ฟินมากกับหนังเรื่องนี้ครับ ทำให้ออกจากโรงต้องผมรีบแจ้นออกมาเขียนรีวิวหนังเป็นครั้งแรกในชีวิต 5555555555
Les miserable เป็นหนังที่สร้างจากวรรณกรรมอมตะของ วิคเตอร์ อูโก โดยเรื่องราวหลักๆจะเกี่ยวกับการปฏิวัติจากระบอบกษัตริย์ของฝรั่งเศส และความทุกข์ของเหล่าคนจนในสมัยนั้น โดยต่อมาจึงถูกนำไปสร้างเป็นละครเวที (ส่วนใหญ่คนที่รู้จักเรื่องนี้น่าจะรู้จักจากเพลงหรือละครเวทีมากกว่านิยายมั้ง) โดยส่วนตัวผมเคยอ่านนิยายเวอร์ชั่นย่อมาก่อนแล้ว ต้องบอกว่านิยายเรื่องนี้มีอิทธิพลต่อชีวิตผมเรื่องนึงเลย เพราะอ่านจบแล้วทำให้ผมรู้สึกอยากเรียนกฎหมายมาก ไม่รู้ทำไม 55555
สำหรับเวอร์ชั่นหนัง ต้องบอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังเพลง คือร้องเพลงแทนบทพูดแทบทั้งเรื่อง มีบทพูดจริงๆไม่ถึง 10 ประโยค หนังทำให้ผมขนลุกได้ตั้งแต่วินาทีแรก โดยการประโคมเครื่องออเคสตร้ากับเพลงอองซอมบ์ ทำให้ฟังดูเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ โดยรวมต้องบอกว่าหนังดำเนินเรื่องค่อนข้างไว (เข้าใจว่าจริงๆแล้วรายละเอียดของเรื่องเยอะมาก เพราะนิยายต้นฉบับนั่น รวมๆแล้วก็5ภาค) และตัดเรื่องราวบางเรื่องในนิยายออกไปพอสมควร เลยทำให้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมงไม่น่าเบื่อเลย และดึงความสนใจผมได้ตลอดเวลา
ต้องชมนักแสดงทุกคนในเรื่องนี้ว่าทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาก ตอนแรกที่รู้ว่าทอม ฮูเปอร์จะทำหนังเรื่องนี้แถมเป็นหนังเพลงอีก เลยภาวนาให้เอานักแสดงบรอดเวย์มาเล่น แต่พอรู้ว่าเค้าเอานักแสดงจริงๆมาเล่นก็แอบกลัวว่าเพลงเพราะๆในเรื่องจะถูกเอามาทำเสียหายรึเปล่า เพราะเพลงในเรื่องแต่ละเพลงใช่ว่าจะร้องง่ายๆ 555555555 แต่ปรากฏว่าทุกคนร้องเพลงได้เพราะมาก โดยเฉพาะฮิวจ์ แจ๊คแมน ซึ่งทำให้เพลงโซโลของชอง วาลชองอย่าง Bring him home ซึ่งเป็นเพลงปราบเซียน เป็นอีกเวอร์ชั่นที่น่าจดจำ และการแสดงของเค้าในเรื่อง เหมาะสมแล้วกับรางวัลโกลเด้นโกลบ ไม่มีที่ติเลย ฮิวจ์ แจ็คแมนเป็นชองวาลชองได้สมบูรณ์แบบที่สุด คนถัดมาที่จะไม่พูดถึงเลยไม่ได้คือ แอน แฮททาเวย์ ทั้งๆที่บทฟองทีนของเธอในหนัง ปรากฎออกมาไม่นานนัก แต่ก็เรียกได้ว่าเอาซะคุ้ม ทำให้คนดูจดจำไปได้ตลอดเรื่อง ทุกซีนที่มีเธออยู่ในหนังเป็นที่น่าจดจำ โดยเฉพาะในซีนเพลงเอกอย่าง I dreamed a dream ซึ่งผมเข้าใจว่าเป็นซีนที่ทำให้แอนได้โกลเด้นโกลบ ก็แอบทำให้ผมน้ำตาไหลได้แบบไม่รู้ตัว(ต้องบอกว่าผมไม่ได้ร้องไห้กับหนังเรื่องไหนมานานมากแล้ว) คือถึงแม้ว่าเธอจะยืนทำหน้าเฉยๆแต่ผมก็ยังรู้สึกสงสารเธอมากๆ ไม่รู้ทำไม 55555 ส่วนรัซเซล โครว์ คนนี้ผมขัดใจมาตั้งแต่แรก เพราะผมจินตนาการภาพของสารวัตชาแวร์ไว้อีกแบบ สำหรับการแสดงของก็ไม่มีที่ติ แต่ผมรู้สึกว่าเวลาเค้าร้องเพลงโซโล่ มันยังดูไม่ค่อยแบบว่า own the scene เท่าไหร่ 5555555 อีกคนที่ประทับใจมากคือโคเซทท์ที่เล่นโดยอแมนด้า ไซเฟรด เป็นบทที่แคสได้ตรงใจผมที่สุดในหนังเรื่องนี้แล้ว แบบร้อยเปอร์เซ็นเลย พออ่านหนังสือก็จะนึกถึงหน้าอแมนด้า ไซเฟรดนี่ล่ะเป็นคนแรก ถึงจะโผล่ออกมาน้อยพอๆกับแอน แฮท แต่เสียงของเธอนั้นแบบว่าสวรรค์โปรดมาก คือเสียงประดุจนางฟ้า ร้องเพลงเพราะมากครับ โดยเฉพาะเพลง A heart full of love ที่คิดเอาไว้แล้วว่าต้องเละแน่ๆ แต่กลับเพราะมากซะงั้น ทำผมเพ้อไปหลายนาทีเลย ดูไปดูมาเริ่มรู้สึกว่า เธอหน้าคล้ายๆแอน แฮททาเวย์ในบางมุม 5555555 เลยอินมากขึ้นพอมาเล่นเป็นแม่ลูกกัน สำหรับมาริอุสที่แสดงโดยคนที่ผมไม่รู้จัก(ขอโทษด้วยครับ) ตอนแรกผมแอบคิดว่าเค้าไม่ค่อยหล่อ(คหสต) เพราะจินตนาการภาพจากหนังสือแล้วมาริอุสต้องหล่อแบบผู้ดีฝรั่งเศสอะไรประมาณนี้ แต่ก็โอเคสำหรับคนนี้ครับ แสดงดีมาก ร้องเพลงเพราะ แต่คนที่เป็นม้ามืดจริงๆคงจะเป็นซาแมนทา บาร์ค กับบทเอโปนีน ที่ผมดีใจมากที่เป็นเธอที่เล่นบทนี้ เพราะบทนี้เกิดมาเพื่อเธอจริงๆ ติดตามมาตั้งแต่ตอนคอนเสิร์ต 25 ปี on my own แป็นเพลงที่ทำให้ผมน้ำตาไหลได้เป็นครั้งที่2ในหนังเรื่องนี้ ส่วนครอบครัวเทนาดิแยร์โดยซาช่า บารอน โคเฮนกับเอเลนน่า โบแนม คาร์เตอร์ผมยังรู้สึกว่าไม่ค่อยอิน เพราะอินกับคู่ในคอนเสิร์ต 25 ปี ที่ดูเป็นคนโกงๆงกๆมากกว่า 5555555 หนังเรื่องนี้มีอยู่ 2ฉากที่ผมไม่อยากให้ทุกคนพลาดเลย ฉากแรกคือ I dreamed a dreamของแอน แฮททาเวย์ ส่วนฉากที่สองคือการทำแฮททริก on my own – one day more – do you hear the people sing ที่มาต่อๆกัน เรียกได้ว่า ทำเอาผมตายคาเก้าอี้ไปเลย ด้วยความฟิน 55555555555555
เพิ่งมารู้ทีหลังด้วยว่านักแสดงร้องเพลงสดๆขณะถ่ายแล้วค่อยมาใส่ดนตรี เลยทำให้รู้สึกขนลุกและทึ่งกับความสามารถของนักแสดงเข้าไปอีก คิดว่าทุกๆเพลงในเรื่องพอมาประกอบกันแล้วถ่ายทอดอารมณ์ได้ดีกว่าเวอร์ชั่นในคอนเสิร์ตอีกนะครับ
โดยรวมแล้วประทับใจมากกับตัวหนังครับ แต่สิ่งที่ขัดใจมากที่สุด คือซับไตเติ้ล คือไม่ใช่ว่าแปลไม่ดี แต่แปลดีเกินไป ผมไม่เข้าใจว่า เพราะเป็นหนังเพลงด้วยรึเปล่าเลยแปลออกมาเป็นภาษากวีขนาดนี้ 55555 บางตอนก็อ่านเพลินดี แต่บางตอนก็เกินไปมาก ต้องมาตีความถอดความสองชั้นสามชั้น เช่น A heart full of song = บทเพลงเปี่ยมเต็มฤทัย Stars in your multitudes scarce to be counted =ดาราดารดาษเต็มท้องนภา two hearts beat as one? = สองฤทัยเต้นรวมเป็นหนึ่ง อะไรประมาณนี้ครับเท่าที่จำได้ คืออ่านแล้วงง หรือมันเพราะเกินไป 555555555555555 ความเห็นส่วนตัวนะครับ คือบางทีเนื้อเรื่องมันอาจจะไว และเข้าใจยากอยู่แล้ว น่าจะแปลเพลงให้เข้าใจได้ง่ายๆมากกว่าที่จะแปลให้เพราะ -*-
