๒๕ กุมภา มาฆะฤกษ์ ได้เวียนมาบรรจบครบรอบอีกวาระหนึ่ง เป็นวันสำคัญที่ชาวพุทธควรรำลึก น้อมปฏิบัติบูชาเพื่อพาให้ชีวิตของตนห่างไกลจากกิเลสและอุปกิเลสทั้งหลาย มีโอกาสที่จะได้เข้าใกล้พระนิพพานอันเป็นสิ่งสูงสุดในพระพุทธศาสนา ซึ่งผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่ได้อธิษฐานตั้งจิตเอาไว้ในใจ ส่วนจะถึงได้หรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับกำลังความพากเพียรพยายามและบารมีต่างๆแต่เก่าก่อนที่ได้เคยสะสมไว้ คอยหนุนเสริมให้ด้วยอีกแรงหนึ่ง
แต่ที่น่าเป็นห่วงเอาอย่างมากๆนั้นก็คือ ความเข้าใจในเรื่องหัวใจพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธองค์ได้ทรงวางหลักไว้ในวันมาฆบูชา ได้ถูกต้องตรงตามพระพุทธประสงค์หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับแหล่งความรู้ที่ตนได้เรียนรู้มา ในปัจจุบันมีแหล่งให้ศึกษาเรียนรู้ได้ในหลายทาง บ้างศึกษาเอาเองจากตำรา(ปิฎก) บ้างฟังๆผู้รู้มาแล้วนำไปปฏิบัติเอง บ้างเข้าหาพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระหรือฆราวาสเพื่อนำทางให้
เมื่อท่านเหล่านั้นสั่งสอนอะไรมาก็เชื่อไปหมด เพราะท่านเป็นพระคงไม่โกหก หรือท่านเป็นบุคคลที่มีหน้ามีตาในสังคมคงเชื่อถือได้ มองข้ามข้อเท็จจริงที่พระพุทธองค์ได้ทรงวางหลักเกณฑ์ให้พวกเราไว้เป็นหลักแล้ว โดยเราไม่เคยนำมาสอบสวน เทียบเคียงว่าลงกันได้หรือไม่ กับพระธรรมคำสอนที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้ว
ซึ่งเราสามารถนำเอาคำสอนต่างๆที่ได้รู้มาจากแหล่งต่างๆนั้น มาสมาทาน มาสอบสวน มาตรวจสอบ มาเทียบเคียงให้เห็นจริงได้ ว่าผลที่ปรากฏออกมานั้น ทำให้เราห่างไกลจากกิเลสหรือว่ายังเกาะเกี่ยวกิเลสที่ละเอียดอ่อนอย่างเหนียวแน่น โดยการลงมือปฏิบัติบูชา แทนความเชื่อที่มีตามๆกันมา เพื่อพิสูจน์ทราบความจริงของพระธรรมคำสั่งสอนเหล่านั้น
แม้นพระพุทธองค์เองในครั้งที่ยังดำรงตนเป็นพระโพธิสัตว์อยู่นั้น ก็ได้ทรงเชื่อแบบเชื่อตามๆกันมาว่า อาจารย์อุทกฬาบส และอาจารย์อาฬารดาบส เป็นผู้ซึ่งไกลจากกิเลสแล้ว แต่เมื่อพระพุทธองค์ทรงเข้าหาเพื่อสมาทานพิสูจน์ทราบ ก็รู้ความจริงว่า เป็นเพียงผู้มีกิเลสเบาบางเท่านั้น ไม่สามารถห่างไกลหรือปราศจากกิเลสลงได้ เนื่องจากยังเกาะเกี่ยวอารมณ์ฌานอันวิเศษละเอียดอ่อนอย่างเหนียวแน่น
ดังนั้น เราควรมาเริ่มต้นศึกษาหัวใจพระพุทธศาสนาที่พระพุทธองค์ทรงตรัสย่นย่อคำสอนของพระองค์เองที่มีมากมายนั้นเหลือไว้เพียง
๑.ละชั่ว
๒.ทำดี
๓.ทำ(ชำระ)จิตใจให้บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย
ซึ่งเป็นหัวใจของการปฏิบัติธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้นได้
เมื่อพิจารณาองค์ธรรมทั้ง ๓ สามข้อนั้น ล้วนเป็นเรื่องของการปฏิบัติธรรม เพื่อแยกจิตกับอารมณ์ ที่เป็นเรื่องปรกติในโลก อันชอบเกาะเกี่ยวกันอย่างเหนียวแน่นจนคล้ายเป็นเนื้อเดียว เพื่อแยกจิตกับอารมณ์ออกจากกันให้ได้อย่างรวดเร็ว
โดยความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในโลกนั้น ล้วนเป็นเรื่องของจิตที่แส่ส่ายออกไปหาอารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าอารมณ์ที่ดี ไม่ว่าอารมณ์ที่ชั่ว จิตมักยึดอารมณ์เหล่านั้นเข้ามาเป็นของๆตนอย่างเหนียวแน่น โดยผ่านช่องทางที่รับรู้อารมณ์ที่เรียกว่าอายตนะภายในทั้ง ๖ และยึดถือเอาอาการต่างๆที่เกิดขึ้นมานั้นว่าเป็นตน เป็นของๆตน โดยไม่รู้จักสภาพธรรมที่แท้จริงที่เป็นสภาพเดิมของจิต(ธาตุรู้)เลย เพราะจิตปล่อยวางอารมณ์ต่างๆเหล่านั้นไม่เป็น เนื่องจากขาดการปฏิบัติฝึกฝนอบรมสัมมาสมาธิ(มรรค) อันเป็นฌานที่ฝึกปล่อยวางอารมณ์ออกไปจากจิต เพื่ออบรมจิตใจของตน ให้เที่ยงตรง คงที่ ไม่แปรผัน ไม่หวั่นไหวไปกับอารมณ์ที่เป็นแขกจรเข้ามา
เมื่อพูดถึงเรื่อง "จิตและการปฏิบัตฝึกฝนอบรมจิตของตน" แล้ว มักมีการถกธรรมกันพอหอมปากหอมคอ ระหว่างนักตำรานิยมที่ยึดมั่นแต่ในตัวหนังสือที่เป็นปิฎก กับนักปฏิบัติที่ลงมือปฏิบัติภาวนาอย่างจริงจัง โดยการศึกษาตำรามาบ้าง อาจมีความเห็น ความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน จนลงกันไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่อง "จิต" ที่มีสภาพธรรม เป็นแม่ธาตุ ๑ใน ๖ ธาตุที่ประกอบขึ้นมาเป็นรูปร่างกายคน สัตว์ในปัจจุบัน หรือ เป็นธาตุรู้ ที่ได้ถูกอวิชชาครอบงำจนหลงงมงายไหลไปกับอารมณ์กิเลสตัณหาต่างๆที่มีอยู่
จิตของคนหรือสัตว์ทุกรูปทุกนามมีกันคนละดวง ส่วนอาการของจิตนั้นมีเป็นร้อยดวงดังที่มีรจนาไว้ เราเรียกอาการของจิตที่มีราคะ โทสะ โมหะ ว่าราคะจิต โทสะจิต โมหะจิต เรียกเป็น "ดวง" เช่นกัน ส่วนที่เกิดดับนั้นก็คือ อาการของจิตที่มีราคะ โทสะ โมหะดับไปนั่นเอง ดังมีพระพุทธพจน์ในมหาสติปัฏฐาน ๔ รับรองไว้ว่า
จิตมีราคะ โทสะ โมหะ ก็รู้ชัดว่า จิตมีราคะ โทสะ โมหะ
จิตปราศจากราคะ โทสะ โมหะ ก็รู้ชัดเช่นกันว่า จิตปราศจากราคะ โทสะ โมหะ
ส่วนใหญ่แล้วจิตมักไหลไปกับอารมณ์ต่างๆ จนเข้าใจไปว่าจิตเป็นเนื้อเดียวกับอารมณ์นั้น เพราะเมื่อรู้ตัวแต่ละครั้ง จิตได้ละอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและยึดอารมณ์ใหม่เป็นของๆตนแล้ว โดยไม่ทันรู้ตัว
ท่านอรรถกถาจารย์ท่านได้รจนาเรื่องจิตและอาการของจิตที่อยู่ในโลกเป็นหลัก ที่ดวงจิตเกิดดับรวดเร็วมากนั้น ล้วนเป็นอาการของจิตดวงนั้นๆ โดยหลักเหตุผลแล้ว เราไม่สามารถฝึกฝนอบรมอะไรก็ตามที่ตนเองมีสภาพธรรมที่เกิดๆดับๆอยู่ตลอดเวลา นอกจากว่าสำคัญผิดว่าตนเองเกิดๆดับๆ เพราะมันเกิดขึ้นเร็วมาก จนเข้าใจไปเป็นเช่นนั้น พระพุทธองค์ทรงได้บัญญัติธรรมอันเป็นเครื่องแก้เหตุเหล่านี้ มีเร็วก็มีช้าแก้ มีร้อนก็มีเย็นแก้ มีวุนว่ายก็มีความสงบสันติแก้ ฯลฯ เราก็จะพิสูจน์ได้ด้วยตนเองว่า สิ่งที่เราสมาทานมานั้น ดี มีประโยชน์ ผู้รู้ไม่ติเตียน และคำสอนเหล่านั้นที่เรียนรู้มา ลงกันได้กับพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์หรือไม่
