สะพานตากสิน

สวัสดีค่ะ มาต่อแล้วค่ะ

ช่วยอ่านตรงนี้นิดนึงนะคะ
-นี่เป็นนิยายค่ะ อ่านตอนแรกๆก่อนจะได้รู้เรื่องนะคะ
      ตอนที่หนึ่ง http://pantip.com/topic/33756193
      ตอนที่สอง http://pantip.com/topic/33758240
      ตอนที่สาม http://pantip.com/topic/33764421

-มีหลายตอนแน่นอนค่ะ ยังไม่จบง่ายๆ แต่จะแบ่งเป็นบทๆ กระทู้นี้คือตอนจบของบทที่1ค่ะ

-คนเขียนกำลังจะขึ้นม.5ในอีกไม่ถึงสามเดือนแล้วค่ะ ต้องเตรียมตัวสอบ
ตอนนี้จบบทแรกแล้ว อาจจะนานหน่อยกว่าบทสองจะคลอดนะคะ แต่ยังไงจะแต่งต่อแน่นอนค่ะ

-ต่อจากนี้เรื่องจะหักมุมไปอีกหลายทีค่ะ ถ้าใครไม่ชอบเรื่องที่หักมุมก็ขอเตือนไว้ก่อนเนอะ -_-;

ยังไงก็ขอขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านและให้การสนับสนุนนะคะ
ช่วยติชมต่อไปด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
หัวใจ

∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵

     “พ่อๆ! น้องตื่นแล้ว!”

     นั่นมันเสียงพี่เมย์นี่นา

     “เรียกพยาบาลมา เรียกพยาบาลมาเร็ว”

     นั่นก็เสียงพ่อ.. ทุกคนกำลังทำอะไรกันอยู่นะ
     ตะโกนอะไรฟังไม่รู้เรื่องเลย

     เสียงของพี่เมย์กับพ่อดังสลับกันไปมา แต่เสียงของพวกเค้าก้องดังจนหูของผมไม่สามารถจับใจความของบทสนทนาได้
     ผมพยายามลืมตาขึ้น ทั้งที่เปลือกตาของผมมันหนักอย่างผิดปกติ ผมพยายามมองไปรอบๆตัว แต่มันช่างยากที่จะบอกเหลือเกินว่าอะไรคืออะไร เพราะตาของผมไม่สามารถโฟกัสอะไรได้เลย อีกทั้งไฟจากหน้าต่างทางด้านขวาของผมมันช่างสว่างจ้าเหลือเกิน
     ผมพยายามเพ่งมองสิ่งรอบตัวสักพัก ก่อนจะรู้สึกตัวได้ว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในสถานที่ที่คล้ายกับโรงพยาบาล
     นี่ผมเป็นอะไรอย่างนั้นหรอ?
     ผมพยายามนึกย้อนกลับไป แต่ในหัวของผมมันกลับว่างเปล่า ผมมาทำอะไรที่นี่นะ ผมหลับไปนานรึเปล่า แล้วนี่ผมกำลังทำอะไรอยู่น่ะ?
     ในขณะที่ผมกำลังสับสนกับสถานการณ์รอบๆตัว ผมก็พึ่งจะสังเกตุเห็นร่างร่างหนึ่งยืนอยู่ทางด้านขวาของผม

     “ชู่ว อย่าบอกพวกเขาเรื่องเรานะ”

