เล่าต่อจากกระทู้ที่แล้วนะคะ
ประสบการณ์ตอนให้ยาเคมีบำบัด
เมื่อฉันยอมรับได้ว่าฉันมีคุณมะแอบเข้ามาอาศัยอยู่ในตัวฉัน และมีคนจะช่วยเอาคุณมะออกไปจากตัวฉัน
ฉันไม่คิดจะรอให้เขาช่วยฉันฝ่ายเดียว ฉันต้องเริ่มช่วยตัวเองก่อน
กรณีของฉันเป็นกรณีให้ยาก่อนทำการผ่าตัด ฉันมีเวลาเตรียมตัวก่อนการให้ยา 3 อาทิตย์ โดยใช้แนวทาง
ของชีวจิต+แพทย์แผนปัจจุบัน
ฉันเริ่มออกกำลังกายให้ร่างกายเข็งแรง เพื่อเตรียมรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังการให้ยา ด้วยการเดินธรรมดาก่อน
แล้วค่อยเพิ่มเป็นเดินเร็วๆ อย่างต่อเนื่องทุกวัน อย่างน้อยวันละ 30 นาที (ระยะทาง 3 -4 กม.)
ทานอาหารที่มีประโยชน์โดยเน้นไปที่โปรตีน ผัก ผลไม้ และน้ำมากๆ (ปกติห่างไกลสิ่งเหล่านี้มากเพราะไม่ชอบ)
ไม่ออกไปทานอาหารนอกบ้าน อาหารทุกอย่างทุกมื้อทำเองหมด อาหารที่ห้ามหรือควรเลี่ยงจะไม่ทานเลย
และที่สำคัญมากๆ เมื่อทานอาหารมากๆ ระบบขับถ่ายต้องดีด้วย ต้องถ่ายทุกวัน ห้ามท้องผูกเด็ดขาด
พักผ่อนมากๆ พยายามหลับให้ได้มากที่สุด (ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักนอนไม่ค่อยหลับเพราะความคิดคอยแต่
จะวนเวียนถึงแต่คุณมะ เผลอไม่ได้ต้องแวบเข้ามาในสมอง ทำให้จิตใจหดหู่อยู่เรื่อย)
วันแรกของการให้ยา ของใช้ส่วนตัวทุกชนิดเป็นของใช้สำหรับเด็กอ่อนทั้งหมด ไม่ทานอาหารรสจัดและไม่ร้อนมาก
เพราะจะทำให้ปากพองและเป็นแผลได้ หมอบอกว่ายาที่ได้จะทำให้เยื่อบุในช่องปากบางมาก ต้องระวังอย่าให้เป็นแผล
เพราะจะเกิดผลตามมาอีกหลายอย่าง
เรื่องนี้ทดสอบด้วยตัวเองมาแล้วด้วยความประมาทนะคะไม่ใช่อยากลอง คือเย็นวันที่สามหลังกากรให้ยา อยากทานต้มจืด
ตำลึงที่เก็บมาจากข้างบ้าน ปกติฉันเป็นคนชอบทานของร้อนๆ ลูกสาวยกมาให้แล้วรีบบอกว่า มันยังร้อนอยู่อย่างเพิ่งทาน
ฉันก็รอแป๊บนึงให้มันเย็น แล้วตักทานอย่างเอร็ดอร่อย พอเช้าวันที่สี่ ฉันเริ่มเจ็บในปาก รู้สึกตกใจมากคิดเอาเองว่า
อมน้ำเกลือคงจะได้ จึงรีบอมน้ำเกลือทั้งเช้า กลาง วันเย็น และก่อนนอน ปรากฏว่าแผลหายภายใน 2 วันโดยไม่ต้องใช้ยา
ทาปากที่หมอสั่งให้หากมีอาการดังว่า ตั้งแต่นั้นมาฉันไม่ทานของร้อนอีกเลย เข็ดค่ะกลัวเป็นแผลในปากมากๆ เพราะมัน
เจ็บทำให้ไม่ยากทานอะไร เมื่อไม่ทานอาหารร่างกายก็อ่อนแอ ซึ่งจะมีผลต่อการให้ยาเข็มต่อไป
