกตลาดไม่ทำงานอย่างเสรี ถ้าปล่อยให้กลไกตลาดทำงานตามปกติ เมื่อเกินดุลมากๆ ค่าเงินหยวนของจีนจะสูงค่าขึ้น ซึ่งจะทำให้การส่งออกลดลง และการนำเข้าสูงขึ้น จนดุลการค้าและดุลเงินทุนปรับตัวเข้าสู่ภาวะที่ทำให้เศรษฐกิจมีความสมดุล แต่เนื่องจากจีนมีการกำหนดค่าเงินหยวนตายตัวที่ 8.28 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จนถึงปี 2547 จึงค่อยปล่อยค่าเงินหยวนให้เคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ค่าเงินจึงปรับอย่างเชื่องช้ามาก ทำให้กลไกตลาดไม่ได้ทำงานเพียงพอที่จะทำให้ภาคต่างประเทศของจีนเข้าสู่ภาวะสมดุลได้
ผลจากการที่เศรษฐกิจขยายตัวร้อนแรง ประกอบกับมาตรการค่าเงินและการควบคุมเงินทุนไหลออก ทำให้เงินสำรองระหว่างประเทศ (foreign reserve) และปริมาณเงินพุ่งขึ้นอย่างมากและต่อเนื่อง เงินสำรองฯของจีนพุ่งขึ้นจากประมาณ 2.1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อปลายปี 2544 มาอยู่ที่ 3.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ ปลายปี 2556 (รูปที่ 3) เงินตราต่างประเทศที่ทะลักเข้าสู่ประเทศ ทำให้เงินท่วมระบบเศรษฐกิจ ธนาคารพาณิชย์ได้ปล่อยกู้อย่างรวดเร็วคล้ายกับประเทศไทยในยุคเศรษฐกิจเฟื่องฟูหรือยุคฟองสบู่ ประกอบกับระบบการกำกับดูแลสถาบันการเงินหละหลวม การพัฒนาระบบ Shadow Banking (ผมจะเขียนถึงเรื่องนี้ในรายละเอียดในตอนต่อๆไป) รวมถึงมาตรการภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจจีนเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจฟองสบู่ ตั้งแต่ช่วงปี 2546-47 ทว่าขณะนั้นเศรษฐกิจยังเข้มแข็งและรัฐบาลดูแลปัญหาอย่างใกล้ชิด ทำให้ปัญหาไม่ขยายตัวจนเกินการควบคุม
ผลจากวิกฤติ Subprime ทำให้รัฐบาลจีนต้องหันมากระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2552 ด้วยมาตรการที่มีมูลค่าสูงถึงประมาณ 586,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณร้อยละ 10 ของ GDP ประเทศ (เป็นรองเพียงสหรัฐฯที่มีมูลค่า 787,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) โดยรัฐบาลจีนได้กระตุ้นเศรษฐกิจ 2 ทาง คือเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐโดยตรง และให้ธนาคารใหญ่ 4 แห่ง เร่งปล่อยสินเชื่อแก่ทั้งภาคเอกชนและรัฐบาลท้องถิ่น ส่งผลให้สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ และสินเชื่อประเภทอื่นๆ พุ่งตัวขึ้นอย่างรุนแรง (รูปที่ 4) ที่น่าสังเกตุก็คือในช่วงปีที่รัฐบาลเร่งให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อ ปริมาณสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าการเพิ่มขึ้นของมูลค่าเศรษฐกิจ (รูปที่ 5) ซึ่งตีความได้ว่าอย่างน้อยสินเชื่อส่วนหนึ่งได้ใช้ในการซื้อสินทรัพย์อื่น เช่น อสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน เพื่อการเก็งกำไร
