ว่างๆ มาแต่งนิยายต่อ ไม่รู้จะไปได้สักกี่น้ำ ขอตั้งแบบห้วนๆ ว่า "กรมธรรม์สังหาร" ตอนที่ 2 แล้วเน้อ

ตอนที่ ๒ — พินัยกรรมในเงาฝน

ฝนหายไปเพียงชั่วคืนเดียว แต่ท้องฟ้าเหนือกรุงเทพฯ ก็ยังคล้ำหม่นดังม่านดำที่ปกคลุมเมืองหลวงแห่งนี้

เช้าวันรุ่งขึ้น แสงแดดอ่อน ๆ สาดส่องลอดผ่านผ้าม่านห้องเช่าชั้นสองในตรอกสามเสน
ละอองฝุ่นลอยเคล้าในลำแสงนั้นเหมือนหมู่วิญญาณดวงเล็ก ๆ ที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศ

คมกริชนั่งอยู่ริมหน้าต่าง สูบบุหรี่ราคาถูกที่มีกลิ่นฉุนจนแสบจมูก
บนโต๊ะไม้ข้างตัว มีจดหมายฉบับเดิมวางอยู่ — ขอบกระดาษเริ่มงอจากไอชื้น

เขาเพ่งมองตัวอักษรตัวเดียวที่ถูกลงชื่อไว้ว่า “ร.” อีกครั้ง
แต่ยิ่งจ้องนานเท่าไร เขายิ่งรู้สึกว่าหมึกตัวนั้น... เหมือนกำลังแผ่เงาดำออกมาปกคุลมหัวใจเขา

ขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้นล้างหน้า ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นสามครั้ง — ช้าๆ แต่หนักแน่น
เขาเปิดประตูออก พบหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ใต้เงาแดดยามเช้าที่ฝ่าทะลุไอฝนมา
เธอสวมเสื้อผ้าที่ดูเรียบแต่หรู เสื้อผ้าสีหม่น ผมยาวม้วนเป็นลอน
ใบหน้าสวยเย็นยะเยียบ มีแววโศกเศร้าแฝงอยู่ในดวงตาคู่นั้น แต่ไม่ได้ทำให้ความงามของเธอดูลดลงไปเลย

“คุณคือคุณคมกริชใช่ไหมคะ” เสียงของเธอแม้แผ่วเบาแต่ชัดเจน
“ดิฉันชื่อรัชนี... มาจากบริษัทเมืองสยามประกันชีวิต”



หญิงสาววางแฟ้มหนาเล่มหนึ่ง ลงบนโต๊ะ

“บริษัทได้รับแจ้งว่าคุณมีชื่ออยู่ในกรมธรรม์ของคุณปรีชา ศรีอัครา ในฐานะผู้รับผลประโยชน์ร่วม ดิฉันได้รับมอบหมายให้มาติดต่อแจ้งสิทธิ์ตามระเบียบค่ะ”
คมกริชยกคิ้วข้างหนึ่ง “แล้วทำไมคุณต้องมาด้วยตัวเองครับ?”

“เพราะมี... ความไม่ชอบมาพากลบางอย่างในพินัยกรรมของผู้เสียชีวิตค่ะ”

เธอพูดพลางเปิดแฟ้ม แสดงสำเนาพินัยกรรมฉบับหนึ่งซึ่งลงวันที่เพียงสองสัปดาห์ก่อนวันเสียชีวิต

กระดาษเก่ากรอบ มีลายเซ็นของนายปรีชาชัดเจน
แต่คมกริชกลับสะดุดตาที่ลายเซ็นอีกชุดหนึ่ง — ลายเซ็นของพยานสองคน
คนแรกชื่อ “จิตรา ศรีอัครา” ภรรยาหลวงของนายปรีชา
อีกคนเป็นชื่อ “ศักดา ศรีอัครา” ลูกชายคนโต

ส่วนท้ายของเอกสารมีประโยคพิเศษเพิ่มด้วยลายมือที่ดูใหม่กว่าของเดิม

“หากข้าพเจ้าถึงแก่กรรมอย่างไม่ปกติ ขอให้บุคคลผู้ถือชื่อ ค.ร. ได้รับสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วนตัวทั้งหมด”
รัชนีชี้ให้ดู “เห็นไหมคะ ตัวอักษรย่อ ค.ร. — ไม่มีใครรู้ว่าเป็นใคร แต่เมื่อเทียบตัวสะกดกับชื่อคุณ... มันสอดคล้องกันอย่างน่าประหลาด”
 
คมกริชเงียบไปครู่ใหญ่

เสียงลมพัดผ้าม่านกระเพื่อมเบา ๆ คล้ายมือใครมากระตุกให้ม่านขยับ

“คุณรัชนี...” เขาพูดเสียงต่ำ “คุณรู้ไหมว่าคืนก่อน มีใครบางคนใช้ชื่อคุณโทรหาผม”
หญิงสาวชะงัก “ว่าอย่างไรนะคะ?”