ส่วนตัวคิดว่าถ้าทอม ฮูเปอร์ได้รางวัลออสก้าร์จาก the king speech แล้ว ในสายตาผมเรื่องนี้ก็ควรได้มากกว่าออสการ์จริงๆ เพราะมันเหนือกว่า ดีกว่า และต้องใช้สกิลมากกว่าในการกำกับแน่นอน
รอบที่ผมดูวันนี้พนักงานบอกว่าเป็นรอบ semi preview คนดูเต็มโรง พอจบปุ้ป ทุกคนปรบมือกระหึ่ม และได้ยินเสียงสะอื้นระงมเป็นระยะๆ ที่สำคัญ ป้าที่นั่งข้างผมร้องไห้หนักมาก และก็ร้องเพลงตามหนังไปด้วย สลับกันไปมา ทำให้รู้สึกเอิ่มกับป้าเล็กน้อย แต่ไม่ใช่อุปสรรคใหญ่ของการดูหนังเลย 55555555555555555
โดยภาพรวมให้คะแนน A- ครับ
จบแล้วครับกับการรีวิวหนัง(แบบกากๆ)ครั้งแรกในชีวิตของผม และครั้งแรกบนพันทิป
สำหรับหนังเรื่องนี้จริงๆแล้วถ้ามีโอกาสผมแนะนำให้ไปดูนะครับ ส่วนคนที่ลังเลก็อย่าลังเลเลย เพราะมันให้ข้อคิด แนวคิดอะไรเยอะมากๆ ไม่ใช่หนังที่ดูยากเลย แต่มันอาจจะไม่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบหนังเพลง หรือไม่ชอบโอเปร่า จะพาลทำให้หลับเอาได้ง่ายๆ 5555555
รีวิว Les Misérables หนังแห่งความฟิน
Les miserable เป็นหนังที่สร้างจากวรรณกรรมอมตะของ วิคเตอร์ อูโก โดยเรื่องราวหลักๆจะเกี่ยวกับการปฏิวัติจากระบอบกษัตริย์ของฝรั่งเศส และความทุกข์ของเหล่าคนจนในสมัยนั้น โดยต่อมาจึงถูกนำไปสร้างเป็นละครเวที (ส่วนใหญ่คนที่รู้จักเรื่องนี้น่าจะรู้จักจากเพลงหรือละครเวทีมากกว่านิยายมั้ง) โดยส่วนตัวผมเคยอ่านนิยายเวอร์ชั่นย่อมาก่อนแล้ว ต้องบอกว่านิยายเรื่องนี้มีอิทธิพลต่อชีวิตผมเรื่องนึงเลย เพราะอ่านจบแล้วทำให้ผมรู้สึกอยากเรียนกฎหมายมาก ไม่รู้ทำไม 55555
สำหรับเวอร์ชั่นหนัง ต้องบอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังเพลง คือร้องเพลงแทนบทพูดแทบทั้งเรื่อง มีบทพูดจริงๆไม่ถึง 10 ประโยค หนังทำให้ผมขนลุกได้ตั้งแต่วินาทีแรก โดยการประโคมเครื่องออเคสตร้ากับเพลงอองซอมบ์ ทำให้ฟังดูเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ โดยรวมต้องบอกว่าหนังดำเนินเรื่องค่อนข้างไว (เข้าใจว่าจริงๆแล้วรายละเอียดของเรื่องเยอะมาก เพราะนิยายต้นฉบับนั่น รวมๆแล้วก็5ภาค) และตัดเรื่องราวบางเรื่องในนิยายออกไปพอสมควร เลยทำให้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมงไม่น่าเบื่อเลย และดึงความสนใจผมได้ตลอดเวลา