เศรษฐกิจร้อนแรง บวกกับมาตรการหละหลวม รวมถึงการกำหนดค่าเงินให้ต่ำและควบคุมการไหลออกของเงิน ทำให้สภาพคล่องท่วมระบบ นำไปสู่การลงทุนส่วนเกินและเก็งกำไรในหลายภาคธุรกิจ ซึ่งเป็นต้นตอของภาวะฟองสบู่ ฉบับต่อไปผมจะเขียนถึงผลของสภาพคล่องที่มีต่อเศรษฐกิจจีนและการเกิดฟองสบู่ โปรดติตามตอนต่อไปครับ
ดร.บันลือศักดิ์ ปุสสะรังษี
ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)
เศรษฐกิจฟองสบู่ของจีน : ที่มาของเศรษฐกิจฟองสบู่ (1)
ถ้ามีคนถามผมว่ากังวลกับปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจเรื่องใดมากที่สุดในปัจจุบัน ผมจะตอบว่าปัญหาเศรษฐกิจฟองสบู่ของจีนน่าห่วงที่สุด เพราะมีโอกาสสูงที่ฟองสบู่จะแตก จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้จัดการกองทุนโดยหนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal พบว่าสัดส่วนของผู้จัดการกองทุนที่มีความเห็นว่าเศรษฐกิจฟองสบู่ของจีนเป็นความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจาก 26% ในเดือนธันวาคม 2556 เป็น 37% และ 46% ในเดือนมกราคม และกุมภาพันธ์ 2557 ตามลำดับ สถาบันการเงินสำคัญหลายแห่ง เช่น ING, UBS, Societe Generale และ Merrill Lynch ได้ศึกษาผลกระทบกรณีที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัวอย่างรวดเร็ว (Hard Landing) และพบว่าสัญญาณต่างๆ ค่อนข้างชี้ชัดว่าฟองสบู่จีนเข้าสู่ขั้นสุดท้ายแล้ว ซึ่งถ้าฟองสบู่แตกและลุกลามจนกระทั่งรัฐบาลจีนคุมไม่อยู่ จะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะราคาสินค้าโภคภัณฑ์อย่างรุนแรง และจะทำให้สินค้าโภคภัณฑ์สำคัญของไทย เช่น ยางพารา และผลิตภัณฑ์ยางพารา มัน และน้ำมันปาล์ม ได้รับผลกระทบตามไปด้วย
ผมได้ศึกษาและติดตามปัญหาเศรษฐกิจจีนมาหลายปี โดยได้ทำการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ จนสามารถสรุปเป็นบทความขนาดยาวเกี่ยวกับปัญหาของเศรษฐกิจฟองสบู่จีน ซึ่งคาดว่าจะมีหลายตอน โดยฉบับแรกนี้จะเขียนถึงที่มาของปัญหาในภาพรวม ตอนต่อๆไปผมจะกล่าวถึงปัญหาแต่ละเรื่องแบบเฉพาะเจาะจง เช่น หนี้รัฐบาลท้องถิ่น, Shadow Banking, นโยบายเศรษฐกิจฉบับที่ 3 (The 3rd Plenum) และ Special Economic Zone ที่เซี่ยงไฮ้ และตอนสุดท้ายจะเป็นการคาดการณ์ทิศทางของเศรษฐกิจจีนในอนาคต จึงขอให้ท่านที่สนใจติดตามกันต่อไปครับ
ผู้อ่านอาจจะแปลกใจว่า พื้นฐานปัญหาเศรษฐกิจจีนมาจากปัจจัยที่ไม่แตกต่างจากวิกฤติการเงินในสหรัฐ ญี่ปุ่น และเอเชียตะวันออก นั่นก็คือ เกิดจากสภาพคล่องทางการเงินจำนวนมากและก่อให้เกิดเศรษฐกิจฟองสบู่ Dr. Jim Walker อดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ CLSA ได้อธิบายการเกิดปัญหาเศรษฐกิจฟองสบู่ว่ามาจากปรากฎการณ์ทางการเงินจากสภาพคล่องส่วนเกินตามทฤษฎีของ Austrian school ซึ่งสามารถคาดการณ์วิกฤติการเงินในประเทศเอเชียตะวันออกในปี 2540/41 (โดย Dr. Walker คาดการณ์ไว้ในปี 2537) และในปี 2549 Dr. Walker ได้ศึกษาการเกิดวิกฤติการเงินของสหรัฐฯ (ก่อนวิกฤติ Subprime ในปี 2551) พบว่า เมื่อขนาดของปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (Broad