“เป็นเสียงผู้หญิง... บอกให้ผมไปเจอที่โกดังท้ายซอยเจริญกรุง แต่ผมยังไม่ได้ไป”

แววตาของรัชนีเปล่งประกายด้วยความสงสัย “นั่นไม่ใช่ฉันแน่นอนค่ะ — ฉันเพิ่งกลับจากเชียงใหม่เมื่อคืน”

ทั้งคู่มองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง
รัชนีเอ่ยเบา ๆ “ดูเหมือนคุณจะถูกใครบางคนจับตาดูอยู่นะคะคุณคมกริช... มีใครที่รู้ว่าเรื่องที่คุณมีชื่ออยู่ในกรมธรรม์นี้อีกไหมคะ?”
“ไม่มีเลย — นอกจาก ผู้กองสมพร”

รัชนีหันไปมองนอกหน้าต่างที่ฝนเริ่มลงเม็ดอีกครั้ง
“งั้นดิฉันอยากให้คุณเก็บเอกสารนี้ไว้เงียบ ๆ ก่อน อย่าให้ใครเห็น จนกว่าทางบริษัทจะตรวจสอบต้นฉบับตัวจริงได้”



เย็นวันเดียวกัน

คมกริชขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่าฝ่าสายฝนไปยังบ้านไม้หลังใหญ่ย่านถนนดินแดง
ป้ายหน้าบ้านเขียนว่า “ศรีอัครา” ตัวอักษรสีทองจางๆ แม้จะดูเก่า แต่ก็ยังดูมีราคา

เขาได้รับโทรศัพท์จากผู้กองสมพร —
แจ้งว่าคืนนี้จะมีการนัดอ่านพินัยกรรมของนายปรีชาที่บ้านหลังนี้

เมื่อเขาเดินเข้าไปในบ้าน ก็มีเสียงเปียโนคลอเพลงเก่าเบา ๆ ดังมาจากในห้องรับแขก

ภรรยาหลวง “นางจิตรา” นั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย มือถือพัดใบตาล
ใบหน้าเรียบแต่แฝงความเย่อหยิ่ง เธอมองคมกริชอย่างเพ่งพินิจ เขาเหมือนใครบางคนที่เธอเคยรู้จัก

ลูกชายคนโต “ศักดา” ยืนพิงเสาอยู่ข้างหลัง
สายตาแฝงด้วยแววร้อนรน เหมือนคนที่รู้ว่ากำลังจะต้องสูญเสียทุกอย่างที่เขาควรได้รับ

ในห้องยังมีชายอีกคนหนึ่ง — แต่งสูทสีน้ำเงินเข้ม ใบหน้าหมองคล้ำ
ทนายความของครอบครัวชื่อ “วิสูตร”



เสียงนาฬิกาโบราณบนผนังดังขึ้น แสดงเวลา 18 นาฬิกาตรง

ทนายวิสูตรเปิดแฟ้มพินัยกรรม และเริ่มอ่านด้วยเสียงเรียบแต่ดัง ฟังชัด
“ข้าพเจ้านายปรีชา ศรีอัครา มีความประสงค์ให้ทรัพย์สินส่วนใหญ่ตกเป็นของภรรยาและบุตรชาย
ส่วนทรัพย์สินส่วนตัวที่อยู่นอกระบบบริษัท ขอให้แบ่งให้แก่บุคคลผู้ถือชื่อย่อ ค.ร.”

