ก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อนนะคะ ฉันอยู่ราชบุรี อายุ 52 ปี ตรวจพบมะเร็งเมื่อต้นปี 53 ปัจจุบันหายแล้ว
ลูกสาวอยากให้ฉันเล่าประสบการณ์ในการปฏิบัติตัว จนสามารถผ่านการให้ยารักษาตามกำหนดจนครบ
เผื่อจะเป็นประโยชน์ให้กับผู้อื่นบ้าง
เมื่อต้นปี 2553 รู้สึกคันๆหายๆ ที่ฐานหัวนมข้างขวา จึงไปพบหมอ(รพ.ต่างจังหวัดซึ่งตรวจสุขภาพ
เป็นประจำที่นั่นมา 10 ปีแล้ว)
หมอคลำๆ ที่เต้านมแล้วบอกว่าปกติไม่มีอะไร อีก 4-5 เดือนต่อมาเกิดอาการเสียวซู่ๆ ที่หน้าอกข้างขวาก็ไปหาหมอ
ที่ รพ.เดิมอีก หมอก็คลำๆ ที่เต้านมแล้วบอกว่าปกติไม่มีอะไรกลับบ้านได้ ก็กลับบ้านด้วยความสบายใจ
อีก 3 เดือนต่อมามือไปโดนหน้าอกข้างขวาแล้วรู้สึกเจ็บคลายเป็นฝี คลำดูด้วยตัวเองแล้วพบก้อนเนื้อกลมๆ
จึงรีบไปพบหมอที่ รพ.เดิม หมอคลำๆ ดูแล้วสั่งให้ไปทำแมมโมแกรม ซึ่งคิวนานมากประมาณ 6 เดือน ฉันรอไม่ไหว
1 มิ.ย.53 ลูกสาวจึงพามาตรวจที่ รพ.มีชื่อของรัฐใน กทม. ไปคลินิกนอกเวลาโดยจ่ายส่วนต่างเพิ่ม หมอผู้เชี่ยว
คลำด้วยมือเปล่าแล้วสั่งให้ทำแมมโมแกรม .และใช้เข็มดูดเอาเนื้อเยื่อไปตรวจในวันนั้นเลย
หมอนัดฟังผลวันที่ 5 มิ.ย.53 ตอนเย็น ผลปรากฏว่าเป็นมะเร็งเต้านมจริงๆ หมอบอกว่าเป็นระยะที่ 2 ไป 3
ขนาดก้อนประมาณ 3 ซม.หมอนัดผ่าตัด 16 ก.ค.53
ลูกสาวที่พาไป พอรู้ผลว่าแม่เป็นเท่านั้นแหละร้องไห้แบบไม่อายใครอยู่กลาง รพ. วันนั้นฉันมีความรู้สึกเหมือน
โลกถล่ม เมื่อเห็นลูกใจเสียก็ไม่กล้าบอกลูกว่าเราเองก็ช็อคและตื้อไปหมดเหมือนกัน แต่ไม่กล้าบอกลูก เลยต้องโกหก
ปลอบลูกว่า แม่ไม่เป็นไรหมอบอกโรคนี้รักษาได้ แต่ในใจฉันตอนนั้นมันรู้สึกแห้งแล้ง ห่อเหี่ยว เพราะข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้
เท่าที่รู้มาขณะนั้นมันมีแต่ตายอย่างเดียว ในหัวสมองคิดถึงแต่โรคนี้ในทางร้ายๆ
ระหว่างรอการรักษาอีกเดือนครึ่ง เวลาอยู่ต่อหน้าลูกและสามีหรือคนอื่นก็ทำหน้าชื่นว่าเราไม่เป็นอะไร เดี๋ยวนี้หมอเขาเก่ง
รักษาให้หายได้ แต่เมื่ออยู่คนเดียว ยิ่งเวลากลางคืนเขาหลับกันหมดแล้ว ใจมันคอยคิดฟุ้งซ่านวนเวียนอยู่แต่กับโรคที่เป็น
ทำให้นอนไม่หลับ พาลทำให้กินไม่ค่อยได้ น้ำหนักลดลง (ปกติเป็นคนผอมอยู่แล้ว หนัก 46 ลดลงเหลือ 43) ทั้งสามีและลูก
รู้สึกได้ถึงความรู้สึกลึกๆ ที่เรายังทำใจไม่ได้อย่างปากพูด แม้จะพยายามหลอกพวกเขาแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จ
