http://pantip.com/topic/34338921 ตอนที่1 วีซ่าและการเดินทาง
http://pantip.com/topic/34353426 ตอนที่2 เนเธอร์แลนด์วันที่1
http://pantip.com/topic/34355076 ตอนที่3 เนเธอร์แลนด์วันที่2
http://pantip.com/topic/34364373 ตอนที่4 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่1 "Geneva"
http://pantip.com/topic/34385053 ตอนที่5 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่1 "Geneva" - 2
http://pantip.com/topic/34390037 ตอนที่6 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่2 "Lausanne - Vevey"
http://pantip.com/topic/34406378 ตอนที่7 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่2 "มาถึงแล้วนะ อินเทอลาเค่น"
http://pantip.com/topic/34435175 ตอนที่8 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่3 "อินเทอลาเค่น สวรรค์บนโลก"
http://pantip.com/topic/34476354 ตอนที่9 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่4 "ท่องสวิสวันสุดท้าย เจอกันอิตาลี"
http://pantip.com/topic/34601851 ตอนที่10 อิตาลี วันที่1 "เวนิส เมืองโรแมนติกของฉัน"
http://pantip.com/topic/34767952 ตอนที่11 อิตาลี วันที่2 "ฟลอเรนซ์ เมื่อฉันตกหลุมรักอีกครั้ง”
http://pantip.com/topic/35312104 ตอนที่12 อิตาลี วันที่3 "ปิซ่า ในวันฝนพรำ และสวัสดีกรุงโรม”
เพื่อนๆสามารถติดตามทริปต่างๆที่จะเกิดขึ้นของผมแบบ Realtime ได้ที่เฟซเพจได้นะครับ เพราะผมจะมีทริปเล็กๆน้อยๆอยู่เรื่อยๆ
จะได้ติดตามข้อมูลและลุ้นไปด้วยกันที่
http://www.facebook.com/Backpacker.Pu

ถึงแล้วครับกรุงโรม
เมื่อผมเดินทางมาถึง ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่าง มันเป็นความรู้สึกของเมืองเก่า เมืองโรมันโบราณ มันไม่เจิดจรัสเหมือนสวิส ไม่โรแมนติกเหมือนเวนิส ไม่เหมือนเนเธอร์แลนด์ที่ผมพึ่งผ่านมา มันเป็นความรู้สึกแบบไหนกันนะผมเองก็บอกไม่ถูก ภาพหม่นๆเหล่านั้นปรากฏขึ้นแล้วเต็มสองตาของผมในขณะนี้ ทันทีที่ก้าวพ้นประตูรถไฟอากาศเย็นๆก็วิ่งเข้าปะทะ ผมจึงต้องรีบออกจากสถานีเพื่อไปยังที่พักที่ได้จองไว้ก่อนหน้านี้เพื่อเก็บกระเป๋าและหาที่ทานอาหารเย็น ทันทีที่ติดต่อเรื่องที่พักหน้าเคาร์เตอร์ Hostel เสร็จผมก็รีบขึ้นห้องทันที ห้องที่พักระหว่างอยู่ที่โรมผมพักประเภทห้องนอนรวมครับ มีอยู่3เตียง เตียงละ2ชั้น ทันทีที่ผมเปิดประตูห้องเข้าไปสายตาของหญิงสาวกลุ่มหนึ่งก็พร้อมใจกันมองมาที่ผมพร้อมพูดออกมาว่า"เฉา" จะเหลือเหรอครับงานนี้ งง!!!