ต้องชมนักแสดงทุกคนในเรื่องนี้ว่าทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาก ตอนแรกที่รู้ว่าทอม ฮูเปอร์จะทำหนังเรื่องนี้แถมเป็นหนังเพลงอีก เลยภาวนาให้เอานักแสดงบรอดเวย์มาเล่น แต่พอรู้ว่าเค้าเอานักแสดงจริงๆมาเล่นก็แอบกลัวว่าเพลงเพราะๆในเรื่องจะถูกเอามาทำเสียหายรึเปล่า เพราะเพลงในเรื่องแต่ละเพลงใช่ว่าจะร้องง่ายๆ 555555555 แต่ปรากฏว่าทุกคนร้องเพลงได้เพราะมาก โดยเฉพาะฮิวจ์ แจ๊คแมน ซึ่งทำให้เพลงโซโลของชอง วาลชองอย่าง Bring him home ซึ่งเป็นเพลงปราบเซียน เป็นอีกเวอร์ชั่นที่น่าจดจำ และการแสดงของเค้าในเรื่อง เหมาะสมแล้วกับรางวัลโกลเด้นโกลบ ไม่มีที่ติเลย ฮิวจ์ แจ็คแมนเป็นชองวาลชองได้สมบูรณ์แบบที่สุด คนถัดมาที่จะไม่พูดถึงเลยไม่ได้คือ แอน แฮททาเวย์ ทั้งๆที่บทฟองทีนของเธอในหนัง ปรากฎออกมาไม่นานนัก แต่ก็เรียกได้ว่าเอาซะคุ้ม ทำให้คนดูจดจำไปได้ตลอดเรื่อง ทุกซีนที่มีเธออยู่ในหนังเป็นที่น่าจดจำ โดยเฉพาะในซีนเพลงเอกอย่าง I dreamed a dream ซึ่งผมเข้าใจว่าเป็นซีนที่ทำให้แอนได้โกลเด้นโกลบ ก็แอบทำให้ผมน้ำตาไหลได้แบบไม่รู้ตัว(ต้องบอกว่าผมไม่ได้ร้องไห้กับหนังเรื่องไหนมานานมากแล้ว) คือถึงแม้ว่าเธอจะยืนทำหน้าเฉยๆแต่ผมก็ยังรู้สึกสงสารเธอมากๆ ไม่รู้ทำไม 55555 ส่วนรัซเซล โครว์ คนนี้ผมขัดใจมาตั้งแต่แรก เพราะผมจินตนาการภาพของสารวัตชาแวร์ไว้อีกแบบ สำหรับการแสดงของก็ไม่มีที่ติ แต่ผมรู้สึกว่าเวลาเค้าร้องเพลงโซโล่ มันยังดูไม่ค่อยแบบว่า own the scene เท่าไหร่ 5555555 อีกคนที่ประทับใจมากคือโคเซทท์ที่เล่นโดยอแมนด้า ไซเฟรด เป็นบทที่แคสได้ตรงใจผมที่สุดในหนังเรื่องนี้แล้ว แบบร้อยเปอร์เซ็นเลย พออ่านหนังสือก็จะนึกถึงหน้าอแมนด้า ไซเฟรดนี่ล่ะเป็นคนแรก ถึงจะโผล่ออกมาน้อยพอๆกับแอน แฮท แต่เสียงของเธอนั้นแบบว่าสวรรค์โปรดมาก คือเสียงประดุจนางฟ้า ร้องเพลงเพราะมากครับ โดยเฉพาะเพลง A heart full of love ที่คิดเอาไว้แล้วว่าต้องเละแน่ๆ แต่กลับเพราะมากซะงั้น ทำผมเพ้อไปหลายนาทีเลย ดูไปดูมาเริ่มรู้สึกว่า เธอหน้าคล้ายๆแอน แฮททาเวย์ในบางมุม 5555555 เลยอินมากขึ้นพอมาเล่นเป็นแม่ลูกกัน สำหรับมาริอุสที่แสดงโดยคนที่ผมไม่รู้จัก(ขอโทษด้วยครับ) ตอนแรกผมแอบคิดว่าเค้าไม่ค่อยหล่อ(คหสต) เพราะจินตนาการภาพจากหนังสือแล้วมาริอุสต้องหล่อแบบผู้ดีฝรั่งเศสอะไรประมาณนี้ แต่ก็โอเคสำหรับคนนี้ครับ แสดงดีมาก ร้องเพลงเพราะ แต่คนที่เป็นม้ามืดจริงๆคงจะเป็นซาแมนทา บาร์ค กับบทเอโปนีน ที่ผมดีใจมากที่เป็นเธอที่เล่นบทนี้ เพราะบทนี้เกิดมาเพื่อเธอจริงๆ ติดตามมาตั้งแต่ตอนคอนเสิร์ต 25 ปี on my own