หากจะบอกว่านี่คือนรกก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะไม่ว่าจะมองไปยังทิศทางใด สิ่งเดียวที่เห็นคงมีเพียงภาพแห่งความสิ้นหวังสุดเวทนาเท่านั้น ทั่วทั้งอาณาบริเวณโดยรอบแห่งนี้ กำลังถูกเพลิงสีดำสนิทชนิดที่ว่าแทบจะกลมกลืนกับความมืด เผาไหม้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้สัมผัส ไม่ว่าจะเป็นเศษหินดินทรายหรือกระทั่งซากศพมนุษย์ที่ม้วยมรณาอยู่บนพื้นดิน เหลือเพียงแต่เศษเถ้าธุลีในเวลาชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น
และดูๆ ไปแล้ว มันแทบไม่มีทีท่าว่าจะดับลงง่ายๆ เสียด้วย ทุกสรรพสิ่งล้วนถูกทำลายลงอย่างช้าๆ ในความมืดมิดแห่งราตรี
ทว่า ท่ามกลางเปลวเพลิงอันสิ้นหวังเช่นนี้ กลับยังมีเสียงลมหายใจและชีพจรของมนุษย์ พอเป็นความหวังหลงเหลืออยู่บ้าง ด้วยการที่มันเป็นเปลวเพลิงสีดำจนสามารถกลมกลืนกับท้องฟ้ายามราตรีในขณะนี้ได้อย่างแนบเนียน ทำให้มีเพียงแสงดวงเดือนบนฟากฟ้าเท่านั้น ที่คอยส่องแสงเพียงเล็กน้อย สะท้อนให้เห็นเงาของชายหนุ่มทั้งสอง ผู้ซึ่งกำลังยืนเผชิญหน้ากันอยู่ท่ามกลางเพลิงอันโชติช่วงแห่งนี้
“แล้ว... คำว่าเพื่อน? คำว่ามิตรภาพที่พูดนักพูดหนาน่ะ มันเป็นอย่างงี้เหรอวะ!?”
“ยังไงซะชะตากรรมของเรามันก็ต้องสู้กันอยู่แล้วนี่หว่า” อีกฝ่ายเอ่ย “แล้วที่สำคัญ ใครกันที่เป็นเพื่อน?”
“อัน...”
“...”
“พอทีเถอะ!!!”
“หุบปาก!!!”
ชายผู้มีนามว่าอัน ไม่สามารถอดทนกับคำพูดของอีกฝ่ายได้อีกต่อไป จู่ๆ เขาก็ยื่นมือขวาออกไปข้างหน้า ลายเส้นคล้ายลายไทยจะปรากฏเต็มทั่วแขนข้างนั้น พร้อมเปล่งประกายแสงสีม่วงจนเห็นชัดเจนในยามวิกาลเช่นนี้ ไร้ซึ่งสาเหตุอันใดมารองรับทั้งสิ้นถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้
และด้วยอำนาจอะไรบางอย่างในมือข้างนั้น มันก็ได้นำพาแผ่นเหล็กสีดำด้านรูปสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ยักษ์ถึง ๒ แผ่น เป็นดั่งใบมีดโกนอันแหลมคมที่พร้อมจะเชือดเฉือนทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า รอบๆ แผ่นเหล็กนั้นเปล่งแสงสีม่วงส่องสว่างเหมือนกับที่แขนของเขาไม่มีผิด
มันบินร่อนฉวัดเฉวียนไปมากลางอากาศ หมุนควงรอบทิศดั่งใบพัดด้วยความเร็วสูงประหนึ่งติดมอเตอร์ พุ่งทะลวงออกมาผ่านเปลวเพลิงข้างหลังของชายอีกคนหนึ่งภายในไม่กี่อึดใจ และก่อนที่เขาจะไหวตัวทัน ก็ช้าไปเสียแล้ว
“ฉัวะะะะะะะะ”
แผ่นเหล็กทั้งสองซึ่งตอนนี้กำลังถูกเพลิงสีดำลุกไหม้อีกทอดหนึ่ง ได้พุ่งเฉือนเข้าใส่ที่กลางแผ่นหลังของเขาอย่างรุนแรงถึงที่สุด
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
สายเลือดสีแดงฉานพุ่งออกมาจากบาดแผลทั้งสองจุดกลางหลังดั่งน้ำพุ มันคงจะเฉือนเข้าไปที่เส้นเลือดใหญ่บริเวณแผ่นสันหลังจนฉีกขาดเป็นแน่ และแน่นอน ว่ามันสามารถสร้างความเจ็บปวดแสนทรมานได้เป็นอย่างดีทีเดียว
เขาไม่สามารถฝืนได้อีกต่อไป ถึงกับต้องล้มคุกเข่าลงไปกับพื้นด้วยความทรมานชนิดที่ว่าไม่สามารถหาอะไรมาเทียบเคียงได้เลยแม้แต่น้อย ขณะเดียวกัน แผ่นเหล็กที่ตอนนี้ชุ่มไปด้วยโลหิตสีแดงทั้ง ก็ได้ลอยขึ้นเหนือหัวของอันโดยไม่ทำอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น ประหนึ่งว่าเขาสามารถควบคุมมันได้ยังไงยังงั้น
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก” ชายคนนั้นยังคงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนที่สุด ใช้แขนขวาค้ำร่างเอาไว้ก่อนจะร่วงสู่พื้นอย่างเต็มกลืน
“เจ็บเหรอ” อันค่อยๆ เดินมาหาเขาพร้อมแผ่นเหล็กทั้งสองที่ลอยตามมาดั่งสารถี“กัน”
“อัน...” ชายที่ชื่อกันค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา “นี่ต้องสู้กัน...”