     ร่างนั้นพูด เสียงนั้นฟังดูคุ้นหู แต่ผมก็นึกไม่ออกว่าเป็นเสียงของใคร ผมจึงพยายามเพ่งมองหน้าเจ้าของเสียงนั่น แต่หน้าต่างด้านหลังมันสว่างเกินไป กลายเป็นว่าผมกำลังมองย้อนแสงอยู่ทำให้ผมไม่สามารถบอกได้ว่านั่นคือใครกันแน่ที่ยืนอยู่ข้างผมในตอนนี้
     “อย่าพึ่งรีบลุกนะคะ” ใครบางคนที่แต่งตัวเหมือนพยาบาลเดินเข้ามา “รู้สึกผิดปกติตรงไหนบ้างมั้ยคะ” พยาบาลสาวถาม
     “เอ่อ.. ไม่.. ไม่ครับ” ผมพยายามเปล่งเสียงพูด รู้สึกเหมือนคอแห้งมากกว่าที่คิด “นี่..นี่โรงพยาบาลหรอ” ผมหันหน้าไปถามพี่เมย์ที่ยืนอยู่ข้างๆพยาบาลทั้งๆที่อยู่ในท่านอน
     “เออ! คิดอะไรอยู่ถึงทำไปแบบนั้น! ถ้าไม่มีคนช่วยขึ้นมาป่านนี้ก็ตายไปแล้วรู้มั้ย!” พี่เมย์ตวาดผม เสียงของเธอดังจนผมหูผมรู้สึกอื้อไปหมด
     ผมพยายามเพ่งมองหน้าของพี่เมย์อีกครั้ง และผมก็พบว่าตาของเธอแดงก่ำเหมือนกำลังจะร้องไห้
     “เมย์ ใจเย็นๆลูก” ผมเห็นพ่อเดินเข้ามา “ปลอดภัยก็ดีแล้ว เจ็บหัวมั้ยลูก” พ่อผมถามด้วยเสียงเรียบๆ แต่ผมก็รู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงของพ่อ
     “หัว?” ผมพยายามยกมือของตัวเองขึ้นมาจับหัวอย่างทุลักทุเล เพราะดูเหมือนจะมีสายอะไรบางอย่างเจาะอยู่ที่มือของผม แล้วผมก็สัมผัสได้ถึงผ้าสากๆที่แปะอยู่บนขมับข้างซ้าย “..พ่อ ผมเป็นอะไร..?” ผมพยายามเค้นเสียงออกมาจากคอ รวมถึงพยายามนึกย้อนกลับไปว่าผมทำอะไรลงไป
     ผมพยายามจะยันตัวลุกขึ้นจากเตียง แล้วทันใดนั้นความรู้สึกเจ็บแปล๊บก็แล่นขึ้นมาจากท้องของผม วินาทีนั้นผมรู้ทันทีเลยว่าต้องมีอะไรผิดปกติกับท้องของผมอย่างแน่นอน
     ผมเปิดเสื้อสีฟ้าพิมพ์ตราโรงพยาบาลที่ตัวเองกำลังใส่อยู่ขึ้นมา
     ผ้าผันแผลหนาๆพันอยู่รอบตัวผม
     นี่ผมโดนอะไรมากันแน่นะ?
     แล้วอยู่ดีๆผมก็นึกหันไปมองร่างปริศนาที่ยืนอยู่ทางด้านขวา
     “พ่อ พี่เมย์” ผมหันไปหาทั้งสองคน “คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นหายไปไหน”
     ไร้เสียงตอบรับจากทั้งสองคน พ่อกับพี่เมย์มองหน้ากัน แล้วพี่เมย์ก็มองตาผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล
     “ไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้นสักหน่อย” พี่เมย์พูด เสียงเบาราวกับกระซิบ “อย่าบอกนะ ว่านายเห็นไอ้นั่นอีกแล้วน่ะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
    


.
.
.


ย้อนกลับไปเมื่ออาทิตย์ก่อน
คืนวันพุธ เวลา 23.44 น.