หลังจากนั้นทุกวันฉันจะอมน้ำเกลือทั้งเช้า-เย็น อม 2-3 นาทีหลังแปรงฟันสะอาดแล้วโดยไม่ต้องล้างปากอีก
(ความเห็นส่วนตัวนะคะว่าสามารถช่วยลดการเป็นแผลในปากได้ผลดีเยี่ยม)
ฉันดื่มน้ำขิงต้มเองทุกเช้า-เย็น โดยใช้ขิงแก่ปอกเปลือกออกแล้วหั่นเป็นแว่นไม่ต้องบางมาก ใส่น้ำเปล่าตั้งไฟอ่อนจนเดือด
ก็พอ เวลาจะดื่มให้ผสมน้ำสะอาดเพื่อให้เจือจาง โดยชิมก่อนว่าน้ำขิงนั้นแก่เกินไปสำหรับเราหรือเปล่า เพราะหากเข้มข้นเกินไป
จะทำให้ปากเป็นแผลได้ ให้อุ่นน้ำขิงที่ต้มทุกเช้าเย็น สามารถใช้ได้ 2-3 วันจนกว่าน้ำขิงนั้นจะจืดจึงทิ้ง แล้วต้มใหม่
(ข้อสำคัญห้ามลืมอุ่นเด็ดขาด หากลืมน้ำขิงนั้นจะเสียดื่มไม่ได้) ตามข้อมูลที่ได้มามันสามารถขจัดสารพิษรวมทั้งยาที่ตกค้าง
ในร่างกายได้ดี
ที่นี้ก็มาถึงการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น ที่บ้านเมื่อกลับมาอยู่ครบ เรานอนรวมกัน 4 คนในห้องนอนใหญ่ (ลูก 25 คน 18 คน โตแล้ว
แต่ไม่ยอมแยกห้องนอน เขาบอกว่าอบอุ่นดี) เป็นอย่างนี้มาตลอด เมื่อฉันต้องให้ยาจึงอยากแยกไปนอนห้องเล็ก เขาขอนอน
กับแม่บอกว่าจะได้ดูแลแม่ตอนกลางคืน ฉันจึงต้องแยกเตียงนอนคนเดียวแต่ยังอยู่ในห้องเดิม ถ้าใครเริ่มรู้สึกไม่สบายเขาจะรีบ
อยู่ให้ห่างฉันและยอมแยกห้องนอน เรื่องเครื่องนอนต้องสะอาดยิ่งในห้องแอร์ต้องสะอาดสุดๆ เพื่อเป็นการป้องกันการติดเชื้อทุกชนิด
เรื่องการนอน ปกติเป็นคนชอบนอนดึกๆ เพื่อจะได้หลับรวดเดียวถึงเช้า ตั้งแต่ป่วยฉันเปลี่ยนวิธีการนอนใหม่ เมื่อรู้สึกว่าง่วง
ฉันจะนอนทันที ถ้ารู้สึกตัวตื่น ก็จะตื่นโดยไม่คิดว่าได้นอนนานไปกี่นาทีหรือกี่ชั่วโมงแล้ว ถ้าเป็นตอนกลางคืนมีเราตื่นอยู่คนเดียว
จะนอนต่อก็นอนไม่หลับ ฉันใช้วิธีเมื่อไม่หลับก็เปิดไฟหัวเตียงอ่านหนังสือที่เราชอบ หรืออาจจะสวดมนต์ หรือนั่งสมาธิก็ได้
เมื่อเริ่มง่วงก็นอนต่อ หากเราไม่หมกหมุ่นกับเรื่องร้ายๆร่างกายก็จะผ่อนคลายและอยากหลับพักผ่อนเอง
เมื่อได้รับยาจากร่างกายผู้ป่วยจะอ่อนแอมาก โดยเฉพาะ 2 อาทิตย์แรกของทุกเข็ม จึงไม่ควรไปในที่ที่มีคนอยู่มาก
โดยเฉพาะตลาดสด ห้างสรรพสินค้า หรือโรงหนัง เพราะจะทำให้ผู้ป่วยท่ีมีร่างกายอ่อนแอติดเชื้อได้ง่ายมาก
ฉันไม่ออกไปตามสถานที่ดังกล่าวเลย อยากได้อะไรสามีและลูกจะออกไปซื้อมาให้
