ตัวคนเดียวแบกเป้ลุยเดี่ยว เนเธอร์แลนด์-สวิส-อิตาลี "สวิสเซอร์แลนด์ วันที่1" "Geneva" - 2

http://pantip.com/topic/34338921  ตอนที่1 วีซ่าและการเดินทาง
http://pantip.com/topic/34353426  ตอนที่2 เนเธอร์แลนด์วันที่1
http://pantip.com/topic/34355076  ตอนที่3 เนเธอร์แลนด์วันที่2
http://pantip.com/topic/34364373  ตอนที่4 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่1 "Geneva"
http://pantip.com/topic/34385053  ตอนที่5 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่1 "Geneva" - 2
http://pantip.com/topic/34390037  ตอนที่5 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่2 "Lausanne - Vevey"

เพื่อนๆสามารถติดตามทริปต่างๆที่จะเกิดขึ้นของผมแบบ Realtime ได้ที่เฟซเพจได้นะครับ เพราะผมจะมีทริปเล็กๆน้อยๆอยู่เรื่อยๆ
จะได้ติดตามข้อมูลและลุ้นไปด้วยกันที่
http://www.facebook.com/Backpacker.Pu



หลังจากเดินงมทางไปเรื่อยๆในเมืองเจนีวา   ตอนนี้ผมเดินมาถึงที่พักที่ได้จองไว้แล้วล่ะครับ..
“Geneva Hostel” ที่พักในคืนนี้ของผม  

วันนี้เป็นวันที่ 11เมษายน ซึ่งบ้านเราเริ่มมีการเล่นน้ำสงกรานต์กันบ้างแล้ว   ภาพข่าวที่ผมเห็นในทีวีของโรงแรมที่หน้าเคาร์เตอร์
คือภาพของเมืองไทยครับ   ภาพของคนที่กำลังเล่นน้ำ   ภาพของช้างที่คนนำออกมาร่วมงาน....

ผมไม่รู้จริงๆว่าผมจะรู้สึกยังไง   เหมือนตาผมมันอุ่นๆ   ความสำนึกรักบ้านเกิดมันร้อนขึ้นมาทันที   ผมทำได้แค่ยิ้มเบาๆพร้อมรับกุญแจ
แล้วขึ้นห้องพักไป   วันนี้ผมนอนห้องรวมครับซึ่งเป็นห้องรวม 6คน   ระหว่างเก็บของผมเจอกับเพื่อนร่วมห้องจึงทักทายกันและถามที่ไปที่มา
ของกันและกันครับ   น้องเขาถามถึงการเดินทางของผม   ถามการงานของผม   ผมจึงตอบไปตามความเป็นจริง   ผมก็ถามน้องเขากลับว่า
ทำงานหรือเรียน   น้องเขาตอบว่าเรียนอยู่   เรียนสาขาฟิสิกส์   ผมเลยถามว่ามหาลัยเหรอ? น้องเขาตอบว่าไม่ใช่   ยังอยู่ชั้นมัธยม   ผมเลยอึ้งๆนิดๆครับเพราะที่บ้านเราไม่มีการแยกสาขาอะไรในระดับมัธยม   มันเป็นการเปิดโลกให้ผมได้รู้ถึงการศึกษาของเมืองนอกเขาด้วยตัวเอง
น้องเป็นชาวเนเธอร์แลนด์ครับ   พึ่งบินมาที่เจนีวาเหมือนกันเพื่อมาเที่ยวกับเพื่อนๆ   มากันเป็นกลุ่มเกือบๆ 20คนเลยทีเดียว   มันมีอะไรให้ผมคิดมากมายเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของฝรั่งที่ผมก็พอรู้อยู่บ้าง  มันมีความคิดหลายอย่างที่ผมคิดและไตร่ตรองกับตัวเองและตกผลึกไปหลายๆอย่างเกี่ยวกับใช้ชีวิตของผม   ทิศทางชีวิตของผม   ซึ่งมันชัดเจนมากๆเมื่อผมมาเจอเหตุการณ์เหล่านี้ที่นี่  

