ตัวคนเดียวแบกเป้ลุยเดี่ยว เนเธอร์แลนด์-สวิส-อิตาลี "เนเธอร์แลนด์ วันที่2"

http://pantip.com/topic/34338921  ตอนที่1 วีซ่าและการเดินทาง
http://pantip.com/topic/34353426  ตอนที่2 เนเธอร์แลนด์วันที่1
http://pantip.com/topic/34355076  ตอนที่3 เนเธอร์แลนด์วันที่2
http://pantip.com/topic/34364373  ตอนที่4 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่1 "Geneva"
http://pantip.com/topic/34385053  ตอนที่5 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่1 "Geneva" - 2
http://pantip.com/topic/34390037  ตอนที่5 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่2 "Lausanne - Vevey"

เพื่อนๆสามารถติดตามทริปต่างๆที่จะเกิดขึ้นของผมแบบ Realtime ได้ที่เฟซเพจได้นะครับ เพราะผมจะมีทริปเล็กๆน้อยๆอยู่เรื่อยๆ
จะได้ติดตามข้อมูลและลุ้นไปด้วยกันที่
http://www.facebook.com/Backpacker.Pu


"เฮ้ย เช้าแล้วเหรอวะ? อากาศเย็นเป็นบ้าเลยเนอะ   วันนี้ต้องออกไปตะลอนเที่ยวแต่เช้านะ   แต่..ขอนอนต่ออีกซักครู่ละกันนะ!!"

หลังจากที่ผมรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง "เฮ้ย 10.30น." สายจนได้ว่ะเฮ้ย   จากนั้นผมจึงนอนนิ่งๆใช้สมองคิดเรื่องที่พักเย็นนี้ซักพัก   เพราะผมดันไปยกเลิกที่พักซะหมดเกลี้ยงก่อนจะเดินทางไม่กี่วันเพราะแผนผมเริ่มอ่อนไหวมากๆ   ด้วยราคาของรถไฟความเร็วสูงที่จะวิ่งพาผมจากอัมสเตอร์ดัม ไปปารีส   ทะยานขึ้นจนแพงกว่าราคาเครื่องบินที่จะไปสวิซเซอร์แลนด์ซะอีก    ผมจึงทำการยกเลิกที่พักทั้งในเนเธอร์แลนด์   สวิซเซอร์แลนด์   และอิตาลี   เหลือก็แค่ที่พักตอนนี้กับที่อินเทอลาเค่นที่ผมยกเลิกไม่ทัน

เอาล่ะ  คืนนี้จะพักมันที่นี่ล่ะ   ขี้เกียจแบกกระเป๋าละ   ผมเลยแปรงฟัน   ล้างหน้า   แล้วเดินไปที่เคาร์เตอร์โรงแรมว่าผมขอพักอีก 1คืน   และขอพักที่ห้องเดิม  เตียงเดิม  เพราะผมขี้เกียจย้ายของย้ายกระเป๋า   ซึ่งก็เป็นไปตามความต้องการครับ

หลังจากทำเรื่องที่พักจบผมก็เข้าไปหยิบกล้องตัวเก่งเข้าในกระเป๋าและสะพายมันขึ้นบ่าเพื่อเริ่มออกตะลอนกรุงอัมสเตอร์ดัมแบบไม่มีแผน (เอ้อ!เมื่อวานก็ไม่มีเหงื่อ   เช้านี้ก็ไม่เห็นเหนียวตัวเพราะอากาศเย็น   เช้านี้ขอติดอาบน้ำไปตอนเย็นทีเดียวเลยแล้วกัน 555)
หลังจากที่ออกจากประตู Hostel ผมก็เลี้ยวซ้ายโดยไม่มีจุดหมายปลายทาง   เดินไปสั่นไปเพราะอากาศเย็นใช้ได้เลยทีเดียว