สามวันแรกหลังให้ยาทุกเข็ม ฉันจะพักผ่อนเต็มที่ ตอนเช้าและเย็นจะออกมาเดินรับแดดอ่อนนอกตัวบ้านประมาณ 10 นาที
พอวันที่สี่ฉันเริ่มไปออกกำลังกายตอนเย็นนิดหน่อยที่สนามซึ่งเป็นที่พักผ่อนของจนท.รพ.ซึ่งอยู่ใกล้บ้านฉัน
(ซึ่งแทบจะไม่มีคนมาใช้บริการเท่าไร่ ทั้งที่มันเป็นที่ที่ดีมาก อากาศปลอดโปร่งเย็นสบาย สนามมีความกว้างน่าจะใหญ่กว่า
สนามฟุตบอล ปลูกหญ้าเขียวตัดแต่งสวยงาม มีต้นไม้ใหญ่บ้าง มีทางลาดยางกว้าง 1 ม. ยาวประมาณ 300 ม. คดเคี้ยวไปมา
รอบสนาม สำหรับใช้เป็นที่ออกกำลัง จะเดินหรือวิ่งแล้วแต่ถนัด ฉันโชคดีมีที่เหมาะสำหรับให้คนป่วยอย่างฉันมีที่ออกกำลัง
โดยไม่ต้องแย่งกับคนจำนวนมาก ไม่ต้องระวังกลัวจะไปติดเชื้อจากคนอื่น)
ข้อห้าม คือพยามยามอย่าให้ร่างกายถูกแสงแดด ตั้งแต่ประมาณ 9 โมงเช้าถึง 5โมงเย็น เพราะผิวผู้ป่วยจะไวต่อแสงแดดมาก
จะรู้สึกแสบผิวและอาจเป็นผื่นแดงง่ายกว่าคนปกติ (อาจทำให้เกิดคุณมะที่ผิวหนังเพิ่มอีกโรคหนึ่งก็ได้) ฉันจะหลีกเลี่ยงไม่ออก
นอกบ้าน หรือถ้าจำเป็นก็จะใส่เสื้อแขนยาวสวมหมวกและกางร่ม ใครจะมองว่าฉันบ้าฉันไม่สนก็ฉันกลัวนี่ คุณไม่เป็นอย่างฉัน
ก็อาจไม่กลัวได้ แต่ฉันกลัวและไม่ขอเสี่ยง
สิ่งที่ฉันเห็นว่าดีสำหรับฉันมีอย่างเดียวคือ ตั้งแต่ฉันได้รับยาประมาณเข็มที่สอง คนที่ไม่รู้ว่าฉันเป็นอะไร พากันทักว่าฉันไปทำ
อะไรมาหรือไปใช่อะไรมา หน้าฉันถึงได้ดูเด็กลงผิวดูดี ช่วยบอกหน่อยจะไปทำ (ขอโทษนะคะ ตีนกาและรอยย่นที่หน้าผากหายไป
ผิวขาวเนียนสวยเชียวแหละ) พอฉันตอบว่าไปให้คีโมมา เขาพากันหัวเราะคิดว่าฉันอำเล่น จนฉันต้องเปิดหมวกให้ดูเขาถึงเชื่อ ลองคิดดู
นะคะว่าพวกที่หน้าเด้งผิวเนียนสวยไปโดนอะไรมา แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการเลย (หากเลือกได้ขอดูแก่อย่างเก่าดีกว่าเป็นค่ะ)
ทุกๆ วันฉันจะเพิ่มระยะทางและเวลาในการเดินออกกำลังวันละนิด ไม่หักโหม เมื่อรู้สึกเหนื่อยก็จะหยุด พอเริ่มอาทิตย์ที่ 3
ร่างกายจึงจะเริ่มฟื้นตัวแข็งแรงขึ้น ฉันสามารถเดินออกกำลังได้เต็มที่ และพร้อมที่จะรับยาเข็มต่อไป ๆ ให้เป็นไปได้ด้วยดี
ฉันมีปัญหาอยู่เรื่องเดียวซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก คือเรื่องเกล็ดเลือดต่ำอย่างที่เล่าตอนที่ 1 นอกนั้นก็มีอาการอย่างอื่นบ้าง เช่น
วันแรกของการให้ยาทุกเข็ม จะรู้สึกผะอืดผะอมบ้าง ฉันใช้วิธีอมลูกอมที่ตัวเองชอบ ความรู้สึกนั้นก็จะหายไป