สามีและลูกพยายามช่วยกันให้กำลังใจ คอยกระตุ้นให้หันมาสู้กับโรค และทำทุกอย่างเพื่อช่วยแบ่งเบาความรู้สึกที่มีอยู่ในใจให้ลดลง
พวกเขาบอกฉันซึ่งยังจำได้มาถึงวันนี้ว่า “ถ้ารักและอยากอยู่ด้วยกันกับพวกเขาจริงๆ ฉันต้องลุกขึ้นมาสู้กับโรคร้ายนี้พร้อมกับพวกเขา
เราทุกคนจะสู้ไปด้วยกัน สู้เต็มที่ ผลจะเป็นอย่างไรเราจะไม่เสียใจ ให้ถือว่าเราสู้เต็มที่แล้ว”
ลูกสาวเริ่มค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้และหาวิธีการรักษาทางเน็ตมาให้อ่านเยอะแยะ หาหนังสือธรรมะมาให้อ่าน
หาหนังสือสวดมนต์มาให้สวด ใหม่ๆ ก็หยิบดูเพื่อไม่ให้ลูกเสียกำลังใจ แต่จิตใจมันไม่รับรู้อะไรเลย นอกคิดแต่ในทางร้ายๆ
เวลาผ่านไป 2 อาทิตย์ที่ฉันจมอยู่กับความรู้สึกซังกะตาย
หลังจากอ่านเอกสารและหนังสือธรรมะแบบเข้าหัวบ้างไม่เข้าหัวบ้างไปหลายเที่ยว และเริ่มมีความคิดว่าถ้าเรายังไม่คิดจะสู้เพื่อ
ช่วยตัวเองแล้วใครจะมาช่วยเราได้ ต่อให้สามีและลูกช่วยหรือทำอะไรให้เรามากมายแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าเรายังอยากมี
ชีวิตอยู่กับคนที่เรารักและรักเรา เราจะต้องลุกขึ้นมาสู้กับโรคนี้ไปพร้อมกับพวกเขา
เมื่อทำใจยอมรับกับโรคนี้ได้แล้ว แต่ในใจก็อยากหาความมั่นใจว่าเราเป็นมะเร็งแน่หรือ หมอวินิจฉัยโรคผิดหรือเปล่า
มันเป็นความรู้สึกค้างคาใจมาก (เป็นมะเร็งระยะ 2-3 มันดูเลวร้ายมาก อีกระยะเดียวตายแน่แล้ว) เพราะคิดว่าเป็นคนดูแลสุขภาพ
ตัวเองค่อนข้างดี อาหารส่วนใหญ่จะทำเอง คิดว่าแค่นั้นพอแล้วดีแล้ว (จริง ๆแล้วไม่ใช่เลย พฤติกรรมการกินและความเป็นอยู่
ของตัวเองล้วน ๆ เช่น ไม่เคยออกกำลังเลยเพราะคิดว่าทำงานนอกบ้าน และงานในบ้านก็เหนื่อยจะแย่แล้ว ถือว่าเป็นการออกกำลัง
ไปในตัวอยู่แล้ว
คิดแบบคนขี้เกียจ ไม่ชอบทานผลไม้/ผัก/น้ำ ชอบทานอาหารปิ้ง/ย่าง/ทอด/ของมัน ๆ ทานอาหารซ้ำซาก
ชอบอย่างไหนก็ทานอย่างนั้นโดยไม่รู้สึกเบื่อ)
ฉันบอกลูกสาวว่าอยากไปหาหมออีก 1- 2 รพ.เพื่อดูผลการตรวจว่าจะตรงกันหรือไม่ ลูกสาวตามใจพาไป รพ.ชื่อดังของรัฐอีกแห่งหนึ่ง
โดยที่ฉันไม่ได้บอกหมอว่าเป็นอะไร ให้หมอตรวจใหม่หมด (เป็นความคิดที่ไม่ค่อยดีแต่ว่าอยากเปรียบเทียบผลตรวจ) หมอผู้เชียวชาญ
ก็ทำเหมือน รพ.ที่ผ่านมา และนัดอีก 2 อาทิตย์มาฟังผล ผลออกมายืนยันว่าเป็นมะเร็งจริง แต่เป็นระยะแรก ตกลงเราเป็นคุณมะจริงๆ
แล้วมันเป็นระยะไหนกันแน่