แป็นเพลงที่ทำให้ผมน้ำตาไหลได้เป็นครั้งที่2ในหนังเรื่องนี้ ส่วนครอบครัวเทนาดิแยร์โดยซาช่า บารอน โคเฮนกับเอเลนน่า โบแนม คาร์เตอร์ผมยังรู้สึกว่าไม่ค่อยอิน เพราะอินกับคู่ในคอนเสิร์ต 25 ปี ที่ดูเป็นคนโกงๆงกๆมากกว่า 5555555 หนังเรื่องนี้มีอยู่ 2ฉากที่ผมไม่อยากให้ทุกคนพลาดเลย ฉากแรกคือ I dreamed a dreamของแอน แฮททาเวย์ ส่วนฉากที่สองคือการทำแฮททริก on my own – one day more – do you hear the people sing ที่มาต่อๆกัน เรียกได้ว่า ทำเอาผมตายคาเก้าอี้ไปเลย ด้วยความฟิน 55555555555555
เพิ่งมารู้ทีหลังด้วยว่านักแสดงร้องเพลงสดๆขณะถ่ายแล้วค่อยมาใส่ดนตรี เลยทำให้รู้สึกขนลุกและทึ่งกับความสามารถของนักแสดงเข้าไปอีก คิดว่าทุกๆเพลงในเรื่องพอมาประกอบกันแล้วถ่ายทอดอารมณ์ได้ดีกว่าเวอร์ชั่นในคอนเสิร์ตอีกนะครับ
โดยรวมแล้วประทับใจมากกับตัวหนังครับ แต่สิ่งที่ขัดใจมากที่สุด คือซับไตเติ้ล คือไม่ใช่ว่าแปลไม่ดี แต่แปลดีเกินไป ผมไม่เข้าใจว่า เพราะเป็นหนังเพลงด้วยรึเปล่าเลยแปลออกมาเป็นภาษากวีขนาดนี้ 55555 บางตอนก็อ่านเพลินดี แต่บางตอนก็เกินไปมาก ต้องมาตีความถอดความสองชั้นสามชั้น เช่น A heart full of song = บทเพลงเปี่ยมเต็มฤทัย Stars in your multitudes scarce to be counted =ดาราดารดาษเต็มท้องนภา two hearts beat as one? = สองฤทัยเต้นรวมเป็นหนึ่ง อะไรประมาณนี้ครับเท่าที่จำได้ คืออ่านแล้วงง หรือมันเพราะเกินไป 555555555555555 ความเห็นส่วนตัวนะครับ คือบางทีเนื้อเรื่องมันอาจจะไว และเข้าใจยากอยู่แล้ว น่าจะแปลเพลงให้เข้าใจได้ง่ายๆมากกว่าที่จะแปลให้เพราะ -*-
ส่วนตัวคิดว่าถ้าทอม ฮูเปอร์ได้รางวัลออสก้าร์จาก the king speech แล้ว ในสายตาผมเรื่องนี้ก็ควรได้มากกว่าออสการ์จริงๆ เพราะมันเหนือกว่า ดีกว่า และต้องใช้สกิลมากกว่าในการกำกับแน่นอน
รอบที่ผมดูวันนี้พนักงานบอกว่าเป็นรอบ semi preview คนดูเต็มโรง พอจบปุ้ป ทุกคนปรบมือกระหึ่ม และได้ยินเสียงสะอื้นระงมเป็นระยะๆ ที่สำคัญ ป้าที่นั่งข้างผมร้องไห้หนักมาก และก็ร้องเพลงตามหนังไปด้วย สลับกันไปมา ทำให้รู้สึกเอิ่มกับป้าเล็กน้อย แต่ไม่ใช่อุปสรรคใหญ่ของการดูหนังเลย 55555555555555555
โดยภาพรวมให้คะแนน A- ครับ
จบแล้วครับกับการรีวิวหนัง(แบบกากๆ)ครั้งแรกในชีวิตของผม และครั้งแรกบนพันทิป
สำหรับหนังเรื่องนี้จริงๆแล้วถ้ามีโอกาสผมแนะนำให้ไปดูนะครับ ส่วนคนที่ลังเลก็อย่าลังเลเลย เพราะมันให้ข้อคิด แนวคิดอะไรเยอะมากๆ ไม่ใช่หนังที่ดูยากเลย แต่มันอาจจะไม่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบหนังเพลง หรือไม่ชอบโอเปร่า จะพาลทำให้หลับเอาได้ง่ายๆ 5555555