เริ่มเข็มที่สองผมจะเริ่มร่วงและรู้สึกเจ็บระบบศีรษะ (เข็มนี้ผมจะร่วงหมด) ฉันจะสระผมด้วยแชมพูเด็กทุกวันจนผมร่วงหมด
(เพื่อให้ผมร่วงให้หมดโดยเร็ว) เวลานอนก็จะสวมหมวกไหมพรมที่นุ่ม จะได้ไม่เจ็บศีรษะและจะไม่เป็นหวัดง่าย เพราะไม่มีผม
ช่วยปกปิด หรือมีก็เหลือน้อยเต็มที)
ประมาณเข็มที่สี่กลับมาจากให้ยา รู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ ฉันจะทานยาลดไข้ทันทีโดยไม่รอให้เป็นไข้ก่อนแล้วค่อยทาน
พอเริ่มเข็มที่ห้าเริ่มปวดตามข้อเข่า แขน ตามตัว และต้นคอ ฉันใช้ยานวดที่มีฤทธิ์อ่อนทาตามที่ปวดต่างๆ และคิดว่าฉันปวด
แค่นี้เองฉันต้องทนให้ได้ ยังมีคนที่ไม่ได้รับการรักษาและเจ็บปวดมากกว่าฉันอีก เขายังทนเพื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้
ทุกครัั้งที่รู้สึกปวดฉันจะคิดอย่างนี้ มันทำให้รู้สึกคลายความเจ็บปวดไปได้บ้าง ฉันเป็นอยู่ประมาณสามวันก็ค่อยจางหายไป
และเล็บเท้าเริ่มมีสีคล้ำจางๆ
เข็มที่หกถึงแปด เท้าเริ่มบวมบ้างยุบบ้างแต่ไม่มาก เล็บมีสีคล้ำมากขึ้นแต่ไม่ถึงกับดำ เล็บมือไม่เป็นนะคะ นอกนั้นเหมือนคนปกติ
ยกเว้นศีรษะ
ผมจะเริ่มขึ้นประมาณเข็มที่ 3 มีคนแนะนำให้ใช้ดอกอัญชัน ลูกสาวเริ่มปลูกต้นอัญชันตั้งแต่ยังไม่ได้ให้ยา กว่าจะออกดอกก็พอดีกับ
ที่ฉันต้องใช้มันพอดี
วิธีใช้จับที่ขั้วสีเขียวของดอกอัญชันสดประมาณข้างละ 5-6 ดอก แล้วค่อยๆ เอาด้านกลีบดอกทาไปที่คิ้วทั้งสองข้าง เสร็จแล้ว
เอาไปทาต่อที่ศีรษะให้ทั่วจนสีดอกอัญชันซีดจึงทิ้ง ถ้าคิดว่ายังไม่พอก็ทาทับได้ไม่มีอันตราย (ห้ามศีรษะเป็นแผลนะคะ)
เสร็จแล้วทิ้งไว้จนแห้งแล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำเปล่าหรือสระด้วยแชมพูเด็กก็ได้ สามารถทำได้ทุกวันจนกว่าผมที่ขึ้นมาเต็มที่
หรือจะใช้ต่อไปอีกเรื่อยๆ (ไม่รับประกันนะคะว่าจะผมดำทุกคน แต่เท่าที่บอกผู้ป่วยทุกคนที่รู้จัก เขาก็ผมดำนิ่มสลวยกันทุกคน
แอบมีหงอกบ้างสำหรับผู้สูงอายุซึ่งเป็นเรื่องปกติ สำหรับฉันผมดำทั้งศีรษะ) ไม่สงวนลิขสิทธิ์นะคะ เห็นผลมาหลายคนแล้ว
(แล้วแต่ความเชื่อนะคะ)
ขอขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งมาให้มากนะคะ และขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม
อ่านกระทู้เก่าได้ที่...