     “อา อืมๆ ได้ๆ.. อืมแค่นี้ก่อนนะ เออ แล้วเจอกัน” ผมกดวางสายแล้วยัดโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกง
     ผมบอกอิ้มไปว่าผมหนีออกจากบ้าน และไม่แน่คืนนี้ หรือไม่ก็เช้าวันพรุ่งนี้ ผมอาจจะไปค้างที่คอนโดฯของอิ้ม
     ใช่แล้ว.. ในที่สุดผมก็ตัดสินออกมายังสถานที่ที่’จดหมายปริศนา’นั้นสั่งโดยไม่ลังเลเลยสักนิด
     สะพานตากสิน
     ผมยืนมองแม่น้ำเจ้าพระยาและวิวรอบๆ คืนนี้กรุงเทพฯก็ยังคงสว่างไสวเช่นเคย ตึกสูงรอบแม่น้ำเจ้าพระยาเปิดไฟสีสันสดใส ส่วนถนนรอบๆก็ยังคงมีแสงไฟจากรถอยู่บ้าง เมืองนี้สว่างเกินไปจนไม่สามารถมองเห็นดาวได้สักดวง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังพอมองเห็นพระจันทร์ได้บ้างเป็นบางวันที่ฟ้าไม่มีเมฆมากนัก
     ตอนนี้บรรยากาศรอบตัวของผมนั้นเย็นสบาย แต่ความรู้สึกของผมกลับเป็นความรู้สึกกังวลและตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
     ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงอีกครั้ง เวลาดูเหมือนจะเดินช้าลง ผมเปิดดูแชทที่คุยไว้กับน้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ภาวนาให้’ใครสักคน'โผล่ออกมา แล้วทำให้ปริศนาทั้งหมดคลี่คลายลงสักที
     ผมไม่สามารถอยู่เฉยๆได้ ขาของผมเดินไปมาวนเป็นวงกลม ใจของผมเต้นแรงจนผมรู้สึกปั่นป่วน และประสาททั้งหมดของผมก็ดูเหมือนจะไวกับสิ่งรอบข้างเหลือเกิน ทุกครั้งที่มีรถแล่นผ่านมา ผมก็อดไม่ได้ที่จะสะดุ้งและหันไปมองแสงไฟสีแดงจากท้ายรถเหล่านั้น คิดในใจว่าน้ำอาจจะโผล่มาตอนไหนก็ได้ อาจจะเดินมา หรือว่านั่งรถมา แต่ในใจก็ยังคงคิดว่าอาจจะไม่มีใครโผล่มาเลยก็ได้
     ผมกดดูเวลาจากโทรศัพท์อีกครั้ง คราวนี้มือของผมเริ่มลื่นไปด้วยเหงื่อ ผมคิดอยากให้ถึงเที่ยงคืนสักที แต่เวลานั้นผ่านไปเพียงไม่ถึงสองนาทีจากที่กดดูครั้งล่าสุด
     “..จะมาจริงๆมั้ยนะ” ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ
     รู้สึกเสียใจ ผิดหวัง ท้อแท้ แต่ก็ตื่นเต้น และดีใจในเวลาเดียวกัน
     ผมพยายามบอกตัวเองให้คิดเรื่องอื่นๆ เผื่อว่าจะฆ่าเวลาไปได้ไม่มากก็น้อย
     ว่าแล้วผมก็นึกถึงหนังสือเก่าเล่มนั้นขึ้นมา คืนก่อนผมอ่านหนังสือเล่มนั้นจนจบ มันเป็นหนังสือที่แปลกแต่ก็ลึกลับและน่าค้นหา
     ลึกลับและน่าค้นหาในความรู้สึกเดียวกับน้ำเลยล่ะ
     และเหตุผลที่หนังสือเล่มนั้นให้ความรู้สึกเหมือนน้ำก็เพราะ บุคคลิกของน้ำนั้นช่างเหมือนกับคนเขียนหนังสือเล่มนั้นทั้งสามคนเหลือเกิน คนแรก มิณมณี มิณมณีเป็นคนที่ดูเศร้าสร้อยเหมือนกับน้ำในวัน คิดๆดูแล้วก็น่าแปลกที่คนร่าเริงอย่างน้ำมักจะเศร้าขึ้นมาโดยที่ไม่ยอมสาเหตุอยู่บ่อยๆ และอีกอย่างสำนวนการเขียนของมิณมณีนั้นก็ดูเหงา ราวกับว่ากำลังรอใครบางคนอยู่เสมอๆ เหมือนกับน้ำ ที่มักจะบอกผมว่ารู้สึกเหงา
     โลกใบนี้มันกว้างเกินไปที่จะอยู่คนเดียว ประโยคนั้นที่น้ำเคยพิมพ์มายังติดตาของผมอยู่จนถึงตอนนี้
     คนเขียนคนต่อมาคือสีขาว คนที่ทำให้หนังสือเล่มนั้นดูลึกลับ โดยส่วนบันทึกของสีขาวนั้นจะถูกตัดคำบางคำออกไปจนหน้ากระดาษกลายเป็นรูสี่เหลี่ยมหลายรูอยู่เสมอๆ ผมคิดว่าคนที่ทำแบบนั้นอาจจะกำลังพยายามปกปิดคำบางคำซึ่งเป็นสถานที่หรือสิ่งของก็เป็นได้ การที่คำบางคำหายไปจากหนังสือนั้น มันทำให้สีขาวดูลึกลับเหมือนน้ำ ที่บางทีก็เปิดเผย แต่บางทีกลับไม่ยอมบอกเรื่องเล็กๆ อย่างเช่นวันเกิด หรือราศี
     และคนสุดท้ายที่เขียนหนังสือเล่มนั้นคือนภา บันทึกของนภาอ่านดูแล้วคล้ายกับนิยาย บางทีนภาก็เฟ้อฝันถึงบางสิ่งบางอย่าง หรือบางทีก็สถานที่ที่ไหนสักแห่ง แต่น่าเสียดายที่ผมไม่สามารถรู้ได้ว่าคืออะไรหรือที่ไหน เพราะบันทึกของนภาก็เหมือนกับบันทึกของสีขาวที่ถูกเจาะออกไปเป็นรู นั่นยิ่งทำให้หนังสือเล่มนั้นให้อารมณ์น่าค้นหา เหมือนกับน้ำไม่มีผิด
     พอผมเริ่มค่อยๆเรียบเรียงเหตุการณ์และความทรงจำที่ผมมีร่วมกับน้ำในหัว ใจของผมก็สงบลง จู่ๆความรู้สึกกังวลก็หายไปโดยสิ้นเชิง เหลือไว้เพียงความคิดถึงที่ผมมีให้น้ำมาตลอด
     ผมใช้แขนท้าวราวสะพานไว้ แล้วมองออกไปยังแม่น้ำที่มืดมิดมองดูเหมือนไร้ซึ่งจุดสิ้นสุด แล้วผมก็ต้องสะดุ้ง เมื่อมีมือของใครบางคนแตะลงบนไหล่ของผม
     “!!”
     ผมหันหลังกลับไปมองด้วยความตกใจ
     เจ้าของมือที่แตะอยู่บนไหล่ของผมเมื่อครู่คือร่างเล็กๆของคนคนนึงที่ยืนอยู่ข้างหลังผม
     แล้วลมเย็นๆก้พัดมาอีกครั้ง คราวนี้แรงกว่าครั้งอื่นๆ แรงจนความนึกคิดของผมถูกพัดออกไปไกลเกินกว่าที่ผมจะเรียกมันกลับคืนมาได้