มารู้ทีหลังว่าเป็นการทักทายในภาษาอิตาลี แปลว่าสวัสดี แต่ผมก็พูดออกไปทันทีเหมือนกัน
"Hello" พร้อมยิ้มให้เล็กๆและเดินไปเก็บของเข้าล็อคเกอร์ เราเขินนะตัวเธอ555
เมื่อเดินทางมาถึงโรมผมออกอาการกังวลนิดๆเนื่องด้วยเป็นเมืองสุดท้ายก่อนจบทริป เงินก็เหลือน้อยลงเต็มทีเพราะมีเหตุให้ต้องใช้จ่ายกระทันหันและเรื่องไม่คาดฝันหลายอย่าง คืนนี้ผมเดินลงไปฝากท้องไว้กับร้านสเต๊กครับ ร้านตั้งอยู่ในสถานีรถไฟโรม ที่นี่ผมเจอคนหลายๆเชื้อชาติและหนึ่งในนั้นก็คือคนไทยเรานี่แหละครับ มาเป็นกลุ่มใหญ่เลยทีเดียว ผมเข้าไปนั่งโต๊ะคนเดียวและสั่งอาหาร อารมณ์ในตอนนั้นแบบว่าเหงามาก เลยเผลอสั่งเบียร์ไป 1 ขวด ฮ่าาา อาหารสำหรับมื้อนี้ตกไปที่ 23ยูโรครับ ถือว่าโอเคแหละเพราะหลายวันได้กินแบบนี้ที เป็นการเติมพลังเผื่อพรุ่งนี้ที่จะเจออะไรๆโดยไม่ตั้งใจอีก หลังจากหมดเวลาอาหารผมก็กลับขึ้นห้องและหลับไปด้วยความล้าจากการเดินทางตลอดเกือบ 10 วันที่ผ่านมา อากาศที่นี่เย็นใช้ได้เลยทีเดียวครับ
สำหรับเช้าวันนี้ผมตื่นนอนแต่เช้ากะว่าจะรีบอาบน้ำแต่งตัวออกไปเดินเตร่ๆ มีหลายที่ที่ต้องไปมากๆ ไม่ว่าจะเป็นโคลอสเซียม บันไดสเปน น้ำพุเทรวี่ โรมันฟลอรั่ม แต่ด้วยความเกรงใจสาวๆที่นอนในห้องเดียวกันผมจึงไม่กล้าจะลุกขึ้นเพราะผมนอนอยู่ชั้นบนของเตียง สาวๆยังนอนนิ่งกันอยู่เลยสงสัยเมื่อคืนดื่มกันมาหนักแน่ๆ หลังจากนอนต่อซักพักตื่นมาอีกทีก็ได้เวลาไปอาบน้ำแต่งตัว หอบกระเป๋ากล้องออกตะลอนกรุงโรมแล้วล่ะครับ โชคดีที่ได้แผนที่ของโรงแรมช่วยเป็นไกด์นำทางว่าสถานที่ต่างๆอยู่มุมไหน หลังจากที่เดินมุ่งหน้าสู่คอลอสเซียมผมก็พบกับโบสถ์คริสต์ที่สะดุดตาเข้าอย่างจังทางขวามือ เลยไม่พลาดที่จะไปยืนหน้าโบสถ์และยกกล้องขึ้นเก็บภาพนั้น โบสถ์นี้ชื่อว่า Maria Maggiore ขณะที่ยกกล้องขึ้นเก็บภาพไปเรื่อยๆอยู่นั้นก็เจอภาษาที่คุ้นเคยครับ หลังจากไม่ได้พูดภาษานี้มาหลายวันตั้งแต่ออกจากสวิสมา "ภาษาไทย" เป็นสองสาวชาวไทย สวยเลยแหละครับ แต่ผมเองก็ไม่ได้ทักอะไรเพียงแต่ผมมองไปเขาก็หันมามอง เขาก็คงสงสัยว่าผมเป็นคนไทยนั่นแหละ จากนั้นจึงเดินตามๆกันเข้าไปในโบสถ์ ในนั้นก็เจอคนไทยอีก 2-3 คนครับ ภายในโบสถ์สวยงามมากๆอีกโบสถ์หนึ่ง มีสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ อาจจะเพราะผมไม่เคยเจออะไรแบบนี้ด้วยก็เป็นได้ เผลอแป๊บเดียวผมก็อยู่ที่นี่มาเกือบชั่วโมงเลยแหละ

โบสถ์ Maria Maggiore

ภายในโบสถ์

ภาพบนเพดานโบสถ์ สวยงามจริงๆครับ
จากนั้นจึงเดินออกมาและมุ่งหน้าสู่คอลอสเซียมด้วยการเดินไปกับนักท่องเที่ยวท่านอื่นๆครับ