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนที่ 1 >>
http://pantip.com/topic/30414596
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนท่ี 2 >>
http://pantip.com/topic/30418215
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนที่ 3 >>
http://pantip.com/topic/30426153
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนท่ี 4
ประสบการณ์ตอนให้ยาเคมีบำบัด
เมื่อฉันยอมรับได้ว่าฉันมีคุณมะแอบเข้ามาอาศัยอยู่ในตัวฉัน และมีคนจะช่วยเอาคุณมะออกไปจากตัวฉัน
ฉันไม่คิดจะรอให้เขาช่วยฉันฝ่ายเดียว ฉันต้องเริ่มช่วยตัวเองก่อน
กรณีของฉันเป็นกรณีให้ยาก่อนทำการผ่าตัด ฉันมีเวลาเตรียมตัวก่อนการให้ยา 3 อาทิตย์ โดยใช้แนวทาง
ของชีวจิต+แพทย์แผนปัจจุบัน
ฉันเริ่มออกกำลังกายให้ร่างกายเข็งแรง เพื่อเตรียมรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังการให้ยา ด้วยการเดินธรรมดาก่อน
แล้วค่อยเพิ่มเป็นเดินเร็วๆ อย่างต่อเนื่องทุกวัน อย่างน้อยวันละ 30 นาที (ระยะทาง 3 -4 กม.)
ทานอาหารที่มีประโยชน์โดยเน้นไปที่โปรตีน ผัก ผลไม้ และน้ำมากๆ (ปกติห่างไกลสิ่งเหล่านี้มากเพราะไม่ชอบ)
ไม่ออกไปทานอาหารนอกบ้าน อาหารทุกอย่างทุกมื้อทำเองหมด อาหารที่ห้ามหรือควรเลี่ยงจะไม่ทานเลย
และที่สำคัญมากๆ เมื่อทานอาหารมากๆ ระบบขับถ่ายต้องดีด้วย ต้องถ่ายทุกวัน ห้ามท้องผูกเด็ดขาด
พักผ่อนมากๆ พยายามหลับให้ได้มากที่สุด (ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักนอนไม่ค่อยหลับเพราะความคิดคอยแต่
จะวนเวียนถึงแต่คุณมะ เผลอไม่ได้ต้องแวบเข้ามาในสมอง ทำให้จิตใจหดหู่อยู่เรื่อย)
วันแรกของการให้ยา ของใช้ส่วนตัวทุกชนิดเป็นของใช้สำหรับเด็กอ่อนทั้งหมด ไม่ทานอาหารรสจัดและไม่ร้อนมาก
เพราะจะทำให้ปากพองและเป็นแผลได้ หมอบอกว่ายาที่ได้จะทำให้เยื่อบุในช่องปากบางมาก ต้องระวังอย่าให้เป็นแผล
เพราะจะเกิดผลตามมาอีกหลายอย่าง
เรื่องนี้ทดสอบด้วยตัวเองมาแล้วด้วยความประมาทนะคะไม่ใช่อยากลอง คือเย็นวันที่สามหลังกากรให้ยา อยากทานต้มจืด
ตำลึงที่เก็บมาจากข้างบ้าน ปกติฉันเป็นคนชอบทานของร้อนๆ ลูกสาวยกมาให้แล้วรีบบอกว่า มันยังร้อนอยู่อย่างเพิ่งทาน
ฉันก็รอแป๊บนึงให้มันเย็น แล้วตักทานอย่างเอร็ดอร่อย พอเช้าวันที่สี่ ฉันเริ่มเจ็บในปาก รู้สึกตกใจมากคิดเอาเองว่า
อมน้ำเกลือคงจะได้ จึงรีบอมน้ำเกลือทั้งเช้า กลาง วันเย็น และก่อนนอน ปรากฏว่าแผลหายภายใน 2 วันโดยไม่ต้องใช้ยา
