ตัวคนเดียวแบกเป้ลุยเดี่ยว เนเธอร์แลนด์-สวิส-อิตาลี "อิตาลี วันที่4" “เยี่ยมเยือนอาณาจักรโรมันแห่งโรม ”

http://pantip.com/topic/34338921  ตอนที่1 วีซ่าและการเดินทาง
http://pantip.com/topic/34353426  ตอนที่2 เนเธอร์แลนด์วันที่1
http://pantip.com/topic/34355076  ตอนที่3 เนเธอร์แลนด์วันที่2
http://pantip.com/topic/34364373  ตอนที่4 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่1 "Geneva"
http://pantip.com/topic/34385053  ตอนที่5 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่1 "Geneva" - 2
http://pantip.com/topic/34390037  ตอนที่6 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่2 "Lausanne - Vevey"
http://pantip.com/topic/34406378  ตอนที่7 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่2 "มาถึงแล้วนะ อินเทอลาเค่น"
http://pantip.com/topic/34435175  ตอนที่8 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่3 "อินเทอลาเค่น สวรรค์บนโลก"
http://pantip.com/topic/34476354  ตอนที่9 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่4 "ท่องสวิสวันสุดท้าย เจอกันอิตาลี"
http://pantip.com/topic/34601851  ตอนที่10 อิตาลี วันที่1 "เวนิส เมืองโรแมนติกของฉัน"
http://pantip.com/topic/34767952  ตอนที่11 อิตาลี วันที่2 "ฟลอเรนซ์ เมื่อฉันตกหลุมรักอีกครั้ง”
http://pantip.com/topic/35312104  ตอนที่12 อิตาลี วันที่3 "ปิซ่า ในวันฝนพรำ และสวัสดีกรุงโรม”

เพื่อนๆสามารถติดตามทริปต่างๆที่จะเกิดขึ้นของผมแบบ Realtime ได้ที่เฟซเพจได้นะครับ เพราะผมจะมีทริปเล็กๆน้อยๆอยู่เรื่อยๆ
จะได้ติดตามข้อมูลและลุ้นไปด้วยกันที่
http://www.facebook.com/Backpacker.Pu


ถึงแล้วครับกรุงโรม


เมื่อผมเดินทางมาถึง ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่าง   มันเป็นความรู้สึกของเมืองเก่า   เมืองโรมันโบราณ   มันไม่เจิดจรัสเหมือนสวิส   ไม่โรแมนติกเหมือนเวนิส  ไม่เหมือนเนเธอร์แลนด์ที่ผมพึ่งผ่านมา   มันเป็นความรู้สึกแบบไหนกันนะผมเองก็บอกไม่ถูก   ภาพหม่นๆเหล่านั้นปรากฏขึ้นแล้วเต็มสองตาของผมในขณะนี้   ทันทีที่ก้าวพ้นประตูรถไฟอากาศเย็นๆก็วิ่งเข้าปะทะ   ผมจึงต้องรีบออกจากสถานีเพื่อไปยังที่พักที่ได้จองไว้ก่อนหน้านี้เพื่อเก็บกระเป๋าและหาที่ทานอาหารเย็น   ทันทีที่ติดต่อเรื่องที่พักหน้าเคาร์เตอร์ Hostel เสร็จผมก็รีบขึ้นห้องทันที    ห้องที่พักระหว่างอยู่ที่โรมผมพักประเภทห้องนอนรวมครับ   มีอยู่3เตียง เตียงละ2ชั้น   ทันทีที่ผมเปิดประตูห้องเข้าไปสายตาของหญิงสาวกลุ่มหนึ่งก็พร้อมใจกันมองมาที่ผมพร้อมพูดออกมาว่า"เฉา" จะเหลือเหรอครับงานนี้ งง!!! 
มารู้ทีหลังว่าเป็นการทักทายในภาษาอิตาลี แปลว่าสวัสดี แต่ผมก็พูดออกไปทันทีเหมือนกัน 
"Hello" พร้อมยิ้มให้เล็กๆและเดินไปเก็บของเข้าล็อคเกอร์ เราเขินนะตัวเธอ555

เมื่อเดินทางมาถึงโรมผมออกอาการกังวลนิดๆเนื่องด้วยเป็นเมืองสุดท้ายก่อนจบทริป   เงินก็เหลือน้อยลงเต็มทีเพราะมีเหตุให้ต้องใช้จ่ายกระทันหันและเรื่องไม่คาดฝันหลายอย่าง    คืนนี้ผมเดินลงไปฝากท้องไว้กับร้านสเต๊กครับ   ร้านตั้งอยู่ในสถานีรถไฟโรม   ที่นี่ผมเจอคนหลายๆเชื้อชาติและหนึ่งในนั้นก็คือคนไทยเรานี่แหละครับ  มาเป็นกลุ่มใหญ่เลยทีเดียว   ผมเข้าไปนั่งโต๊ะคนเดียวและสั่งอาหาร   อารมณ์ในตอนนั้นแบบว่าเหงามาก   เลยเผลอสั่งเบียร์ไป 1 ขวด ฮ่าาา   อาหารสำหรับมื้อนี้ตกไปที่ 23ยูโรครับ  ถือว่าโอเคแหละเพราะหลายวันได้กินแบบนี้ที   เป็นการเติมพลังเผื่อพรุ่งนี้ที่จะเจออะไรๆโดยไม่ตั้งใจอีก   หลังจากหมดเวลาอาหารผมก็กลับขึ้นห้องและหลับไปด้วยความล้าจากการเดินทางตลอดเกือบ 10 วันที่ผ่านมา  อากาศที่นี่เย็นใช้ได้เลยทีเดียวครับ  


สำหรับเช้าวันนี้ผมตื่นนอนแต่เช้ากะว่าจะรีบอาบน้ำแต่งตัวออกไปเดินเตร่ๆ   มีหลายที่ที่ต้องไปมากๆ ไม่ว่าจะเป็นโคลอสเซียม   บันไดสเปน  น้ำพุเทรวี่   โรมันฟลอรั่ม  แต่ด้วยความเกรงใจสาวๆที่นอนในห้องเดียวกันผมจึงไม่กล้าจะลุกขึ้นเพราะผมนอนอยู่ชั้นบนของเตียง   สาวๆยังนอนนิ่งกันอยู่เลยสงสัยเมื่อคืนดื่มกันมาหนักแน่ๆ    หลังจากนอนต่อซักพักตื่นมาอีกทีก็ได้เวลาไปอาบน้ำแต่งตัว   หอบกระเป๋ากล้องออกตะลอนกรุงโรมแล้วล่ะครับ   โชคดีที่ได้แผนที่ของโรงแรมช่วยเป็นไกด์นำทางว่าสถานที่ต่างๆอยู่มุมไหน   หลังจากที่เดินมุ่งหน้าสู่คอลอสเซียมผมก็พบกับโบสถ์คริสต์ที่สะดุดตาเข้าอย่างจังทางขวามือ   เลยไม่พลาดที่จะไปยืนหน้าโบสถ์และยกกล้องขึ้นเก็บภาพนั้น  โบสถ์นี้ชื่อว่า Maria Maggiore ขณะที่ยกกล้องขึ้นเก็บภาพไปเรื่อยๆอยู่นั้นก็เจอภาษาที่คุ้นเคยครับ   หลังจากไม่ได้พูดภาษานี้มาหลายวันตั้งแต่ออกจากสวิสมา "ภาษาไทย" เป็นสองสาวชาวไทย  สวยเลยแหละครับ  แต่ผมเองก็ไม่ได้ทักอะไรเพียงแต่ผมมองไปเขาก็หันมามอง   เขาก็คงสงสัยว่าผมเป็นคนไทยนั่นแหละ   จากนั้นจึงเดินตามๆกันเข้าไปในโบสถ์ ในนั้นก็เจอคนไทยอีก 2-3 คนครับ   ภายในโบสถ์สวยงามมากๆอีกโบสถ์หนึ่ง   มีสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ   อาจจะเพราะผมไม่เคยเจออะไรแบบนี้ด้วยก็เป็นได้   เผลอแป๊บเดียวผมก็อยู่ที่นี่มาเกือบชั่วโมงเลยแหละ