จากโบสถ์นี้เดินเท้าใช้เวลาราวๆ 20-30 นาที อาจจะเนื่องด้วยเท้าผมที่เริ่มบวมด้วยทำให้การเดินช้าลงอย่างเห็นได้ชัด วันนี้เป็นวันที่แดดแรงมากๆครับ ใช้โลชั่นที่ซื้อจากสวิสมาป้ายๆทิ้งไว้ที่หน้า เดินตัดสวนสาธารณะไปเรื่อยๆและแล้วก็มาถึงแล้วครับ โคลอสเซียม ที่นี่คงเป็นสัญลักษณ์ของอิตาลีเลยก็ว่าได้ที่ใครเดินทางมาที่นี่แล้วต้องได้มาสัมผัสโคลอสเซียม เช้านี้คนเยอะมากๆครับ ต่อคิวรอซื้อตั๋วแถวยาวเหยียดเลยทีเดียว ผมจึงเดินเลี่ยงออกมาก่อนเพราะคงไม่มีเวลาเยอะขนาดที่จะไปยืนรอนานๆครับ ผมเดินออกไปทางขวาเพื่อจะดูราคาตั๋วที่จะเข้าชมโรมันฟอรัม ซึ่งราคาอยู่ที่ 15 ยูโร เอาแล้วสิ แต่คนก็แออัดมากๆเช่นกันครับ ผมจึงได้แต่เดินอ้อมเขตเมืองเก่าเมืองนี้ไปเรื่อยๆ เพราะสถานที่เหล่านี้จะถูกกั้นรั้วไว้อย่างดี ผมจึงชื่นชมความอลังการของที่แห่งนี้ได้จากภายนอกซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไรสำหรับผม

โคลอสเซียมครับ คนเยอะมากๆ

จุดนี้เดินเข้าไปใกล้ๆครับ
ผมเดินห่างออกมาจากอาณาจักรโรมเก่าซักระยะก็พบกับคู่บ่าวสาวกำลังถ่ายภาพ Pre Wedding ขับเบนซ์คันงามกันมา ภาพเหมือนในหนังฝรั่งเป๊ะ เป็นอีกครั้งที่ผมได้เห็นเรื่องราวที่พบเจอจากหน้าจอแต่ตอนนี้ภาพเหล่านั้นปรากฎในสายตาผมอย่างจังราวกับฝันไป ผมเดินออกไปตามเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มจากข้างหน้าราวกับจะมีงานคอนเสิร์ต สถานที่ตรงนั้นผมไม่แน่ใจว่าเรียกว่าอะไรแต่ลักษณะเหมือนสนามที่มีอัศจรรย์ล้อมรอบ แต่หากเป็นอัศจรรย์ที่เป็นผืนดินผืนที่หญ้าค่อยๆลาดเอียงลงไป ผมนั่งลงพักเหนื่อยและเอนหลังลงในที่แห่งนั้นทันที ในที่ตรงนั้นเขากำลังเตรียมจัดงานครับ คาดว่าจะเป็นตอนเย็นนี้ พวกเขาแต่งตัวเหมือนคาวบอย ทุกอย่างเหมือนในหนังเลยแหละครับ มีเจ้าสุนัขไซบีเรียนตัวโตวิ่งหยอกเย้ากับพี่ๆแก มันเป็นการพักผ่อนที่สุดวิเศษเสียจริงๆ มีฝรั่งอีกหลายคนที่มาหลบพักแบบผมครับ บางคนก็นั่งอ่านหนังสือ บางกลุ่มก็นั่งคุยกัน เอนกายอยู่พักใหญ่ๆผมจึงลุกขึ้นเดินอีกครั้ง หากแต่การเดินครั้งนี้เป็นการออกเดินแบบไร้จุดหมายครับ
“ขอออกเดินไปเรื่อยๆแล้วกันนะ” ผมบอกกับตัวเองอย่างนั้น ผมเดินผ่านบ้านหลังเก่าๆ เดินผ่านโรงเรียน เดินผ่านที่ไหนบ้างก็ไม่รู้ แต่ที่รู้คือมันซึมซับเข้าในความรู้สึกผมอย่างเต็มเปี่ยม ผมเดินเตร่มาเรื่อยๆพอดูแผนที่ในมือถืออีกทีก็พบว่า "ผมเดินเกือบจะเป็นวงกลมแล้ว และสิ่งปลูกสร้างอันอลังการที่อยู่เบื้องหน้าผมตอนนี้คือ
"Monument Emmanuel"
ผมเดินขึ้นไปยัง
Piazza Campidoglio และลัดเลาะไปเรื่อยๆเพื่อไปยัง