คลอง Amstel


ผมเริ่มลั่นชัตเตอร์กล้อง   และเริ่มบ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับการย่ำเท้าแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยไปพร้อมๆกัน จุดแรกที่เจอผมเจอคลองธรรมดาๆนี่และครับ   หากแต่คลองที่นี่ดูสะอาดแม้น้ำจะมีสีเข้มก็เถอะ   แต่ก็ไม่มีกลิ่นลอยมาให้ผมได้รู้สึก   ด้วยท้องฟ้าที่ยังมัวๆ   ด้วยเรือที่จอดเทียบท่า  มันช่างดูแตกต่างจากประเทศที่ผมพึ่งจากมาเสียจริงๆ   ผมเริ่มเลี้ยวขวาตรงหัวมุมถนนและเริ่มรู้สึกถึงการเปรียบเทียบกับประเทศบ้านเกิดของตัวเองทันที "ทางจักรยาน" เนื่องจากประเทศและเมืองแห่งนี้มีชื่อเสียงในด้านของการใช้จักรยานเป็นพาหนะจึงทำให้มีทางจักรยานพบเห็นได้ทั่วไป   และเป็นรูปเป็นร่างเอามากๆเลยทีเดียว

เดินเลียบคลอง Amstel ไปไม่ไกลผมก็เจอเข้ากับสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่หลังหนึ่ง "Munttoren" ตั้งอยู่ข้างหน้านี้เอง   ท้าทายให้ผมยกกล้องขึ้นถ่ายภาพเสียมากมาย  อาคารจะมีหอนาฬิกาเป็นส่วนประกอบ  ซึ่งอาคารนี้สร้างขึ้นในปี 1460   จริงๆผมก็อยากจะเล่าประวัติของที่นี่นะเพราะหาข้อมูลไว้เหมือนกัน   แต่ด้วยเป็นพวกไม่ชอบจดจำเรื่องประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยเรียนแล้วทำให้ทักษะการบอกเล่าประวัติศาสตร์ของผมต่ำมากจนเกือบจะติดลบเลยล่ะมั้ง 555 งั้นผมขอไม่เล่าดีกว่าเนอะ  เดี๋ยวผิดๆถูกจะเสียข้อเท็จจริงกันไปใหญ่



Munttoren



ผมใช้เวลากับอาคารแห่งนี้เกือบครึ่งชั่วโมงเพราะมัวแต่ยืนซึมซับบรรยากาศ   ดูความเป็นไปของเมือง   ดูผู้คน   ดูการจราจรของเมือง   ดูนาฬิกาอีกทีก็ประมาณนั้นแหละครับ   ครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้   ก็คนพึ่งเคยมายุโรปอ่ะเนาะ   มาแบบเอ๋อๆด้วยนะเออ  ฮ่าาา






เหล่านักเดินทาง


จากนั้นจึงค่อยๆเดินห่างจากที่แห่งนี้ไปทางขวามือ   ผมเริ่มเห็นเพื่อนๆนักท่องเที่ยวบ้างแล้วล่ะ   ส่วนใหญ่จะเป็นทัวร์จีนที่มากันเป็นกลุ่มใหญ่   "เขาก็มาส่วนเขา  ผมก็มาส่วนผม" ผมเดินเอื่อยๆเฉื่อยๆไปตามถนนเรื่อยๆแบบไม่มีจุดหมาย   แต่มันก็ไม่ทั้งหมดหรอกนะเพราะผมเองจะมีคู่มือนำเที่ยวของอยู่  ซึ่งผมจะใช้แอปพริเคชันบนมือถือ คือ "CityMaps2Go" เราสามารถโหลดมาเก็บไว้ทั้ง IOS และ Android ฟรีแผนที่ได้ 5เมือง  แต่ถ้าอยากไปต่อก็ต้องจ่ายเงินเพิ่ม   สามารถใช้ได้โดยไม่มีสัญญาณมือถือและอินเตอร์เน็ตนะครับ   เพียงแค่เปิดเชื่อมต่อแผนที่เอาไว้   อันนี้ต้องขอออกตัวก่อนเลยว่าผมไม่ได้รับค่าโฆษณาจากผู้พัฒนาแอปนี้นะครับ ^^