“ถ้าเป็นเพื่อนกูจริงก็น่าจะรู้นี่นะว่ากูเป็นคนยังไง” อันจับคอเสื้อของกันเอาไว้ ยกตัวเพื่อนคนนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ส่วนแผ่นเหล็กก็ได้ลอยไปจ่อที่คอของอีกฝ่ายแล้ว “ทีนี้ก็...”
“แต่ในฐานะเพื่อน” ทว่า ลายเส้นแบบเดียวกับอัน ก็ได้ปรากฏขึ้นมารอบปากของกันพร้อมเปล่งแสงสว่างสีเขียวเสียแล้ว “กูรู้ว่าไม่ใช่คนอย่างงี้”
“ว๊ากกกกกกกกกกกกกกก!!!”
เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้พลันหายไปในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น เป็นเหมือนดั่งฝันที่คนๆ หนึ่งมักนึกคิดยามหลับใหล ก่อนจะสลายหายไปในทันทีเมื่อลืมตาตื่น
เป็นเช่นนั้นจริงๆ ณ ห้องสี่เหลี่ยมสีขาวดูซอมซ่อแห่งหนึ่ง ชายคนหนึ่งพึ่งจะลืมตาตื่นจากภวังค์ ด้วยอาการตกใจจนถึงกับต้องสะดุ้งขึ้นมาทั้งตัวบนเตียงไม้สีขาวขนาดเล็กนี้
เขาหอบหายใจอยู่ซักระยะ ค่อยๆ ใช้มือขวาป้ายไปบนหน้าผาก และพบว่ามือข้างนั้นติดน้ำเหงื่อชุ่มฉ่ำทีเดียว ทว่า นอกจากเหงื่อแล้ว หลังมือนี้ยังถูกปกคลุมไปด้วยขนสีขาวอีกด้วยคล้ายสัตว์ป่าด้วย
“เมื่อไรจะลืมลงวะเนี่ย..."
หลังจากนั่งครุ่นคิดกับตัวเองอยู่ซักพัก เขาค่อยๆ หย่อนเท้าทั้งสองข้างลงมายืนบนพื้นห้อง เดินไปยังหน้าต่างแคบๆ ข้างหน้า แล้วจึงใช้มือซ้ายรูดม่านสีขาวออกไป เปิดให้แสงอรุณยามเช้าลอดผ่านกระจกบานนั้นออกมา เพื่อรับแสงสว่างในรุ่งอรุณของวันนี้
“ช่าง

เหอะ”
ทว่า แผ่นหลังของชายคนนี้ช่างดูแปลกประหลาดยิ่งนัก ทั่วร่างปกคลุมด้วยขนหนาสีขาว ยกเว้นบริเวณมือกับเท้าดั่งลิงตัวหนึ่ง ในขณะที่บริเวณสะโพกของเขา ก็ยังมีหางยาวๆ ยื่นออกมาอีกด้วย ยิ่งตอกย้ำอย่างชัดเจนเลยว่าชายคนนี้ไม่น่าใช่มนุษย์แน่นอน แต่มองอีกมุมหนึ่ง ด้วยสติปัญญาและคำพูดเช่นนี้ก็คงมิใช่สัตว์ป่า แล้วเขาเป็นอะไรกันแน่?
แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม บริเวณกลางแผ่นหลังของเขา กลับมีรอยแผลฉกรรจ์ขนาดใหญ่รูปกากบาทปรากฏอยู่อย่างน่าหวาดกลัว พอจะบอกได้ว่า เขาคนนี้แหละเป็นคนเดียวกับในฝันเมื่อครู่นี้ และดูจากสายตาคู่นี้ ชายหนุ่มคนนี้คงจะพยายามละทิ้งความฝันนั้นไว้ข้างหลัง พร้อมเลือกที่จะมองออกไปยังแสงตะวันข้างหน้า อันเป็นปัจจุบันในตอนนี้นั่นเอง
“สุวัฒนาเหรอ...รอก่อนเถอะ”
วัยรุ่นหิมพานต์
บทที่ ๑ ปฐมบทตำนานหิมพานต์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ยังไม่จบนะจ๊ะ เดี๋ยวค่อยมาต่อพรุ่งนี้กัน 
ด้วยรัก คนอ่าน
วัยรุ่นหิมพานต์ บทที่ ๑ สุวัฒนา
และดูๆ ไปแล้ว มันแทบไม่มีทีท่าว่าจะดับลงง่ายๆ เสียด้วย ทุกสรรพสิ่งล้วนถูกทำลายลงอย่างช้าๆ ในความมืดมิดแห่งราตรี
ทว่า ท่ามกลางเปลวเพลิงอันสิ้นหวังเช่นนี้ กลับยังมีเสียงลมหายใจและชีพจรของมนุษย์ พอเป็นความหวังหลงเหลืออยู่บ้าง ด้วยการที่มันเป็นเปลวเพลิงสีดำจนสามารถกลมกลืนกับท้องฟ้ายามราตรีในขณะนี้ได้อย่างแนบเนียน ทำให้มีเพียงแสงดวงเดือนบนฟากฟ้าเท่านั้น ที่คอยส่องแสงเพียงเล็กน้อย สะท้อนให้เห็นเงาของชายหนุ่มทั้งสอง ผู้ซึ่งกำลังยืนเผชิญหน้ากันอยู่ท่ามกลางเพลิงอันโชติช่วงแห่งนี้
“แล้ว... คำว่าเพื่อน? คำว่ามิตรภาพที่พูดนักพูดหนาน่ะ มันเป็นอย่างงี้เหรอวะ!?”
“ยังไงซะชะตากรรมของเรามันก็ต้องสู้กันอยู่แล้วนี่หว่า” อีกฝ่ายเอ่ย “แล้วที่สำคัญ ใครกันที่เป็นเพื่อน?”
“อัน...”
“...”
“พอทีเถอะ!!!”
“หุบปาก!!!”
ชายผู้มีนามว่าอัน ไม่สามารถอดทนกับคำพูดของอีกฝ่ายได้อีกต่อไป จู่ๆ เขาก็ยื่นมือขวาออกไปข้างหน้า ลายเส้นคล้ายลายไทยจะปรากฏเต็มทั่วแขนข้างนั้น พร้อมเปล่งประกายแสงสีม่วงจนเห็นชัดเจนในยามวิกาลเช่นนี้ ไร้ซึ่งสาเหตุอันใดมารองรับทั้งสิ้นถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้
และด้วยอำนาจอะไรบางอย่างในมือข้างนั้น มันก็ได้นำพาแผ่นเหล็กสีดำด้านรูปสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ยักษ์ถึง ๒ แผ่น เป็นดั่งใบมีดโกนอันแหลมคมที่พร้อมจะเชือดเฉือนทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า รอบๆ แผ่นเหล็กนั้นเปล่งแสงสีม่วงส่องสว่างเหมือนกับที่แขนของเขาไม่มีผิด
มันบินร่อนฉวัดเฉวียนไปมากลางอากาศ หมุนควงรอบทิศดั่งใบพัดด้วยความเร็วสูงประหนึ่งติดมอเตอร์ พุ่งทะลวงออกมาผ่านเปลวเพลิงข้างหลังของชายอีกคนหนึ่งภายในไม่กี่อึดใจ และก่อนที่เขาจะไหวตัวทัน ก็ช้าไปเสียแล้ว
“ฉัวะะะะะะะะ”
แผ่นเหล็กทั้งสองซึ่งตอนนี้กำลังถูกเพลิงสีดำลุกไหม้อีกทอดหนึ่ง ได้พุ่งเฉือนเข้าใส่ที่กลางแผ่นหลังของเขาอย่างรุนแรงถึงที่สุด
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
สายเลือดสีแดงฉานพุ่งออกมาจากบาดแผลทั้งสองจุดกลางหลังดั่งน้ำพุ มันคงจะเฉือนเข้าไปที่เส้นเลือดใหญ่บริเวณแผ่นสันหลังจนฉีกขาดเป็นแน่ และแน่นอน ว่ามันสามารถสร้างความเจ็บปวดแสนทรมานได้เป็นอย่างดีทีเดียว
เขาไม่สามารถฝืนได้อีกต่อไป ถึงกับต้องล้มคุกเข่าลงไปกับพื้นด้วยความทรมานชนิดที่ว่าไม่สามารถหาอะไรมาเทียบเคียงได้เลยแม้แต่น้อย ขณะเดียวกัน แผ่นเหล็กที่ตอนนี้ชุ่มไปด้วยโลหิตสีแดงทั้ง ก็ได้ลอยขึ้นเหนือหัวของอันโดยไม่ทำอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น ประหนึ่งว่าเขาสามารถควบคุมมันได้ยังไงยังงั้น
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก” ชายคนนั้นยังคงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนที่สุด ใช้แขนขวาค้ำร่างเอาไว้ก่อนจะร่วงสู่พื้นอย่างเต็มกลืน
“เจ็บเหรอ” อันค่อยๆ เดินมาหาเขาพร้อมแผ่นเหล็กทั้งสองที่ลอยตามมาดั่งสารถี“กัน”
“อัน...” ชายที่ชื่อกันค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา “นี่ต้องสู้กัน...”