Monument Emmanuel ซึ่งก็เจอซากปรักหักพักของอาณาจักรโรมันโบราณเพราะอยู่ติดๆกัน

เริ่มเรื่อยเปื่อยแล้วครับ555
จากที่เดินมาเหนื่อยๆก็ไม่หายเหนื่อยหรอก 555 แต่มันเหมือนกับว่ามันคุ้มค่ากับการเดินมากๆ จริงๆสถานที่แห่งนี้ไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆเพราะผมหาข้อมูลน้อยมากก่อนจะออกทริป ซึ่งเลยเป็นสิ่งที่คุ้มค่าเหนือความคาดหมาย ผมไม่พลาดที่จะเดินขึ้นไปบนตึก ซึ่งภายในนั้นจะแสดงประวัติศาสตร์ของของอิตาลี และความเป็นไปเป็นมาของชาติต่างๆในยุโรป หากเราหยุดอ่านป้ายแล้วล่ะก็ มันจะน่าสนใจไม่น้อย ถึงผมจะไม่ค่อยสนใจเรื่องประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว แต่ผมก็หยุดไม่อยู่ที่จะอ่านมัน ตึกแห่งนี้ยังมีจุดชมวิวที่ต้องเสียค่าขึ้นอยู่นะครับ แต่เงินผมเหลือไม่ถึง 15 ยูโร ซึ่ง 12ยูโรจะเป็นค่ารถไฟจากมิลานไปสนามบินมาลเพนซ่าครับ
หลังจากที่สัมผัสกับบรรยากาศของเมืองเก่า ของประวัติศาสตร์กรุงโรมอย่างเต็มอิ่มแล้วผมจึงเดินกลับ Hostel และแวะซื้อแว่นให้ตัวเองซักอัน
"Rayban" ซื้อมาในราคา 95 ยูโร ซึ่งประมาณ 3,400 บาทไทยในขณะนั้น

Piazza Campidoglio

Monument Emmanuel

ถ่ายเสามาฝากครับ เห็นมันสวยดี แฮ่ๆ

โรมันฟอรั่มที่อยู่ติดกันครับ มีรั้วล้อมรอบ
ตัวคนเดียวแบกเป้ลุยเดี่ยว เนเธอร์แลนด์-สวิส-อิตาลี "อิตาลี วันที่4" “เยี่ยมเยือนอาณาจักรโรมันแห่งโรม ”
http://pantip.com/topic/34353426 ตอนที่2 เนเธอร์แลนด์วันที่1
http://pantip.com/topic/34355076 ตอนที่3 เนเธอร์แลนด์วันที่2
http://pantip.com/topic/34364373 ตอนที่4 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่1 "Geneva"
http://pantip.com/topic/34385053 ตอนที่5 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่1 "Geneva" - 2
http://pantip.com/topic/34390037 ตอนที่6 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่2 "Lausanne - Vevey"
http://pantip.com/topic/34406378 ตอนที่7 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่2 "มาถึงแล้วนะ อินเทอลาเค่น"
http://pantip.com/topic/34435175 ตอนที่8 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่3 "อินเทอลาเค่น สวรรค์บนโลก"
http://pantip.com/topic/34476354 ตอนที่9 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่4 "ท่องสวิสวันสุดท้าย เจอกันอิตาลี"
http://pantip.com/topic/34601851 ตอนที่10 อิตาลี วันที่1 "เวนิส เมืองโรแมนติกของฉัน"
http://pantip.com/topic/34767952 ตอนที่11 อิตาลี วันที่2 "ฟลอเรนซ์ เมื่อฉันตกหลุมรักอีกครั้ง”