money) ขยายตัวในอัตราที่สูงกว่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 3 เท่าขึ้นไป ก็จะเกิดเศรษฐกิจฟองสบู่และปัญหาตามมา ซึ่งทฤษฎีนี้ ยังสามารถอธิบายการเกิดปัญหาเศรษฐกิจฟองสบู่ในญี่ปุ่นในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 ในประเทศกลุ่มละตินอเมริกาช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 และ 1980 และในไอร์แลนด์และสเปนในคริส์ทศวรรษ 2000 โดยพื้นฐานแล้วปรากฎการณ์ฟองสบู่ของจีนก็ไม่ได้แตกต่างจากที่เคยเกิดขึ้นในประเทศอื่นๆ ที่กล่าวมาแล้ว
สภาพคล่องจำนวนมากที่เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ในจีน เกิดจากการเกินดุลทั้งดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลบัญชีเงินทุน (รูปที่ 1 และ 2) พูดง่ายๆ คือ จีนขายของมากกว่าซื้อของ และมีนักลงทุนขนเงินเข้าประเทศจีนมากกว่าที่คนในจีนนำเงินออกนอกประเทศ ภาวะการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นติดต่อกันเป็นเวลานาน จึงทำให้เกิดการสะสมเงินทุนจำนวนมากในประเทศ คำถามคือ เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวได้อย่างไร จึงต้องย้อนกลับมาดูที่ปัจจัยพื้นฐาน จีนเป็นประเทศใหญ่มีประชากรกว่า 1,200 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 20 ของประชากรโลก ทำให้มีศักยภาพทั้งการเป็นตลาดที่ใหญ่อันดับต้นๆ ของโลก และมีปัจจัยการผลิตคือแรงงานราคาถูกจำนวนมาก (ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 -ต้นคริสต์ทศวรรษ 1990) ประกอบกับจีนได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) ในปี 2544 จึงทำให้ค้าขายในตลาดโลกได้ทัดเทียมกับประเทศสมาชิกอื่นๆ การที่ค้าขายได้ง่าย เป็นตลาดขนาดใหญ่และมีแรงงานมาก ส่งผลให้มีการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศเพื่อลงทุนในจีนจำนวนมาก จนทำให้จีนกลายเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมอันดับ 1 ของโลก และการส่งออกขยายตัวในอัตราที่สูงอย่างต่อเนื่อง เมื่อเศรษฐกิจรุ่งเรืองก็ดึงดูดให้เงินทุนต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในด้านอื่นๆ ทั้งการลงทุนในตลาดหุ้น (Portfolio Investment) และสินทรัพย์อื่นๆซึ่งรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ และการเก็งกำไรค่าเงิน
โดยปกติการขยายตัวของการส่งออกและการไหลเข้าของเงินทุนเพียงอย่างเดียว จะไม่ทำให้เกิดการเกินดุล ทั้งบัญชีเงินทุนและบัญชีการค้าอย่างต่อเนื่องเกินกว่า 10 ปี แต่จะต้องมีปัจจัยสนับสนุนอื่นประกอบด้วย ก็คือ มีการแทรกแซงจากภาครัฐด้วยการกำหนดค่าเงินให้ต่ำ และควบคุมเงินทุนไหลออก ทำให้กลไกตลาดไม่ทำงานอย่างเสรี ถ้าปล่อยให้กลไกตลาดทำงานตามปกติ เมื่อเกินดุลมากๆ ค่าเงินหยวนของจีนจะสูงค่าขึ้น ซึ่งจะทำให้การส่งออกลดลง และการนำเข้าสูงขึ้น จนดุลการค้าและดุลเงินทุนปรับตัวเข้าสู่ภาวะที่ทำให้เศรษฐกิจมีความสมดุล แต่เนื่องจากจีนมีการกำหนดค่าเงินหยวนตายตัวที่ 8.28 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จนถึงปี 2547 จึงค่อยปล่อยค่าเงินหยวนให้เคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ค่าเงินจึงปรับอย่างเชื่องช้ามาก ทำให้กลไกตลาดไม่ได้ทำงานเพียงพอที่จะทำให้ภาคต่างประเทศของจีนเข้าสู่ภาวะสมดุลได้
