ใครคนรับผิดชอบ
1.ธนาคารแห่งประเทศไทย
2.รัฐบาล
ถามต่อ ถ้ารัฐบาลเห็น การบริหารงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล เอาประเทศเข้าไปเสี่ยง จะทำการปลดผู้บริหารได้เลยหรือ ก่อนจะสายเกินไป
*************-*************
จาก
http://news.voicetv.co.th/business/61845.html
นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ หรือ กยอ. เปิดเผยว่า อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ร้อยละ 0.25 ซึ่งอยู่ในระดับค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับหลายประเทศทั่วโลก จึงเป็นแรงจูงใจให้มีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดทุนไทยเป็นจำนวนมาก ทั้งในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง และค่อนข้างเคลื่อนไหวในทิศทางที่ผันผวน และหากปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไปจะทำให้เกิดฟองสบู่ในภาคตลาดเงินและตลาดทุนอย่างรุนแรง ท้ายที่สุดก็จะลุกลามสู่ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมในที่สุด ซึ่งอาจรุนแรงพอๆ กับวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540
ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อลดช่องว่างส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยไทยกับอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เพื่อหยุดการเคลื่อนย้ายเงินทุนระยะสั้น ขณะเดียวกันอาจต้องหามาตรการอื่นๆ สะกัดกั้นการไหลเข้าของเงินตราต่างประเทศ แต่ต้องไม่ใช่แนวทางที่กระทบต่อกลไกตลาด โดยขณะนี้เริ่มเห็นสัญญานการเข้ามาเก็งกำไรของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้แล้ว
ถามหน่อย หากเกิดวิกฤติ ทางการเงิน "เนื่องจากการการบริหารดอกเบี้ยผิดผลาด"
1.ธนาคารแห่งประเทศไทย
2.รัฐบาล
ถามต่อ ถ้ารัฐบาลเห็น การบริหารงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล เอาประเทศเข้าไปเสี่ยง จะทำการปลดผู้บริหารได้เลยหรือ ก่อนจะสายเกินไป
*************-*************
จาก http://news.voicetv.co.th/business/61845.html
นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ หรือ กยอ. เปิดเผยว่า อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ร้อยละ 0.25 ซึ่งอยู่ในระดับค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับหลายประเทศทั่วโลก จึงเป็นแรงจูงใจให้มีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดทุนไทยเป็นจำนวนมาก ทั้งในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง และค่อนข้างเคลื่อนไหวในทิศทางที่ผันผวน และหากปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไปจะทำให้เกิดฟองสบู่ในภาคตลาดเงินและตลาดทุนอย่างรุนแรง ท้ายที่สุดก็จะลุกลามสู่ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมในที่สุด ซึ่งอาจรุนแรงพอๆ กับวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540
ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อลดช่องว่างส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยไทยกับอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เพื่อหยุดการเคลื่อนย้ายเงินทุนระยะสั้น ขณะเดียวกันอาจต้องหามาตรการอื่นๆ สะกัดกั้นการไหลเข้าของเงินตราต่างประเทศ แต่ต้องไม่ใช่แนวทางที่กระทบต่อกลไกตลาด โดยขณะนี้เริ่มเห็นสัญญานการเข้ามาเก็งกำไรของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้แล้ว