http://pantip.com/topic/35312104 ตอนที่12 อิตาลี วันที่3 "ปิซ่า ในวันฝนพรำ และสวัสดีกรุงโรม”
เพื่อนๆสามารถติดตามทริปต่างๆที่จะเกิดขึ้นของผมแบบ Realtime ได้ที่เฟซเพจได้นะครับ เพราะผมจะมีทริปเล็กๆน้อยๆอยู่เรื่อยๆ
จะได้ติดตามข้อมูลและลุ้นไปด้วยกันที่
http://www.facebook.com/Backpacker.Pu
ถึงแล้วครับกรุงโรม
เมื่อผมเดินทางมาถึง ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่าง มันเป็นความรู้สึกของเมืองเก่า เมืองโรมันโบราณ มันไม่เจิดจรัสเหมือนสวิส ไม่โรแมนติกเหมือนเวนิส ไม่เหมือนเนเธอร์แลนด์ที่ผมพึ่งผ่านมา มันเป็นความรู้สึกแบบไหนกันนะผมเองก็บอกไม่ถูก ภาพหม่นๆเหล่านั้นปรากฏขึ้นแล้วเต็มสองตาของผมในขณะนี้ ทันทีที่ก้าวพ้นประตูรถไฟอากาศเย็นๆก็วิ่งเข้าปะทะ ผมจึงต้องรีบออกจากสถานีเพื่อไปยังที่พักที่ได้จองไว้ก่อนหน้านี้เพื่อเก็บกระเป๋าและหาที่ทานอาหารเย็น ทันทีที่ติดต่อเรื่องที่พักหน้าเคาร์เตอร์ Hostel เสร็จผมก็รีบขึ้นห้องทันที ห้องที่พักระหว่างอยู่ที่โรมผมพักประเภทห้องนอนรวมครับ มีอยู่3เตียง เตียงละ2ชั้น ทันทีที่ผมเปิดประตูห้องเข้าไปสายตาของหญิงสาวกลุ่มหนึ่งก็พร้อมใจกันมองมาที่ผมพร้อมพูดออกมาว่า"เฉา" จะเหลือเหรอครับงานนี้ งง!!!
มารู้ทีหลังว่าเป็นการทักทายในภาษาอิตาลี แปลว่าสวัสดี แต่ผมก็พูดออกไปทันทีเหมือนกัน
"Hello" พร้อมยิ้มให้เล็กๆและเดินไปเก็บของเข้าล็อคเกอร์ เราเขินนะตัวเธอ555
เมื่อเดินทางมาถึงโรมผมออกอาการกังวลนิดๆเนื่องด้วยเป็นเมืองสุดท้ายก่อนจบทริป เงินก็เหลือน้อยลงเต็มทีเพราะมีเหตุให้ต้องใช้จ่ายกระทันหันและเรื่องไม่คาดฝันหลายอย่าง คืนนี้ผมเดินลงไปฝากท้องไว้กับร้านสเต๊กครับ ร้านตั้งอยู่ในสถานีรถไฟโรม ที่นี่ผมเจอคนหลายๆเชื้อชาติและหนึ่งในนั้นก็คือคนไทยเรานี่แหละครับ มาเป็นกลุ่มใหญ่เลยทีเดียว ผมเข้าไปนั่งโต๊ะคนเดียวและสั่งอาหาร อารมณ์ในตอนนั้นแบบว่าเหงามาก เลยเผลอสั่งเบียร์ไป 1 ขวด ฮ่าาา อาหารสำหรับมื้อนี้ตกไปที่ 23ยูโรครับ ถือว่าโอเคแหละเพราะหลายวันได้กินแบบนี้ที เป็นการเติมพลังเผื่อพรุ่งนี้ที่จะเจออะไรๆโดยไม่ตั้งใจอีก หลังจากหมดเวลาอาหารผมก็กลับขึ้นห้องและหลับไปด้วยความล้าจากการเดินทางตลอดเกือบ 10 วันที่ผ่านมา อากาศที่นี่เย็นใช้ได้เลยทีเดียวครับ