โบสถ์ Maria Maggiore



ภายในโบสถ์



ภาพบนเพดานโบสถ์ สวยงามจริงๆครับ


จากนั้นจึงเดินออกมาและมุ่งหน้าสู่คอลอสเซียมด้วยการเดินไปกับนักท่องเที่ยวท่านอื่นๆครับ
จากโบสถ์นี้เดินเท้าใช้เวลาราวๆ 20-30 นาที  อาจจะเนื่องด้วยเท้าผมที่เริ่มบวมด้วยทำให้การเดินช้าลงอย่างเห็นได้ชัด   วันนี้เป็นวันที่แดดแรงมากๆครับ   ใช้โลชั่นที่ซื้อจากสวิสมาป้ายๆทิ้งไว้ที่หน้า  เดินตัดสวนสาธารณะไปเรื่อยๆและแล้วก็มาถึงแล้วครับ   โคลอสเซียม   ที่นี่คงเป็นสัญลักษณ์ของอิตาลีเลยก็ว่าได้ที่ใครเดินทางมาที่นี่แล้วต้องได้มาสัมผัสโคลอสเซียม   เช้านี้คนเยอะมากๆครับ  ต่อคิวรอซื้อตั๋วแถวยาวเหยียดเลยทีเดียว   ผมจึงเดินเลี่ยงออกมาก่อนเพราะคงไม่มีเวลาเยอะขนาดที่จะไปยืนรอนานๆครับ   ผมเดินออกไปทางขวาเพื่อจะดูราคาตั๋วที่จะเข้าชมโรมันฟอรัม ซึ่งราคาอยู่ที่ 15 ยูโร   เอาแล้วสิ แต่คนก็แออัดมากๆเช่นกันครับ  ผมจึงได้แต่เดินอ้อมเขตเมืองเก่าเมืองนี้ไปเรื่อยๆ เพราะสถานที่เหล่านี้จะถูกกั้นรั้วไว้อย่างดี    ผมจึงชื่นชมความอลังการของที่แห่งนี้ได้จากภายนอกซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไรสำหรับผม


โคลอสเซียมครับ คนเยอะมากๆ



จุดนี้เดินเข้าไปใกล้ๆครับ


ผมเดินห่างออกมาจากอาณาจักรโรมเก่าซักระยะก็พบกับคู่บ่าวสาวกำลังถ่ายภาพ Pre Wedding ขับเบนซ์คันงามกันมา ภาพเหมือนในหนังฝรั่งเป๊ะ   เป็นอีกครั้งที่ผมได้เห็นเรื่องราวที่พบเจอจากหน้าจอแต่ตอนนี้ภาพเหล่านั้นปรากฎในสายตาผมอย่างจังราวกับฝันไป   ผมเดินออกไปตามเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มจากข้างหน้าราวกับจะมีงานคอนเสิร์ต   สถานที่ตรงนั้นผมไม่แน่ใจว่าเรียกว่าอะไรแต่ลักษณะเหมือนสนามที่มีอัศจรรย์ล้อมรอบ   แต่หากเป็นอัศจรรย์ที่เป็นผืนดินผืนที่หญ้าค่อยๆลาดเอียงลงไป   ผมนั่งลงพักเหนื่อยและเอนหลังลงในที่แห่งนั้นทันที  ในที่ตรงนั้นเขากำลังเตรียมจัดงานครับ คาดว่าจะเป็นตอนเย็นนี้ พวกเขาแต่งตัวเหมือนคาวบอย ทุกอย่างเหมือนในหนังเลยแหละครับ มีเจ้าสุนัขไซบีเรียนตัวโตวิ่งหยอกเย้ากับพี่ๆแก   มันเป็นการพักผ่อนที่สุดวิเศษเสียจริงๆ  มีฝรั่งอีกหลายคนที่มาหลบพักแบบผมครับ บางคนก็นั่งอ่านหนังสือ  บางกลุ่มก็นั่งคุยกัน  เอนกายอยู่พักใหญ่ๆผมจึงลุกขึ้นเดินอีกครั้ง   หากแต่การเดินครั้งนี้เป็นการออกเดินแบบไร้จุดหมายครับ   “ขอออกเดินไปเรื่อยๆแล้วกันนะ”   ผมบอกกับตัวเองอย่างนั้น   ผมเดินผ่านบ้านหลังเก่าๆ   เดินผ่านโรงเรียน   เดินผ่านที่ไหนบ้างก็ไม่รู้   แต่ที่รู้คือมันซึมซับเข้าในความรู้สึกผมอย่างเต็มเปี่ยม   ผมเดินเตร่มาเรื่อยๆพอดูแผนที่ในมือถืออีกทีก็พบว่า "ผมเดินเกือบจะเป็นวงกลมแล้ว   และสิ่งปลูกสร้างอันอลังการที่อยู่เบื้องหน้าผมตอนนี้คือ "Monument Emmanuel"
ผมเดินขึ้นไปยัง Piazza Campidoglio และลัดเลาะไปเรื่อยๆเพื่อไปยัง Monument Emmanuel ซึ่งก็เจอซากปรักหักพักของอาณาจักรโรมันโบราณเพราะอยู่ติดๆกัน 


เริ่มเรื่อยเปื่อยแล้วครับ555


จากที่เดินมาเหนื่อยๆก็ไม่หายเหนื่อยหรอก 555 แต่มันเหมือนกับว่ามันคุ้มค่ากับการเดินมากๆ   จริงๆสถานที่แห่งนี้ไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆเพราะผมหาข้อมูลน้อยมากก่อนจะออกทริป   ซึ่งเลยเป็นสิ่งที่คุ้มค่าเหนือความคาดหมาย   ผมไม่พลาดที่จะเดินขึ้นไปบนตึก   ซึ่งภายในนั้นจะแสดงประวัติศาสตร์ของของอิตาลี  และความเป็นไปเป็นมาของชาติต่างๆในยุโรป   หากเราหยุดอ่านป้ายแล้วล่ะก็  มันจะน่าสนใจไม่น้อย  ถึงผมจะไม่ค่อยสนใจเรื่องประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว   แต่ผมก็หยุดไม่อยู่ที่จะอ่านมัน    ตึกแห่งนี้ยังมีจุดชมวิวที่ต้องเสียค่าขึ้นอยู่นะครับ  แต่เงินผมเหลือไม่ถึง 15 ยูโร ซึ่ง 12ยูโรจะเป็นค่ารถไฟจากมิลานไปสนามบินมาลเพนซ่าครับ 
    หลังจากที่สัมผัสกับบรรยากาศของเมืองเก่า   ของประวัติศาสตร์กรุงโรมอย่างเต็มอิ่มแล้วผมจึงเดินกลับ Hostel และแวะซื้อแว่นให้ตัวเองซักอัน "Rayban" ซื้อมาในราคา 95 ยูโร ซึ่งประมาณ 3,400 บาทไทยในขณะนั้น


Piazza Campidoglio





Monument Emmanuel





ถ่ายเสามาฝากครับ เห็นมันสวยดี แฮ่ๆ



โรมันฟอรั่มที่อยู่ติดกันครับ มีรั้วล้อมรอบ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่