     “..น้ำ..?”
     
     ผมเอ่ยขึ้นเบาๆ

     “ใช่” ร่างเล็กตรงหน้าตอบกลับด้วยสีหน้าเป็นกังวล
     
     ตาของ'น้ำ'จ้องมองมาที่ตาของผม และผมก็จ้องกลับ ราวกับว่ากำลังตกอยู่ในภวังค์ของมนตร์สะกดอะไรบางอย่าง
     เราสองคนยืนอยู่เงียบๆสักพัก จนกระทั่งอีกฝ่ายทำลายความเงียบนั้นลง

     “ถึงตรงนี้ ถ้าตามมาล่ะก็ จะไม่สามารถย้อนกลับไปได้แล้วนะ” น้ำพูดด้วยท่าทีจริงจัง

     ประโยคนั้นมันหมายความว่าอะไรกันนะ?
     
     ทันใดนั้นร่างเล็กที่ยืนอยู่ตรงหน้าของผมก็กระโดดข้ามราวสะพานออกไป

     เท้าของผมก้าวออกไปโดยที่สมองยังไม่ทันสั่งการ

.
.
.

     ผมกระโดดตามร่างเล็กนั้นลงไป
     ...สู่แม่น้ำอันมืดมิด...


∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵∴∵    








มีหลายตอนแน่นอนค่ะ ยังไม่จบง่ายๆ แต่จะแบ่งเป็นบทๆ กระทู้นี้คือตอนจบของบทที่1ค่ะ
อีกน่าจะนานกว่าบทสองจะคลอด ถ้ารอนานหรือสั้นเกินไปก็ขอโทษด้วยนะคะ ช่วงนี้ต้องเตรียมสอบค่ะ


แก้ไข ลืมบอกไปว่าไม่ได้ยืนยันสสมาชิกเลยต้องตั้งเป็นกระทู้คำถามขอโทษด้วยนะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  แต่งนิยาย ความรักวัยรุ่น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่