สำหรับเช้าวันนี้ผมตื่นนอนแต่เช้ากะว่าจะรีบอาบน้ำแต่งตัวออกไปเดินเตร่ๆ มีหลายที่ที่ต้องไปมากๆ ไม่ว่าจะเป็นโคลอสเซียม บันไดสเปน น้ำพุเทรวี่ โรมันฟลอรั่ม แต่ด้วยความเกรงใจสาวๆที่นอนในห้องเดียวกันผมจึงไม่กล้าจะลุกขึ้นเพราะผมนอนอยู่ชั้นบนของเตียง สาวๆยังนอนนิ่งกันอยู่เลยสงสัยเมื่อคืนดื่มกันมาหนักแน่ๆ หลังจากนอนต่อซักพักตื่นมาอีกทีก็ได้เวลาไปอาบน้ำแต่งตัว หอบกระเป๋ากล้องออกตะลอนกรุงโรมแล้วล่ะครับ โชคดีที่ได้แผนที่ของโรงแรมช่วยเป็นไกด์นำทางว่าสถานที่ต่างๆอยู่มุมไหน หลังจากที่เดินมุ่งหน้าสู่คอลอสเซียมผมก็พบกับโบสถ์คริสต์ที่สะดุดตาเข้าอย่างจังทางขวามือ เลยไม่พลาดที่จะไปยืนหน้าโบสถ์และยกกล้องขึ้นเก็บภาพนั้น โบสถ์นี้ชื่อว่า Maria Maggiore ขณะที่ยกกล้องขึ้นเก็บภาพไปเรื่อยๆอยู่นั้นก็เจอภาษาที่คุ้นเคยครับ หลังจากไม่ได้พูดภาษานี้มาหลายวันตั้งแต่ออกจากสวิสมา "ภาษาไทย" เป็นสองสาวชาวไทย สวยเลยแหละครับ แต่ผมเองก็ไม่ได้ทักอะไรเพียงแต่ผมมองไปเขาก็หันมามอง เขาก็คงสงสัยว่าผมเป็นคนไทยนั่นแหละ จากนั้นจึงเดินตามๆกันเข้าไปในโบสถ์ ในนั้นก็เจอคนไทยอีก 2-3 คนครับ ภายในโบสถ์สวยงามมากๆอีกโบสถ์หนึ่ง มีสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ อาจจะเพราะผมไม่เคยเจออะไรแบบนี้ด้วยก็เป็นได้ เผลอแป๊บเดียวผมก็อยู่ที่นี่มาเกือบชั่วโมงเลยแหละ
โบสถ์ Maria Maggiore
ภายในโบสถ์
ภาพบนเพดานโบสถ์ สวยงามจริงๆครับ
จากนั้นจึงเดินออกมาและมุ่งหน้าสู่คอลอสเซียมด้วยการเดินไปกับนักท่องเที่ยวท่านอื่นๆครับ
จากโบสถ์นี้เดินเท้าใช้เวลาราวๆ 20-30 นาที อาจจะเนื่องด้วยเท้าผมที่เริ่มบวมด้วยทำให้การเดินช้าลงอย่างเห็นได้ชัด วันนี้เป็นวันที่แดดแรงมากๆครับ ใช้โลชั่นที่ซื้อจากสวิสมาป้ายๆทิ้งไว้ที่หน้า เดินตัดสวนสาธารณะไปเรื่อยๆและแล้วก็มาถึงแล้วครับ โคลอสเซียม ที่นี่คงเป็นสัญลักษณ์ของอิตาลีเลยก็ว่าได้ที่ใครเดินทางมาที่นี่แล้วต้องได้มาสัมผัสโคลอสเซียม เช้านี้คนเยอะมากๆครับ ต่อคิวรอซื้อตั๋วแถวยาวเหยียดเลยทีเดียว ผมจึงเดินเลี่ยงออกมาก่อนเพราะคงไม่มีเวลาเยอะขนาดที่จะไปยืนรอนานๆครับ ผมเดินออกไปทางขวาเพื่อจะดูราคาตั๋วที่จะเข้าชมโรมันฟอรัม ซึ่งราคาอยู่ที่ 15 ยูโร เอาแล้วสิ แต่คนก็แออัดมากๆเช่นกันครับ ผมจึงได้แต่เดินอ้อมเขตเมืองเก่าเมืองนี้ไปเรื่อยๆ เพราะสถานที่เหล่านี้จะถูกกั้นรั้วไว้อย่างดี ผมจึงชื่นชมความอลังการของที่แห่งนี้ได้จากภายนอกซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไรสำหรับผม
โคลอสเซียมครับ คนเยอะมากๆ
จุดนี้เดินเข้าไปใกล้ๆครับ