หลังจากเดินเตร่ๆมาเรื่อยๆผมก็มาพบกับลานกว้างๆและมีตึกห้อมล้อมอยู่   "เออว่ะ มันลานอะไรของมันวะ   อยากรู้ๆจะได้เอาไปเพ้อบนเฟซบุ๊คถูก" 5555  "Dam Square" นั่นเอง  ที่นี่จะพบกับอาคารเก่าๆที่ไม่มีในเมืองไทยอย่างแน่นอน(ก็มันแน่อยู่แล้วปะ!!)   พอหมุนตัวไปมาก็ต้องหยุดกึกเสียงดังตรงนี้   เพราะสิ่งที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้าทำผมตื้นตันจนน้ำตาจะไหล "Madame Tussauds" เคยได้ยินตอนเรียนประวัติศาสตร์สมัยมัธยม   ชื่อนี้มันติดหูตั้งแต่นั้นมาไม่นึกว่าวันนี้จะได้มาเจออยู่ตรงหน้าแบบไม่ได้ตั้งใจอีก   คุ้มมากแล้วล่ะสำหรับวันนี้  ไปๆ กลับๆ! เอ๊ย!จะบ้าเหรอ

























ผมหันไปเก็บภาพเกือบๆชั่วโมงพอหันกลับมาอีกที "คนเข้าแถวยาวเหยียดเพื่อเข้าชม" คนเยอะๆแบบนี้ไม่ใช่แนวของผมละ   ขอเดินต่อไปข้างหน้าแล้วกันนะ   ผมเริ่มเดินตัดซอกโน้นซอยนี้แบบมั่วๆไปเรื่อย   แต่ก็ไม่ลืมค้นหาสถานที่เที่ยวใกล้ๆในมือถือ   ผมรู้สึกมีความสุขมากๆที่ได้ทำอะไรแบบนี้   อยากจะหยุดตัวเองไว้ตรงนี้นานๆ   ให้ได้ซึมซับกับความสุขแบบนี้จนกว่าจะเบื่อกันไปข้างนึง    แม้มันจะเหงาบ้างก็เถอะ   แต่มันก็เอาชนะความสุขที่ผมได้รับในตอนนี้ไม่ได้หรอก   แต่...การจากลามาถึงเสมอ



ผมเริ่มก้าวเดินออกจากจุดนั้นด้วยสองเท้าไปตามถนนเรื่อยๆ   ข้างหน้านั้นผมเห็นอาคารสูงๆอยู่ไม่ไกล  "Westerkerk" เป็นโบสถ์คริสต์ครับ   ตั้งสูงตระหง่านดึงดูดผมให้เดินเข้าไปสัมผัสอย่างมาก   แต่อย่าถามนะครับว่าเป็นคริสต์นิกายอะไร555 ผมไม่เก่งเรื่องประวัติศาสตร์เรื่องศาสนา  แต่เรื่องวัฒนธรรมผมพอซึมซับได้   หลังจากเดินเข้าไปถึงโบสถ์แล้วก็ต้องถอดใจ   คนรอต่อแถวยาวเหยียดมากจนทำให้ผมต้องเสียดายที่ต้องจำใจเดินออกมาแหงนชมความงามของมัน   มาถึงจุดนี้ก็ราวๆเที่ยงวันแล้วล่ะครับ   เริ่มหิวข้าวแล้วล่ะสิเพราะยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าเลย   ผมเดินเข้ามินิมาร์ทริมถนนระหว่างที่เดินไปสถานีรถไฟ   ได้ขนมกับน้ำเปล่าออกมา 1ขวด   เดินไปกินไปเพลินๆระหว่างเดินเท้าไปสถานีรถไฟ   ชีวิตช่างมีความสุขเสียจริงๆเนอะ555   ผมตกลงปลงใจกับตัวเองที่จะนั่งริมสะพานข้ามคลองเพื่อกินอย่างเป็นจริงเป็นจัง    วันนี้อากาศดีครับแต่แดดแรงมากเลยทีเดียว   แต่จะสะท้านอะไรกับผมล่ะเมื่อผมมาครั้งนี้ผมไม่ได้ห่วงหล่อห่วงผิวอะไรอยู่แล้ว   นั่งกินขนมดูผู้คนผ่านไปผ่านมา   ดูคนถีบจักรยานผ่านตรงหน้า   ดูเรือที่แล่นในคลอง   ดูห่านลอยคอเล่นน้ำกับเหล่าฝูงเพื่อน   ผมว่ามันเป็นอะไรที่...ผมอธิบายมันไม่ถูกจริงๆ   แต่ที่รู้คือผมมีความสุขครับ    สุขที่ได้ทำอะไรแบบนี้    มีวันที่ทุกข์ก็ต้องมีวันที่สุขสินะ แค่เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันก็เท่านั้นเอง   นั่น!เริ่มดราม่า5555