หลังจากเก็บของเรียบร้อยจึงสะพายกล้องตัวเก่งออกตะลอนเจนีวาครับ   ขณะนี้เวลาราวๆ 16:00น.   ผมจะออกไปเดินเล่นที่ทะเทสาบเจนีวา
ซึ่งใช้เวลาเดินราวๆ5นาทีก็มาถึงครับ   ที่นี่เป็นทะเทสาบสุดลูกหูลูกตา    มีผู้คนวิ่งออกกำลังกาย   มีคนนั่งพักผ่อนหย่อนใจ   บ้านเมืองดูเป็นระเบียบครับ   ผู้คนดูเป็นมิตรและให้เกียรติกันดี



ริมทะเทสาบเจนีวา



ตกลงปลงใจที่จะถ่ายเจ้าพวกนี้แหละ




น้ำพุเจ็ตโด



ทะเลสาบเจนีวา   ชาวเจนีวาและฝรั่งเศสจะเรียกว่า “ลักเลมอง” ตามรูปร่างของทะเลสาบที่ดูคล้ายพระจันทร์เสี้ยวหรือเคียว    ด้วยขนาดที่ทะเลสาบนี้มีความใหญ่มากๆทำให้มีน้ำขึ้นน้ำลงเช่นเดียวกับทะเล  เมื่อมองไปอีกด้านของชายฝั่งก็จะเห็นน้ำพุที่พวยพุ่งขึ้นสูงเหนือทะเลสาบ “น้ำพุเจ็ตโด” คือชื่อของน้ำพุนี้  ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองมานับร้อยปีแล้ว   ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อช่วยลดแรงดันในระบบน้ำของเมืองที่ผันน้ำจากทะเลสาบขึ้นไปใช้     ผมเดินตามแนวหาดไปเรื่อยๆไปทางใต้แบบไร้จุดหมายมากๆ   ข้ามสะพานมงต์บลังไปอีกฝั่ง   สะพานนี้จะเชื่อมระหว่างเมืองฝั่งเหนือและฝั้งใต้เข้าด้วยกัน   ผมเดินเลาะริมฝั่งไปเรื่อยๆก็ไปเจอเข้ากับสวนริมหาด “ชาร์แด็งอองเกล” สวนสไตล์อังกฤษที่มีการจัดสวนสวยงามเลยทีเดียว  
วันนี้ผมเริ่มหมดที่ไปแล้วล่ะสิ   บวกกับอากาศที่เริ่มเย็นลงจนทำให้ผมนั่งตัวสั่น  ผมนั่งดูน้ำพุที่กำลังพวยพุ่งขึ้นจากทะเลสาบ   มองผู้คนและนักท่องเที่ยวคนอื่นๆผ่านไปผ่านมา   ผมชอบบรรยากาศแบบนี้มากที่เห็นทุกคนมีความสุขแบบนี้รวมถึงตัวผมเอง



สวนชาร์แด็งอองเกลริมทะเลสาบเจนีวา




จากการดูแผนที่   ในแผนที่บอกว่าตอนนี้ผมอยู่ห่างจากเขตเมืองเก่าไม่ถึง 200เมตร   ผมพยายามมองหาว่าตรงไหนคือเขตเมืองเก่า   แต่มองไปรอบๆก็ไม่เห็นวี่แววของมันเลย    ตอนแรกผมตัดสินใจจะเดินกลับที่พักแล้ว   ด้วยอากาศที่เริ่มเย็นลงเรื่อยๆและมีลมจากทะเลสาบเป็นระยะๆ   คนในเขตร้อนชื้นอย่างผมจะทนได้ยังไงกันเล่า    “แต่...ไหนๆแผนที่ก็บอกว่าอยู่ใกล้ๆแค่นี้เอง  จะเดินไปดูอีกหน่อยจะเป็นอะไรไป”