มีพระบาลีที่กล่าวถึงพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ที่ทรงอุบัติขึ้นมาในโลก ล้วนสั่งสอนเรื่องการชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองหลุดพ้นได้ เพราะมีธรรมอันยิ่ง ดังนี้ “อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธานสาสนํ การทำให้" จิต" มีธรรมอันยิ่ง(อธิจิต) เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย”
และมีพระพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า "อธิจิตตสิกขา เป็นไฉน?"
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุข อันเกิดแต่วิเวกอยู่
บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต ณ ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกและวิจารสงบไป
มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่ เพราะปีติสิ้นไป จึงมีอุเบกขา
มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย บรรลุตติยฌาน
ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข
บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์
และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
นี้ชื่อว่า อธิจิตตสิกขา
บทส่งท้าย
บทความนี้เป็นการเปิดธรรมทัศน์ ไม่ได้ชี้ถูกชี้ผิดใดๆ โดยอ้างอิงพระพุทธพจน์ ที่มาจากพระพุทธประวัติและพระสูตรบางส่วน ที่ต้องอ้างอิงเพราะเห็นว่า มีความเข้าใจผิดๆอย่างมากเกี่ยวกับฌานสมาบัติ ๘ ซึ่งเป็นฌานที่มีมาก่อนพระพุทธเจ้าสมณะโคดมจะอุบัติขึ้นมาก่อนเสียอีก แต่ไปเข้าใจว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับฌานในสัมมาสมาธิที่เป็นหนึ่งในอริยมรรค ทั้งๆที่เป็นคนละเรื่องกันเลย
ฌานที่เกิดจากสมาบัติ ๘ นั้น พระพุทธองค์ได้ทรงปฏิเสธไปแล้วโดยสิ้นเชิงแล้วก่อนที่พระพุทธองค์จะทรงตรัสรู้ว่า ไม่ใช่หนทางแห่งความพ้นทุกข์ เป็นเพียงโลกียปัญญา ทำให้กิเลสเบาบางได้เท่านั้น และได้ปฏิเสธอย่างหนักแน่นอีกครั้งในตอนประกาศพระธัมมจักกัปปวัตนสูตรว่า "อันธรรมที่เราได้ตรัสรู้มานั้น เราได้ตรัสรู้มาด้วยตนเองมานั้น เป็นธรรมที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่ไหนมาก่อนเลย" ก็เป็นที่ยืนยันแน่นอนแล้วว่าฌานสมาบัติ ๘ เป็นฌานสมาธิที่ไม่ใช่ฌานในสัมมาสมาธิกรรมฐานภาวนา แต่ใครที่ผ่านฌานสมาบัติมาได้นั้น ย่อมเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว เมื่อมีผู้รู้ชี้ให้เห็นถึงข้อแตกต่างเหล่านั้นได้ดังนี้
"เมื่อภิกษุมีความเพียรเป็นเครื่องตื่น มีสติสัมปชัญญะ มีจิตตั้งมั่น เบิกบานผ่องใส
เห็นแจ้งในกุศลธรรมทั้งหลายสมควรแก่กาลในการประกอบกรรมฐานนั้นเนืองๆ
พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตผลในปัจจุบัน
หรือเมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ ความเป็นพระอนาคามี ฯ"
ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่าน
ธรรมภูต
๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ มาฆะฤกษ์ ร่วมใจกันน้อมปฏิบัติบูชา
๒๕ กุมภา มาฆะฤกษ์ ได้เวียนมาบรรจบครบรอบอีกวาระหนึ่ง เป็นวันสำคัญที่ชาวพุทธควรรำลึก น้อมปฏิบัติบูชาเพื่อพาให้ชีวิตของตนห่างไกลจากกิเลสและอุปกิเลสทั้งหลาย มีโอกาสที่จะได้เข้าใกล้พระนิพพานอันเป็นสิ่งสูงสุดในพระพุทธศาสนา ซึ่งผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่ได้อธิษฐานตั้งจิตเอาไว้ในใจ ส่วนจะถึงได้หรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับกำลังความพากเพียรพยายามและบารมีต่างๆแต่เก่าก่อนที่ได้เคยสะสมไว้ คอยหนุนเสริมให้ด้วยอีกแรงหนึ่ง
แต่ที่น่าเป็นห่วงเอาอย่างมากๆนั้นก็คือ ความเข้าใจในเรื่องหัวใจพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธองค์ได้ทรงวางหลักไว้ในวันมาฆบูชา ได้ถูกต้องตรงตามพระพุทธประสงค์หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับแหล่งความรู้ที่ตนได้เรียนรู้มา ในปัจจุบันมีแหล่งให้ศึกษาเรียนรู้ได้ในหลายทาง บ้างศึกษาเอาเองจากตำรา(ปิฎก) บ้างฟังๆผู้รู้มาแล้วนำไปปฏิบัติเอง บ้างเข้าหาพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระหรือฆราวาสเพื่อนำทางให้
เมื่อท่านเหล่านั้นสั่งสอนอะไรมาก็เชื่อไปหมด เพราะท่านเป็นพระคงไม่โกหก หรือท่านเป็นบุคคลที่มีหน้ามีตาในสังคมคงเชื่อถือได้ มองข้ามข้อเท็จจริงที่พระพุทธองค์ได้ทรงวางหลักเกณฑ์ให้พวกเราไว้เป็นหลักแล้ว โดยเราไม่เคยนำมาสอบสวน เทียบเคียงว่าลงกันได้หรือไม่ กับพระธรรมคำสอนที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้ว
ซึ่งเราสามารถนำเอาคำสอนต่างๆที่ได้รู้มาจากแหล่งต่างๆนั้น มาสมาทาน มาสอบสวน มาตรวจสอบ มาเทียบเคียงให้เห็นจริงได้ ว่าผลที่ปรากฏออกมานั้น ทำให้เราห่างไกลจากกิเลสหรือว่ายังเกาะเกี่ยวกิเลสที่ละเอียดอ่อนอย่างเหนียวแน่น โดยการลงมือปฏิบัติบูชา แทนความเชื่อที่มีตามๆกันมา เพื่อพิสูจน์ทราบความจริงของพระธรรมคำสั่งสอนเหล่านั้น
แม้นพระพุทธองค์เองในครั้งที่ยังดำรงตนเป็นพระโพธิสัตว์อยู่นั้น ก็ได้ทรงเชื่อแบบเชื่อตามๆกันมาว่า อาจารย์อุทกฬาบส และอาจารย์อาฬารดาบส เป็นผู้ซึ่งไกลจากกิเลสแล้ว แต่เมื่อพระพุทธองค์ทรงเข้าหาเพื่อสมาทานพิสูจน์ทราบ ก็รู้ความจริงว่า เป็นเพียงผู้มีกิเลสเบาบางเท่านั้น ไม่สามารถห่างไกลหรือปราศจากกิเลสลงได้ เนื่องจากยังเกาะเกี่ยวอารมณ์ฌานอันวิเศษละเอียดอ่อนอย่างเหนียวแน่น
ดังนั้น เราควรมาเริ่มต้นศึกษาหัวใจพระพุทธศาสนาที่พระพุทธองค์ทรงตรัสย่นย่อคำสอนของพระองค์เองที่มีมากมายนั้นเหลือไว้เพียง
๑.ละชั่ว
๒.ทำดี
๓.ทำ(ชำระ)จิตใจให้บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย
ซึ่งเป็นหัวใจของการปฏิบัติธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้นได้
เมื่อพิจารณาองค์ธรรมทั้ง ๓ สามข้อนั้น ล้วนเป็นเรื่องของการปฏิบัติธรรม เพื่อแยกจิตกับอารมณ์ ที่เป็นเรื่องปรกติในโลก อันชอบเกาะเกี่ยวกันอย่างเหนียวแน่นจนคล้ายเป็นเนื้อเดียว เพื่อแยกจิตกับอารมณ์ออกจากกันให้ได้อย่างรวดเร็ว
โดยความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในโลกนั้น ล้วนเป็นเรื่องของจิตที่แส่ส่ายออกไปหาอารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าอารมณ์ที่ดี ไม่ว่าอารมณ์ที่ชั่ว จิตมักยึดอารมณ์เหล่านั้นเข้ามาเป็นของๆตนอย่างเหนียวแน่น โดยผ่านช่องทางที่รับรู้อารมณ์ที่เรียกว่าอายตนะภายในทั้ง ๖ และยึดถือเอาอาการต่างๆที่เกิดขึ้นมานั้นว่าเป็นตน เป็นของๆตน โดยไม่รู้จักสภาพธรรมที่แท้จริงที่เป็นสภาพเดิมของจิต(ธาตุรู้)เลย เพราะจิตปล่อยวางอารมณ์ต่างๆเหล่านั้นไม่เป็น เนื่องจากขาดการปฏิบัติฝึกฝนอบรมสัมมาสมาธิ(มรรค) อันเป็นฌานที่ฝึกปล่อยวางอารมณ์ออกไปจากจิต เพื่ออบรมจิตใจของตน ให้เที่ยงตรง คงที่ ไม่แปรผัน ไม่หวั่นไหวไปกับอารมณ์ที่เป็นแขกจรเข้ามา
เมื่อพูดถึงเรื่อง "จิตและการปฏิบัตฝึกฝนอบรมจิตของตน" แล้ว มักมีการถกธรรมกันพอหอมปากหอมคอ ระหว่างนักตำรานิยมที่ยึดมั่นแต่ในตัวหนังสือที่เป็นปิฎก กับนักปฏิบัติที่ลงมือปฏิบัติภาวนาอย่างจริงจัง โดยการศึกษาตำรามาบ้าง อาจมีความเห็น ความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน จนลงกันไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่อง "จิต" ที่มีสภาพธรรม เป็นแม่ธาตุ ๑ใน ๖ ธาตุที่ประกอบขึ้นมาเป็นรูปร่างกายคน สัตว์ในปัจจุบัน หรือ เป็นธาตุรู้ ที่ได้ถูกอวิชชาครอบงำจนหลงงมงายไหลไปกับอารมณ์กิเลสตัณหาต่างๆที่มีอยู่
จิตของคนหรือสัตว์ทุกรูปทุกนามมีกันคนละดวง ส่วนอาการของจิตนั้นมีเป็นร้อยดวงดังที่มีรจนาไว้ เราเรียกอาการของจิตที่มีราคะ โทสะ โมหะ ว่าราคะจิต โทสะจิต โมหะจิต เรียกเป็น "ดวง" เช่นกัน ส่วนที่เกิดดับนั้นก็คือ อาการของจิตที่มีราคะ โทสะ โมหะดับไปนั่นเอง ดังมีพระพุทธพจน์ในมหาสติปัฏฐาน ๔ รับรองไว้ว่า
จิตมีราคะ โทสะ โมหะ ก็รู้ชัดว่า จิตมีราคะ โทสะ โมหะ
จิตปราศจากราคะ โทสะ โมหะ ก็รู้ชัดเช่นกันว่า จิตปราศจากราคะ โทสะ โมหะ
ส่วนใหญ่แล้วจิตมักไหลไปกับอารมณ์ต่างๆ จนเข้าใจไปว่าจิตเป็นเนื้อเดียวกับอารมณ์นั้น เพราะเมื่อรู้ตัวแต่ละครั้ง จิตได้ละอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและยึดอารมณ์ใหม่เป็นของๆตนแล้ว โดยไม่ทันรู้ตัว
ท่านอรรถกถาจารย์ท่านได้รจนาเรื่องจิตและอาการของจิตที่อยู่ในโลกเป็นหลัก ที่ดวงจิตเกิดดับรวดเร็วมากนั้น ล้วนเป็นอาการของจิตดวงนั้นๆ โดยหลักเหตุผลแล้ว เราไม่สามารถฝึกฝนอบรมอะไรก็ตามที่ตนเองมีสภาพธรรมที่เกิดๆดับๆอยู่ตลอดเวลา นอกจากว่าสำคัญผิดว่าตนเองเกิดๆดับๆ เพราะมันเกิดขึ้นเร็วมาก จนเข้าใจไปเป็นเช่นนั้น พระพุทธองค์ทรงได้บัญญัติธรรมอันเป็นเครื่องแก้เหตุเหล่านี้ มีเร็วก็มีช้าแก้ มีร้อนก็มีเย็นแก้ มีวุนว่ายก็มีความสงบสันติแก้ ฯลฯ เราก็จะพิสูจน์ได้ด้วยตนเองว่า สิ่งที่เราสมาทานมานั้น ดี มีประโยชน์ ผู้รู้ไม่ติเตียน และคำสอนเหล่านั้นที่เรียนรู้มา ลงกันได้กับพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์หรือไม่