ทาปากที่หมอสั่งให้หากมีอาการดังว่า ตั้งแต่นั้นมาฉันไม่ทานของร้อนอีกเลย เข็ดค่ะกลัวเป็นแผลในปากมากๆ เพราะมัน
เจ็บทำให้ไม่ยากทานอะไร เมื่อไม่ทานอาหารร่างกายก็อ่อนแอ ซึ่งจะมีผลต่อการให้ยาเข็มต่อไป
หลังจากนั้นทุกวันฉันจะอมน้ำเกลือทั้งเช้า-เย็น อม 2-3 นาทีหลังแปรงฟันสะอาดแล้วโดยไม่ต้องล้างปากอีก
(ความเห็นส่วนตัวนะคะว่าสามารถช่วยลดการเป็นแผลในปากได้ผลดีเยี่ยม)
ฉันดื่มน้ำขิงต้มเองทุกเช้า-เย็น โดยใช้ขิงแก่ปอกเปลือกออกแล้วหั่นเป็นแว่นไม่ต้องบางมาก ใส่น้ำเปล่าตั้งไฟอ่อนจนเดือด
ก็พอ เวลาจะดื่มให้ผสมน้ำสะอาดเพื่อให้เจือจาง โดยชิมก่อนว่าน้ำขิงนั้นแก่เกินไปสำหรับเราหรือเปล่า เพราะหากเข้มข้นเกินไป
จะทำให้ปากเป็นแผลได้ ให้อุ่นน้ำขิงที่ต้มทุกเช้าเย็น สามารถใช้ได้ 2-3 วันจนกว่าน้ำขิงนั้นจะจืดจึงทิ้ง แล้วต้มใหม่
(ข้อสำคัญห้ามลืมอุ่นเด็ดขาด หากลืมน้ำขิงนั้นจะเสียดื่มไม่ได้) ตามข้อมูลที่ได้มามันสามารถขจัดสารพิษรวมทั้งยาที่ตกค้าง
ในร่างกายได้ดี
ที่นี้ก็มาถึงการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น ที่บ้านเมื่อกลับมาอยู่ครบ เรานอนรวมกัน 4 คนในห้องนอนใหญ่ (ลูก 25 คน 18 คน โตแล้ว
แต่ไม่ยอมแยกห้องนอน เขาบอกว่าอบอุ่นดี) เป็นอย่างนี้มาตลอด เมื่อฉันต้องให้ยาจึงอยากแยกไปนอนห้องเล็ก เขาขอนอน
กับแม่บอกว่าจะได้ดูแลแม่ตอนกลางคืน ฉันจึงต้องแยกเตียงนอนคนเดียวแต่ยังอยู่ในห้องเดิม ถ้าใครเริ่มรู้สึกไม่สบายเขาจะรีบ
อยู่ให้ห่างฉันและยอมแยกห้องนอน เรื่องเครื่องนอนต้องสะอาดยิ่งในห้องแอร์ต้องสะอาดสุดๆ เพื่อเป็นการป้องกันการติดเชื้อทุกชนิด
เรื่องการนอน ปกติเป็นคนชอบนอนดึกๆ เพื่อจะได้หลับรวดเดียวถึงเช้า ตั้งแต่ป่วยฉันเปลี่ยนวิธีการนอนใหม่ เมื่อรู้สึกว่าง่วง
ฉันจะนอนทันที ถ้ารู้สึกตัวตื่น ก็จะตื่นโดยไม่คิดว่าได้นอนนานไปกี่นาทีหรือกี่ชั่วโมงแล้ว ถ้าเป็นตอนกลางคืนมีเราตื่นอยู่คนเดียว
จะนอนต่อก็นอนไม่หลับ ฉันใช้วิธีเมื่อไม่หลับก็เปิดไฟหัวเตียงอ่านหนังสือที่เราชอบ หรืออาจจะสวดมนต์ หรือนั่งสมาธิก็ได้
เมื่อเริ่มง่วงก็นอนต่อ หากเราไม่หมกหมุ่นกับเรื่องร้ายๆร่างกายก็จะผ่อนคลายและอยากหลับพักผ่อนเอง
เมื่อได้รับยาจากร่างกายผู้ป่วยจะอ่อนแอมาก โดยเฉพาะ 2 อาทิตย์แรกของทุกเข็ม จึงไม่ควรไปในที่ที่มีคนอยู่มาก
โดยเฉพาะตลาดสด ห้างสรรพสินค้า หรือโรงหนัง เพราะจะทำให้ผู้ป่วยท่ีมีร่างกายอ่อนแอติดเชื้อได้ง่ายมาก
ฉันไม่ออกไปตามสถานที่ดังกล่าวเลย อยากได้อะไรสามีและลูกจะออกไปซื้อมาให้