ผลจากการที่เศรษฐกิจขยายตัวร้อนแรง ประกอบกับมาตรการค่าเงินและการควบคุมเงินทุนไหลออก ทำให้เงินสำรองระหว่างประเทศ (foreign reserve) และปริมาณเงินพุ่งขึ้นอย่างมากและต่อเนื่อง เงินสำรองฯของจีนพุ่งขึ้นจากประมาณ 2.1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อปลายปี 2544 มาอยู่ที่ 3.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ ปลายปี 2556 (รูปที่ 3) เงินตราต่างประเทศที่ทะลักเข้าสู่ประเทศ ทำให้เงินท่วมระบบเศรษฐกิจ ธนาคารพาณิชย์ได้ปล่อยกู้อย่างรวดเร็วคล้ายกับประเทศไทยในยุคเศรษฐกิจเฟื่องฟูหรือยุคฟองสบู่ ประกอบกับระบบการกำกับดูแลสถาบันการเงินหละหลวม การพัฒนาระบบ Shadow Banking (ผมจะเขียนถึงเรื่องนี้ในรายละเอียดในตอนต่อๆไป) รวมถึงมาตรการภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจจีนเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจฟองสบู่ ตั้งแต่ช่วงปี 2546-47 ทว่าขณะนั้นเศรษฐกิจยังเข้มแข็งและรัฐบาลดูแลปัญหาอย่างใกล้ชิด ทำให้ปัญหาไม่ขยายตัวจนเกินการควบคุม
ผลจากวิกฤติ Subprime ทำให้รัฐบาลจีนต้องหันมากระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2552 ด้วยมาตรการที่มีมูลค่าสูงถึงประมาณ 586,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณร้อยละ 10 ของ GDP ประเทศ (เป็นรองเพียงสหรัฐฯที่มีมูลค่า 787,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) โดยรัฐบาลจีนได้กระตุ้นเศรษฐกิจ 2 ทาง คือเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐโดยตรง และให้ธนาคารใหญ่ 4 แห่ง เร่งปล่อยสินเชื่อแก่ทั้งภาคเอกชนและรัฐบาลท้องถิ่น ส่งผลให้สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ และสินเชื่อประเภทอื่นๆ พุ่งตัวขึ้นอย่างรุนแรง (รูปที่ 4) ที่น่าสังเกตุก็คือในช่วงปีที่รัฐบาลเร่งให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อ ปริมาณสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าการเพิ่มขึ้นของมูลค่าเศรษฐกิจ (รูปที่ 5) ซึ่งตีความได้ว่าอย่างน้อยสินเชื่อส่วนหนึ่งได้ใช้ในการซื้อสินทรัพย์อื่น เช่น อสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน เพื่อการเก็งกำไร
เศรษฐกิจร้อนแรง บวกกับมาตรการหละหลวม รวมถึงการกำหนดค่าเงินให้ต่ำและควบคุมการไหลออกของเงิน ทำให้สภาพคล่องท่วมระบบ นำไปสู่การลงทุนส่วนเกินและเก็งกำไรในหลายภาคธุรกิจ ซึ่งเป็นต้นตอของภาวะฟองสบู่ ฉบับต่อไปผมจะเขียนถึงผลของสภาพคล่องที่มีต่อเศรษฐกิจจีนและการเกิดฟองสบู่ โปรดติตามตอนต่อไปครับ
ดร.บันลือศักดิ์ ปุสสะรังษี
ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)