“ถ้าเป็นเพื่อนกูจริงก็น่าจะรู้นี่นะว่ากูเป็นคนยังไง” อันจับคอเสื้อของกันเอาไว้ ยกตัวเพื่อนคนนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ส่วนแผ่นเหล็กก็ได้ลอยไปจ่อที่คอของอีกฝ่ายแล้ว “ทีนี้ก็...”
“แต่ในฐานะเพื่อน” ทว่า ลายเส้นแบบเดียวกับอัน ก็ได้ปรากฏขึ้นมารอบปากของกันพร้อมเปล่งแสงสว่างสีเขียวเสียแล้ว “กูรู้ว่าไม่ใช่คนอย่างงี้”
“ว๊ากกกกกกกกกกกกกกก!!!”
เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้พลันหายไปในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น เป็นเหมือนดั่งฝันที่คนๆ หนึ่งมักนึกคิดยามหลับใหล ก่อนจะสลายหายไปในทันทีเมื่อลืมตาตื่น
เป็นเช่นนั้นจริงๆ ณ ห้องสี่เหลี่ยมสีขาวดูซอมซ่อแห่งหนึ่ง ชายคนหนึ่งพึ่งจะลืมตาตื่นจากภวังค์ ด้วยอาการตกใจจนถึงกับต้องสะดุ้งขึ้นมาทั้งตัวบนเตียงไม้สีขาวขนาดเล็กนี้
เขาหอบหายใจอยู่ซักระยะ ค่อยๆ ใช้มือขวาป้ายไปบนหน้าผาก และพบว่ามือข้างนั้นติดน้ำเหงื่อชุ่มฉ่ำทีเดียว ทว่า นอกจากเหงื่อแล้ว หลังมือนี้ยังถูกปกคลุมไปด้วยขนสีขาวอีกด้วยคล้ายสัตว์ป่าด้วย
“เมื่อไรจะลืมลงวะเนี่ย..."
หลังจากนั่งครุ่นคิดกับตัวเองอยู่ซักพัก เขาค่อยๆ หย่อนเท้าทั้งสองข้างลงมายืนบนพื้นห้อง เดินไปยังหน้าต่างแคบๆ ข้างหน้า แล้วจึงใช้มือซ้ายรูดม่านสีขาวออกไป เปิดให้แสงอรุณยามเช้าลอดผ่านกระจกบานนั้นออกมา เพื่อรับแสงสว่างในรุ่งอรุณของวันนี้
“ช่าง
ทว่า แผ่นหลังของชายคนนี้ช่างดูแปลกประหลาดยิ่งนัก ทั่วร่างปกคลุมด้วยขนหนาสีขาว ยกเว้นบริเวณมือกับเท้าดั่งลิงตัวหนึ่ง ในขณะที่บริเวณสะโพกของเขา ก็ยังมีหางยาวๆ ยื่นออกมาอีกด้วย ยิ่งตอกย้ำอย่างชัดเจนเลยว่าชายคนนี้ไม่น่าใช่มนุษย์แน่นอน แต่มองอีกมุมหนึ่ง ด้วยสติปัญญาและคำพูดเช่นนี้ก็คงมิใช่สัตว์ป่า แล้วเขาเป็นอะไรกันแน่?
แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม บริเวณกลางแผ่นหลังของเขา กลับมีรอยแผลฉกรรจ์ขนาดใหญ่รูปกากบาทปรากฏอยู่อย่างน่าหวาดกลัว พอจะบอกได้ว่า เขาคนนี้แหละเป็นคนเดียวกับในฝันเมื่อครู่นี้ และดูจากสายตาคู่นี้ ชายหนุ่มคนนี้คงจะพยายามละทิ้งความฝันนั้นไว้ข้างหลัง พร้อมเลือกที่จะมองออกไปยังแสงตะวันข้างหน้า อันเป็นปัจจุบันในตอนนี้นั่นเอง
“สุวัฒนาเหรอ...รอก่อนเถอะ”
บทที่ ๑ ปฐมบทตำนานหิมพานต์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้