สามวันแรกหลังให้ยาทุกเข็ม ฉันจะพักผ่อนเต็มที่ ตอนเช้าและเย็นจะออกมาเดินรับแดดอ่อนนอกตัวบ้านประมาณ 10 นาที
พอวันที่สี่ฉันเริ่มไปออกกำลังกายตอนเย็นนิดหน่อยที่สนามซึ่งเป็นที่พักผ่อนของจนท.รพ.ซึ่งอยู่ใกล้บ้านฉัน
(ซึ่งแทบจะไม่มีคนมาใช้บริการเท่าไร่ ทั้งที่มันเป็นที่ที่ดีมาก อากาศปลอดโปร่งเย็นสบาย สนามมีความกว้างน่าจะใหญ่กว่า
สนามฟุตบอล ปลูกหญ้าเขียวตัดแต่งสวยงาม มีต้นไม้ใหญ่บ้าง มีทางลาดยางกว้าง 1 ม. ยาวประมาณ 300 ม. คดเคี้ยวไปมา
รอบสนาม สำหรับใช้เป็นที่ออกกำลัง จะเดินหรือวิ่งแล้วแต่ถนัด ฉันโชคดีมีที่เหมาะสำหรับให้คนป่วยอย่างฉันมีที่ออกกำลัง
โดยไม่ต้องแย่งกับคนจำนวนมาก ไม่ต้องระวังกลัวจะไปติดเชื้อจากคนอื่น)
ข้อห้าม คือพยามยามอย่าให้ร่างกายถูกแสงแดด ตั้งแต่ประมาณ 9 โมงเช้าถึง 5โมงเย็น เพราะผิวผู้ป่วยจะไวต่อแสงแดดมาก
จะรู้สึกแสบผิวและอาจเป็นผื่นแดงง่ายกว่าคนปกติ (อาจทำให้เกิดคุณมะที่ผิวหนังเพิ่มอีกโรคหนึ่งก็ได้) ฉันจะหลีกเลี่ยงไม่ออก
นอกบ้าน หรือถ้าจำเป็นก็จะใส่เสื้อแขนยาวสวมหมวกและกางร่ม ใครจะมองว่าฉันบ้าฉันไม่สนก็ฉันกลัวนี่ คุณไม่เป็นอย่างฉัน
ก็อาจไม่กลัวได้ แต่ฉันกลัวและไม่ขอเสี่ยง
สิ่งที่ฉันเห็นว่าดีสำหรับฉันมีอย่างเดียวคือ ตั้งแต่ฉันได้รับยาประมาณเข็มที่สอง คนที่ไม่รู้ว่าฉันเป็นอะไร พากันทักว่าฉันไปทำ
อะไรมาหรือไปใช่อะไรมา หน้าฉันถึงได้ดูเด็กลงผิวดูดี ช่วยบอกหน่อยจะไปทำ (ขอโทษนะคะ ตีนกาและรอยย่นที่หน้าผากหายไป
ผิวขาวเนียนสวยเชียวแหละ) พอฉันตอบว่าไปให้คีโมมา เขาพากันหัวเราะคิดว่าฉันอำเล่น จนฉันต้องเปิดหมวกให้ดูเขาถึงเชื่อ ลองคิดดู
นะคะว่าพวกที่หน้าเด้งผิวเนียนสวยไปโดนอะไรมา แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการเลย (หากเลือกได้ขอดูแก่อย่างเก่าดีกว่าเป็นค่ะ)
ทุกๆ วันฉันจะเพิ่มระยะทางและเวลาในการเดินออกกำลังวันละนิด ไม่หักโหม เมื่อรู้สึกเหนื่อยก็จะหยุด พอเริ่มอาทิตย์ที่ 3
ร่างกายจึงจะเริ่มฟื้นตัวแข็งแรงขึ้น ฉันสามารถเดินออกกำลังได้เต็มที่ และพร้อมที่จะรับยาเข็มต่อไป ๆ ให้เป็นไปได้ด้วยดี
ฉันมีปัญหาอยู่เรื่องเดียวซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก คือเรื่องเกล็ดเลือดต่ำอย่างที่เล่าตอนที่ 1 นอกนั้นก็มีอาการอย่างอื่นบ้าง เช่น
วันแรกของการให้ยาทุกเข็ม จะรู้สึกผะอืดผะอมบ้าง ฉันใช้วิธีอมลูกอมที่ตัวเองชอบ ความรู้สึกนั้นก็จะหายไป
เริ่มเข็มที่สองผมจะเริ่มร่วงและรู้สึกเจ็บระบบศีรษะ (เข็มนี้ผมจะร่วงหมด) ฉันจะสระผมด้วยแชมพูเด็กทุกวันจนผมร่วงหมด