ผมเดินห่างออกมาจากอาณาจักรโรมเก่าซักระยะก็พบกับคู่บ่าวสาวกำลังถ่ายภาพ Pre Wedding ขับเบนซ์คันงามกันมา ภาพเหมือนในหนังฝรั่งเป๊ะ เป็นอีกครั้งที่ผมได้เห็นเรื่องราวที่พบเจอจากหน้าจอแต่ตอนนี้ภาพเหล่านั้นปรากฎในสายตาผมอย่างจังราวกับฝันไป ผมเดินออกไปตามเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มจากข้างหน้าราวกับจะมีงานคอนเสิร์ต สถานที่ตรงนั้นผมไม่แน่ใจว่าเรียกว่าอะไรแต่ลักษณะเหมือนสนามที่มีอัศจรรย์ล้อมรอบ แต่หากเป็นอัศจรรย์ที่เป็นผืนดินผืนที่หญ้าค่อยๆลาดเอียงลงไป ผมนั่งลงพักเหนื่อยและเอนหลังลงในที่แห่งนั้นทันที ในที่ตรงนั้นเขากำลังเตรียมจัดงานครับ คาดว่าจะเป็นตอนเย็นนี้ พวกเขาแต่งตัวเหมือนคาวบอย ทุกอย่างเหมือนในหนังเลยแหละครับ มีเจ้าสุนัขไซบีเรียนตัวโตวิ่งหยอกเย้ากับพี่ๆแก มันเป็นการพักผ่อนที่สุดวิเศษเสียจริงๆ มีฝรั่งอีกหลายคนที่มาหลบพักแบบผมครับ บางคนก็นั่งอ่านหนังสือ บางกลุ่มก็นั่งคุยกัน เอนกายอยู่พักใหญ่ๆผมจึงลุกขึ้นเดินอีกครั้ง หากแต่การเดินครั้งนี้เป็นการออกเดินแบบไร้จุดหมายครับ “ขอออกเดินไปเรื่อยๆแล้วกันนะ” ผมบอกกับตัวเองอย่างนั้น ผมเดินผ่านบ้านหลังเก่าๆ เดินผ่านโรงเรียน เดินผ่านที่ไหนบ้างก็ไม่รู้ แต่ที่รู้คือมันซึมซับเข้าในความรู้สึกผมอย่างเต็มเปี่ยม ผมเดินเตร่มาเรื่อยๆพอดูแผนที่ในมือถืออีกทีก็พบว่า "ผมเดินเกือบจะเป็นวงกลมแล้ว และสิ่งปลูกสร้างอันอลังการที่อยู่เบื้องหน้าผมตอนนี้คือ "Monument Emmanuel"
ผมเดินขึ้นไปยัง Piazza Campidoglio และลัดเลาะไปเรื่อยๆเพื่อไปยัง Monument Emmanuel ซึ่งก็เจอซากปรักหักพักของอาณาจักรโรมันโบราณเพราะอยู่ติดๆกัน
เริ่มเรื่อยเปื่อยแล้วครับ555
จากที่เดินมาเหนื่อยๆก็ไม่หายเหนื่อยหรอก 555 แต่มันเหมือนกับว่ามันคุ้มค่ากับการเดินมากๆ จริงๆสถานที่แห่งนี้ไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆเพราะผมหาข้อมูลน้อยมากก่อนจะออกทริป ซึ่งเลยเป็นสิ่งที่คุ้มค่าเหนือความคาดหมาย ผมไม่พลาดที่จะเดินขึ้นไปบนตึก ซึ่งภายในนั้นจะแสดงประวัติศาสตร์ของของอิตาลี และความเป็นไปเป็นมาของชาติต่างๆในยุโรป หากเราหยุดอ่านป้ายแล้วล่ะก็ มันจะน่าสนใจไม่น้อย ถึงผมจะไม่ค่อยสนใจเรื่องประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว แต่ผมก็หยุดไม่อยู่ที่จะอ่านมัน ตึกแห่งนี้ยังมีจุดชมวิวที่ต้องเสียค่าขึ้นอยู่นะครับ แต่เงินผมเหลือไม่ถึง 15 ยูโร ซึ่ง 12ยูโรจะเป็นค่ารถไฟจากมิลานไปสนามบินมาลเพนซ่าครับ
หลังจากที่สัมผัสกับบรรยากาศของเมืองเก่า ของประวัติศาสตร์กรุงโรมอย่างเต็มอิ่มแล้วผมจึงเดินกลับ Hostel และแวะซื้อแว่นให้ตัวเองซักอัน "Rayban" ซื้อมาในราคา 95 ยูโร ซึ่งประมาณ 3,400 บาทไทยในขณะนั้น
Piazza Campidoglio
Monument Emmanuel
ถ่ายเสามาฝากครับ เห็นมันสวยดี แฮ่ๆ
โรมันฟอรั่มที่อยู่ติดกันครับ มีรั้วล้อมรอบ