ผมกำลังเดินตามหาอะไรบางอย่างครับ



ผมเดินออกจากสวนและข้ามถนนไปอีกฝั่ง   เริ่มเดินตามทางที่ชันตามลักษณะภูมิประเทศ   ผมเห็นรางรถไฟ   ผมเห็นอาคารสไตล์ยุโรปแต่มีความหรูหราอยู่เป็นจำนวนมาก   และที่สุดผมก็เห็น “ปราสาท” มันเหมือนมีแรงดูงดูดผมอย่างมากให้ผมเดินเข้าไปหามัน   ทางขึ้นก็ชันมากเหมือนกันแต่ก็ยอมเหนื่อยครับ   ยอมเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆไปยังปราสาทข้างหน้าที่เป็นเป้าหมาย   ระหว่างทางผมเห็นบ้านเรือนตามไหล่ทางซึ่ง “อยู่ในปราสาท” (อารมณ์ประมาณนั้น)   เป็นอะไรที่ทำให้ผมตื่นเต้นและอิจฉามากๆเลยที่เดียว   ผมเดินมาถึงจุดที่คิดว่าดีที่สุด  และเป็นจุดสูงที่สุดของที่ตั้งปราสาทแห่งนี้แล้วจึงการวางข้าวของลง   หยิบกล้องออกมายกขึ้นเก็บภาพ   ตั้งกล้องเพื่อถ่ายภาพตัวเองกับปราสาทแห่งนี้ “มหาวิหารแซงต์ปิแอร์” หรือ “โบสถ์เซ็นต์ปีเตอร์” ผมยกกล้องขึ้นเก็บภาพได้หลายภาพจากที่นี่พร้อมกับร่างกายที่หนาวสั่นจากอากาศเย็นๆในตอนที่ดวงอาทิตย์เกือบจะลับขอบฟ้า



ผมปีนบันไดมาถึงครึ่งทางแล้วครับ




มหาวิหารแซงต์ปิแอร์





มหาวิหารแซงต์ปิแอร์


ผมมีโอกาสสนทนากับชาวสวิสท่านหนึ่งที่เดินผ่านมาและทักทายผม   เราจึงมีโอกาสคุยกัน   เขาถามไถ่ถึงการเดินทางของผมและกล่าวว่าการเดินทางของผมน่าสนใจ   และเขาพยายามเล่าประวัติศาสตร์ของเจนีวาให้ผมฟังคร่าวๆ   เป็นมิตรภาพแรกของที่นี่ครับสำหรับสวิซเซอร์แลนด์   วันนี้ทำให้ผมเห็นความสำคัญของภาษาอีกครั้ง   และตอกย้ำกับผมว่า “ภาษาจะช่วยเปิดโลกกว้างให้เราเสมอ" นอกจากการเดินเข้าไปซื้อของ   การซื้อตั๋ว   การสนทนาง่ายๆทั่วๆไปที่เราท่องจำกัน   การสนทนาแบบเป็นเรื่องเป็นราวจำเป็นต้องใช้ภาษาและทักษะพอสมควรเลยแหละครับ    ไม่ว่าจะเป็นการพูดที่ต้องออกเสียงให้ถูกต้อง  สำเนียงให้ฟังรู้เรื่อง(ผมชอบพูดว่าคือการกระแดะ)   และทักษะการฟังซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญมากๆที่เราจะคุยกับเขาและฟังเขาพูดได้รู้เรื่อง



เดินกลับที่พักแล้วครับ เมืองสวยสะกดใจมากๆ

















เลี้ยวขวา เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาอีกทีก็ถึงที่พักแล้วล่ะครับ



ตอนนี้ดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้าแล้ว  ผมต้องขอตัวเข้าไปหลบหนาวที่ห้องพักก่อนแล้วนะครับ   ไว้พรุ่งนี้ผมจะพาออกตะลอนเจนีวาและเมืองอื่นๆครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่