(เพื่อให้ผมร่วงให้หมดโดยเร็ว) เวลานอนก็จะสวมหมวกไหมพรมที่นุ่ม จะได้ไม่เจ็บศีรษะและจะไม่เป็นหวัดง่าย เพราะไม่มีผม
ช่วยปกปิด หรือมีก็เหลือน้อยเต็มที)
ประมาณเข็มที่สี่กลับมาจากให้ยา รู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ ฉันจะทานยาลดไข้ทันทีโดยไม่รอให้เป็นไข้ก่อนแล้วค่อยทาน
พอเริ่มเข็มที่ห้าเริ่มปวดตามข้อเข่า แขน ตามตัว และต้นคอ ฉันใช้ยานวดที่มีฤทธิ์อ่อนทาตามที่ปวดต่างๆ และคิดว่าฉันปวด
แค่นี้เองฉันต้องทนให้ได้ ยังมีคนที่ไม่ได้รับการรักษาและเจ็บปวดมากกว่าฉันอีก เขายังทนเพื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้
ทุกครัั้งที่รู้สึกปวดฉันจะคิดอย่างนี้ มันทำให้รู้สึกคลายความเจ็บปวดไปได้บ้าง ฉันเป็นอยู่ประมาณสามวันก็ค่อยจางหายไป
และเล็บเท้าเริ่มมีสีคล้ำจางๆ
เข็มที่หกถึงแปด เท้าเริ่มบวมบ้างยุบบ้างแต่ไม่มาก เล็บมีสีคล้ำมากขึ้นแต่ไม่ถึงกับดำ เล็บมือไม่เป็นนะคะ นอกนั้นเหมือนคนปกติ
ยกเว้นศีรษะ
ผมจะเริ่มขึ้นประมาณเข็มที่ 3 มีคนแนะนำให้ใช้ดอกอัญชัน ลูกสาวเริ่มปลูกต้นอัญชันตั้งแต่ยังไม่ได้ให้ยา กว่าจะออกดอกก็พอดีกับ
ที่ฉันต้องใช้มันพอดี
วิธีใช้จับที่ขั้วสีเขียวของดอกอัญชันสดประมาณข้างละ 5-6 ดอก แล้วค่อยๆ เอาด้านกลีบดอกทาไปที่คิ้วทั้งสองข้าง เสร็จแล้ว
เอาไปทาต่อที่ศีรษะให้ทั่วจนสีดอกอัญชันซีดจึงทิ้ง ถ้าคิดว่ายังไม่พอก็ทาทับได้ไม่มีอันตราย (ห้ามศีรษะเป็นแผลนะคะ)
เสร็จแล้วทิ้งไว้จนแห้งแล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำเปล่าหรือสระด้วยแชมพูเด็กก็ได้ สามารถทำได้ทุกวันจนกว่าผมที่ขึ้นมาเต็มที่
หรือจะใช้ต่อไปอีกเรื่อยๆ (ไม่รับประกันนะคะว่าจะผมดำทุกคน แต่เท่าที่บอกผู้ป่วยทุกคนที่รู้จัก เขาก็ผมดำนิ่มสลวยกันทุกคน
แอบมีหงอกบ้างสำหรับผู้สูงอายุซึ่งเป็นเรื่องปกติ สำหรับฉันผมดำทั้งศีรษะ) ไม่สงวนลิขสิทธิ์นะคะ เห็นผลมาหลายคนแล้ว
(แล้วแต่ความเชื่อนะคะ)
ขอขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งมาให้มากนะคะ และขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม
อ่านกระทู้เก่าได้ที่...
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนที่ 1 >>http://pantip.com/topic/30414596
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนท่ี 2 >>http://pantip.com/topic/30418215
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ(เร็ง) ตอนที่ 3 >>http://pantip.com/topic/30426153