เสียงห้องเงียบกริบ
จิตราวางพัดลงบนตัก ช้า ๆ
“ใครคือ ค.ร.?” เธอถามด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น แสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

วิสูตรหลุบตาลง
“ไม่มีระบุชื่อเต็มครับ... แต่มีสำเนาอีกฉบับแนบอยู่ในซองพิเศษ ซึ่งคุณปรีชากำชับไว้ ว่าให้เปิดต่อหน้าทุกคน”

เขาหยิบซองสีน้ำตาลขึ้นมา — ผนึกแน่นด้วยตราประทับเทียนขี้ผึ้ง
คมกริชมองที่ตรานั้น — เป็นตราสัญลักษณ์รูปดวงตาในวงกลม



เมื่อเทียนขี้ผึ้งถูกดึงให้แตกออก เสียงฝนข้างนอกก็เหมือนกระหน่ำแรงขึ้นอีก

ในซองมีเพียงกระดาษหนึ่งแผ่น กับภาพถ่ายสีจาง ๆ
ภาพนั้นเป็นภาพหญิงสาวอุ้มทารกน้อยไว้ในอ้อมแขน — ยืนอยู่หน้าบ้านไม้เก่าๆ

วิสูตรอ่านข้อความบนกระดาษเสียงสั่น
“เด็กในภาพนี้คือเลือดเนื้อของผม ขอให้เขาได้รับสิทธิ์เท่าบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย
ชื่อเดิมของเขาคือ คมกริช รัตนวัฒน์”

เสียงพัดลมเพดานเงียบลงทันที เหมือนเวลาในห้องหยุดนิ่ง ทุกสายตาจับจ้องไปที่คมกริช ราวกับจะทิ่มแทงเขาให้หมดลมหายใจไปในทันที

จิตราหันไปหาวิสูตร และพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน
“แปลว่า... ไอ้เด็กนี่คือ...?”

ศักดากำหมัดแน่น ทุบกำปั้นใส่กำแพง เสียงดังเหมือนเสียงค้อนทุบผนัง
“เขาไม่ใช่คนในตระกูลเรา! พ่อไม่มีวันทำอย่างนี้!”

คมกริช ยืนนิ่งเหมือนถูกตรึงไว้กับพื้นไม้
เขาไม่พูด ไม่ตอบ สายตาเขามองไปที่ภาพถ่ายในมือของวิสูตร —
ภาพของหญิงสาวในรูป ที่ยืนยิ้มอย่างมีความสุข... ใบหน้านั้นเป็นใบหน้าของแม่เขา



เสียงฟ้าผ่าดังเหมือนระเบิดลงที่กลางบ้าน
ไฟในห้องดับทันทีเมื่อสิ้นเสียงฟ้าผ่า เหลือเพียงแสงฟ้าผ่าที่พุ่งผ่านหน้าต่างเข้ามา

ในเงาแสงนั้น คมกริชเห็นบางอย่างสะท้อนวาบจากในมือของศักดา
แสงสะท้อนจากคมมีดของมีดพก... ฉายขึ้นแวบเดียวก่อนรัชนีที่ยืนอยู่มุมห้องจะก้าวมาขวางไว้

เสียงหวีดของผู้หญิงดังขึ้น
เสียงมีดหล่นกระทบพื้น

เมื่อไฟกลับมาสว่างอีกครั้ง ศักดาหายตัวไป —
หน้าต่างเปิดแง้ม ลมฝนพัดม่านปลิว เปลวฝนซัดซาดเข้ามาในห้อง

บนพื้นมีเพียงคราบเลือดหยดหนึ่ง กับละอองน้ำจากสายฝน... และพินัยกรรมที่เปียกชื้น

สมพรซึ่งมาถึงหลังเหตุการณ์นี้เพียงไม่กี่นาที มองเอกสารพินัยกรรมด้วยความฉงน
ก่อนจะพูดเพียงเบา ๆ ว่า
“ฝนตกทีไร เมืองนี้มักจะเกิดเรื่องอันตรายแบบนี้ขึ้นทุกที”



รัชนีเงยหน้าขึ้นมองคมกริช
“คืนนี้อย่ากลับห้องนะคะ ฉันจะพาคุณไปที่แห่งหนึ่ง”
“ที่ไหน?”
“ที่เก็บเอกสารกรมธรรม์ฉบับจริง...”
เธอพูดเสียงเบา “และที่ซ่อนคำสารภาพสุดท้ายของนายปรีชา”



แสงฟ้าผ่าคราวนั้น ทำให้เงาของทุกคนยาวเหยียดบนพื้นไม้
และไม่มีใครรู้เลยว่า ในเงานั้น... ยังมีใครอีกคนกำลังซ่อนมีดอีกเล่มหนึ่งไว้ในมือ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่