เสียงไก่ขันลอยละลิ่ว ผ่านผืนหมอกบางแห่งทุ่งนา
หมอกย้อมขอบฟ้าให้เป็นสีเทาอ่อนดั่งผ้าฝ้ายชุบแสงเดือน
ลมปลายฝนพัดเอื่อย พาใบหญ้ารำระบำรับอรุณ
ข้างคันนา เด็กน้อยในผ้าขาวม้าแดงวิ่งไล่เงาไผ่
หัวเราะสะท้อนกลับสู่เงียบงันแห่งท้องทุ่ง
โลกทั้งใบดูจะตื่นจากความฝันของราตรี
แต่ยังครึ่งหลับครึ่งตื่น
ในเสียงกบร้องจากหนองน้ำที่ยังมีไอเย็นเกาะคลอผิว
เฒ่าชราก้าวช้า ๆ ผ่านรอยแตกของดิน
ถือจอบพาดบ่า รอยยิ้มของเขาเหมือนรอยแสงแรกของวัน
แสงแดดเดือนตุลาไม่แผดเผา หากเพียงลูบไล้
เหมือนมือนุ่มของผู้หญิงที่เคยอยู่ข้างกาย
ร่างกายเขาอบอุ่นขึ้นด้วยความทรงจำ
มากกว่าความร้อนของแสงอาทิตย์ที่ยังอ่อนแรง
ต้นข้าวในนาเริ่มอ่อนก้าน
สีเขียวอ่อนอาบด้วยน้ำค้างใสจนเกือบขาว
มันเอนตัวตามแรงลม ราวกับฝูงนางระบำ
ร่ายรำถวายแด่ดวงตะวันอ่อน
ละอองแสงแตะขอบโลก ละลายความเยียบของรุ่งอรุณ
เงาภูเขาไกล ๆ ละลายลงสู่ม่านหมอก
ทุกสิ่งดูอ่อนโยน
แม้แต่เสียงวัวที่ร้องเรียกลูกในคอก
ก็คล้ายเสียงเพลงโบราณที่ขับกล่อมดินฟ้าให้ตื่นขึ้น
แม่จุดเตาฟืนหลังบ้าน
ควันบางคลอคลุ้งกับหมอกเช้า จนดูไม่รู้ว่าอะไรคือฟ้า
กลิ่นข้าวใหม่คั่วหอม ลอยผ่านรั้วไม้ไผ่ไปไกล
ในครัวเล็ก ๆ เสียงตำน้ำพริกดัง “ตึ๊ก ตั่ก”
เป็นจังหวะของชีวิต
เป็นเสียงกลองของฤดูกาล ที่สอนให้มนุษย์รู้จักความพอ
ในขณะที่โลกที่อื่นเร่งร้อน
หมู่บ้านเล็ก ๆ นี้ยังยืดยาวอยู่กับจังหวะหัวใจของธรรมชาติ
ข้างหนองน้ำ เด็กหญิงนั่งแ

กกระเจียวที่ร่วง
เธอมองเงาตัวเองในผิวน้ำ
เห็นภาพโลกกลับหัว—
แต่ก็เป็นโลกที่สงบกว่าความจริง
ผีเสื้อสีหม่นบินอ้อยอิ่งเหนือกลีบดอกไม้ร่วง
เหมือนวิญญาณของฤดูฝนที่กำลังจากลา
เธอยิ้มบาง ๆ
ในรอยยิ้มมีทั้งความงามและความว่างเปล่า
ดั่งคำกวีโบราณที่กล่าวว่า
“ความเงียบ คือท่วงทำนองของฟ้า”
ลมหนาวแรกมาถึงโดยไม่ทันบอกลา
มันพัดผมเด็กให้พลิ้ว และสะกิดผืนนาให้สั่นสะเทือน
ราวกับธรรมชาติกำลังบรรเลงดนตรีของเวลา
แม้แต่เงาของควายแก่ในคอกยังสั่นไหวในแสงทอง
เฒ่าชราหยุดยืนมอง
หัวใจเขาเต้นไปพร้อมจังหวะลมหายใจของผืนดิน
เขารู้ว่าอีกไม่นาน ข้าวจะออกรวง
และชีวิตจะสุกงอมดั่งฤดูที่เวียนวน
แสงอาทิตย์สูงขึ้นช้า ๆ
ละอองน้ำค้างกลายเป็นประกายระยับ
ทั่วท้องทุ่งราวกับมีหมื่นเพชรน้อยเต้นระบำ
นี่คือ “ระบำแดดหนาว” แห่งเช้าตุลาคม
ไม่มีเครื่องดนตรีใดบรรเลง
นอกจากเสียงใบไม้ไหวกับหัวใจที่ยอมฟัง
ไม่มีเวทีใดใหญ่เท่าผืนดิน
ที่มนุษย์และธรรมชาติร่วมร่ายรำอย่างเท่าเทียม
หมอกเริ่มจาง ลมเริ่มอุ่น
เสียงระฆังวัดไกล ๆ ดังมาจากหลังแนวไม้
ชาวบ้านออกจากบ้านด้วยรอยยิ้มที่ซื่อแท้
บางคนถือบาตร บางคนหาบฟาง
แสงทองอาบร่างพวกเขาไว้
เหมือนคำอวยพรของสวรรค์ที่ลงมาจากทิศตะวันออก
ระหว่างทางฝุ่นดินลอยเป็นม่านบาง
มันไม่ใช่ความสกปรก
แต่คือกลิ่นของชีวิต ที่คละคลุ้งด้วยความทรงจำ
ในทุกเช้าของเดือนนี้
มีทั้งความหนาว ความอุ่น และความสงบ
ผสมกลมกลืนอยู่ในอากาศเดียวกัน
เหมือนชาอุ่นในถ้วยดินเผา ที่มีไอหมอกลอยวน
ผู้ดื่มไม่รู้ว่าความสุขอยู่ที่รส หรือที่ไอ
และบางที…กวีเองก็ไม่รู้
ว่าความงามอยู่ที่คำ หรือที่ความเงียบระหว่างบรรทัด
เมื่อสายลมพัดผ่านทุ่งอีกครั้ง
เฒ่าชรายิ้ม พลันเอ่ยเบา ๆ ว่า
“ปีหนึ่งผ่านไปเร็วเหลือเกิน”
คำพูดนั้นหายไปในลมหนาว
แต่ทุ่งนา ฟ้า และหมอก ยังคงฟังอยู่
ในความเงียบที่อ่อนโยน
ราวกับฟ้ากำลังโอบเขาไว้ด้วยอ้อมแขนของฤดูกาล
ระบำแดดหนาว เช้าตุลาคม