ต้องเดินจากไปแล้วล่ะนะ




On the way




Westerkerk




ระหว่างทางครับ แชะๆๆ




นั่งทานขนมครับ




ดูคนผ่านไปผ่านมา เอื่อยไปไหมชีวิต 555


ผมตัดสินใจแล้วล่ะครับสำหรับการเที่ยวช่วงบ่ายนี้ "Keukenhof" เกิดจากการค้นหาในเน็ตเมื่อกี้เลยในสถานีรถไฟเพราะมีเน็ตฟรีให้เล่น   ผมตัดสินใจนั่งรถไฟไปสนามบิน Schiphol เพราะมีทัวร์พาไปที่สวนทิวลิปแห่งนี้   ทัวร์ที่ซื้อจะรวมค่าเข้าสวน   ค่ารถบัส   ซึ่งก็ไม่เลวครับเพราะมันสะดวกดี  




มุ่งหน้าสู่สถานีรถไฟครับ เรามีเป้าหมายแล้ว




ใกล้ถึงแล้วๆ




ข้างๆสถานีจะมีท่าเรือพาชมวิวในเมืองครับ แต่แนะนำเป็นช่วงใกล้มืดครับ โรแมนติกมาก




แอบดูพี่ๆ ป้าๆซื้อตั๋วครับ เมื่อวานซื้อที่เคาร์เตอร์ แต่ที่นี่ไม่เห็นมี




ขึ้นมา Platformแล้วครับ 555 มันก็แปลว่าชานชาลานั่นแหละ พึ่งจะรู้เหมือนกัน


สวนทิวลิปนี้อยู่ห่างจากตัวเมืองอัมสเตอร์ดัมราวๆ20กิโลเมตร   เมื่อเดินทางถึงสวนผมก็พบกับดอกไม้นานาชนิดครับ   ดอกทิวลิปหลายๆสีที่แต่งต่างจากภาพหน้าจอของวินโดว์(อิอิ)   ด้วยความที่ผมเป็นคนที่ชอบต้นไม้   ชอบดอกไม้   การมาที่สวนแห่งนี้จึงไม่ทำให้ผมผิดหวังครับ   แม้ว่าวันนี้คนจะค่อนข้างเยอะก็ตามที    ผมเดินชมดอกไม้จุดนั้นจุดนี้ไปเรื่อยๆ   แต่ผมคงไม่มีเวลามากพอที่จะไปเช้าจักรยานที่หน้าสวนเพื่อปั่นไปดูความงามของสวนทิวลิปของชาวบ้านตามแนวถนน   ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ผมเสียดายสุดๆอีกเรื่องนึง  
ที่จำหน่ายตั๋วทัวร์จะอยู่ใกล้ๆประตูทางลงรถไฟครับ    แต่ทางขึ้นจะอยู่ประตูทางออกสนามบินทางซ้ายมือ   ตรงร้านกาแฟสตาร์บัคครับ   ย้ำว่าเป็นร้านสตาร์บัคติดประตูทางออกนะครับเพราะที่นี่จะมี2ร้าน



บางคนไม่เชื่อว่าผมจะบ้าไปยุโรปคนเดียวจริงๆ ผมจึงถ่ายภาพไว้ยืนยัน Pu=ปุ๊ ชื่อผมเองครับ 555




ตรงประตูทางออกมีรถบัสจอดรอครับ ขึ้นไปนั่งได้เลย


หลังจากนี้ผมจะไม่พูดมากแล้วนะครับ  ผมจะเอาความงามของดอกไม้พุ่งเข้าหาเพื่อนๆพี่ๆน้องๆนักอ่านแล้วนะครับ เตรียมพร้อมนะ 1..2..3.....


























[img]http://f.ptcdn.info/714/036/000/nwpzhld
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่