มีพระบาลีที่กล่าวถึงพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ที่ทรงอุบัติขึ้นมาในโลก ล้วนสั่งสอนเรื่องการชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองหลุดพ้นได้ เพราะมีธรรมอันยิ่ง ดังนี้ “อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธานสาสนํ การทำให้" จิต" มีธรรมอันยิ่ง(อธิจิต) เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย”
และมีพระพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า "อธิจิตตสิกขา เป็นไฉน?"
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุข อันเกิดแต่วิเวกอยู่
บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต ณ ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกและวิจารสงบไป
มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่ เพราะปีติสิ้นไป จึงมีอุเบกขา
มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย บรรลุตติยฌาน
ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข
บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์
และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
นี้ชื่อว่า อธิจิตตสิกขา
บทส่งท้าย
บทความนี้เป็นการเปิดธรรมทัศน์ ไม่ได้ชี้ถูกชี้ผิดใดๆ โดยอ้างอิงพระพุทธพจน์ ที่มาจากพระพุทธประวัติและพระสูตรบางส่วน ที่ต้องอ้างอิงเพราะเห็นว่า มีความเข้าใจผิดๆอย่างมากเกี่ยวกับฌานสมาบัติ ๘ ซึ่งเป็นฌานที่มีมาก่อนพระพุทธเจ้าสมณะโคดมจะอุบัติขึ้นมาก่อนเสียอีก แต่ไปเข้าใจว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับฌานในสัมมาสมาธิที่เป็นหนึ่งในอริยมรรค ทั้งๆที่เป็นคนละเรื่องกันเลย
ฌานที่เกิดจากสมาบัติ ๘ นั้น พระพุทธองค์ได้ทรงปฏิเสธไปแล้วโดยสิ้นเชิงแล้วก่อนที่พระพุทธองค์จะทรงตรัสรู้ว่า ไม่ใช่หนทางแห่งความพ้นทุกข์ เป็นเพียงโลกียปัญญา ทำให้กิเลสเบาบางได้เท่านั้น และได้ปฏิเสธอย่างหนักแน่นอีกครั้งในตอนประกาศพระธัมมจักกัปปวัตนสูตรว่า "อันธรรมที่เราได้ตรัสรู้มานั้น เราได้ตรัสรู้มาด้วยตนเองมานั้น เป็นธรรมที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่ไหนมาก่อนเลย" ก็เป็นที่ยืนยันแน่นอนแล้วว่าฌานสมาบัติ ๘ เป็นฌานสมาธิที่ไม่ใช่ฌานในสัมมาสมาธิกรรมฐานภาวนา แต่ใครที่ผ่านฌานสมาบัติมาได้นั้น ย่อมเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว เมื่อมีผู้รู้ชี้ให้เห็นถึงข้อแตกต่างเหล่านั้นได้ดังนี้
"เมื่อภิกษุมีความเพียรเป็นเครื่องตื่น มีสติสัมปชัญญะ มีจิตตั้งมั่น เบิกบานผ่องใส
เห็นแจ้งในกุศลธรรมทั้งหลายสมควรแก่กาลในการประกอบกรรมฐานนั้นเนืองๆ
พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตผลในปัจจุบัน
หรือเมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ ความเป็นพระอนาคามี ฯ"
ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่าน
ธรรมภูต