ที่นี่ความคิดอยากตรวจอีก รพ.มาเลย เพราะไม่รู้จะเชื่อ รพ.ไหนดี แต่ความคิดนั้นก็ตกไปเมื่อหมอบอกว่าก้อนที่เป็น(3 ซม) เมื่อเทียบ
กลับหน้าอกแล้วถือว่าใหญ่ ฉันควรที่จะไปให้คีโมก่อน เพื่อให้ก้อนมันเล็กลงมาหน่อย คุณหมอ(ผู้ใจดีและน่ารักมากๆ) ก็ส่งต่อไปให้
หมอฝ่ายเคมีบำบัด
เมื่อหมอฝ่ายเคมีบำบัดอ่านผลการตรวจแล้ว ก็บอกให้คนไข้อย่างเราดีใจว่า ในความโชคดีที่ได้เป็นคุณมะแล้ว เราได้โชค 2 ชั้น คือ
เป็นเฮอร์ทูบวก
อะไรอีกล่ะไอ้ตัวเฮอร์ทูบวก คุณหมอและคุณ หน.พยาบาล(ผู้ใจดี) บรรยายสรรพคุณเฮอร์ทูบวกให้ฟัง ฉันฟังแล้วรู้สึกเรานี้ช่างโชคดี ซะจริงๆ (ประชด) เป็นคุณมะก็แย่แล้วยังเป็นเฮอร์ทูบวกเอาเข้าไป (ตอนนั้นทำใจได้แล้ว คิดว่ามันคงเป็นโรคคู่กรรมของฉัน จะเป็นโชค
กี่ชั้นก็เชิญตามสบาย)
2 ท่านได้แนะนำให้เข้าโครงการวิจัยของบริษัทยาต่างประเทศร่วมกับ รพ.โดยบอกข้อดีข้อเสีย และจำนวนผู้เข้าร่วมโครงนี้มาแล้วกี่ราย
หาย ตาย หรือแย่ลงกี่ราย ร่วมทั้งค่าใช้จ่ายที่ทางโครงจะเป็นออกให้ในส่วนไหนบ้าง
เมื่อคิดทบทวนเอาเองแล้วเห็นว่า ถ้าเรายังมีบุญเราจะต้องหาย ถ้าบุญเรามีเท่านี้ไม่ว่าจะได้ยาตัวนี้หรือไม่เราก็ต้องตายอยู่วันยังค่ำ
เนื่องจากตัวยาดังกล่าวอาจมีผลกระทบต่อตับและหัวใจได้ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน (ค่ายาที่ต้องจ่ายโดยไม่สามารถ
ใช้สิทธิอะไรเบิกได้เลย ประมาณ 3 ล้านบาท ซึ่งคิดว่าถ้าต้องจ่ายเองคงไม่เอาแน่นอน ถึงแม้มันจะทำให้หายขาดได้ก็เถอะ) โดย
รพ.มีข้อแม้ว่าคนไข้ที่จะเข้าโครงการจะต้องได้รับการตรวจร่างกายใหม่หมดอีกครั้ง ซึ่ง รพ.จะต้องส่งเลือดและเนื้อเยื่อให้ห้องแลป
ทางบริษัทเจ้าของโครงการตรวจเอง และต้องรอผลการยืนยันจากบริษัทอีกครั้งประมาณ 2 อาทิตย์ ว่าเป็นเฮอร์ทูบวกจริงหรือไม่
และจะเข้าโครงการได้หรือไม่
ฉันตัดสินใจแล้วจึงตอบตกลงเซ็นสัญญาเข้าโครงการ โดยทั้งสามีและลูกไม่เห็นด้วย เพราะกลัวผลกระทบของยา แต่ฉันกลับคิดว่า
ในความโชคร้ายที่ต้องเป็นโรคคุณมะ ฉันก็ยังโชคดี
- ประการแรก มีสถาบันที่เชื่อถือได้ยืนยันโรคและระยะที่ฉันเป็นอีกหนึ่งแห่ง
- ประการที่สอง มีผู้คอยดูแลและนัดหมายเกี่ยวกับการตรวจและการรักษาของฉันตลอด 3 ปี
วันนี้ขอจบเท่านี้ก่อนนะคะ คราวหน้าจะมาเล่าต่อค่ะ ว่าผลตรวจรอบสองเป็นอย่างไร
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ (เร็ง) ตอนที่ 1
ลูกสาวอยากให้ฉันเล่าประสบการณ์ในการปฏิบัติตัว จนสามารถผ่านการให้ยารักษาตามกำหนดจนครบ
เผื่อจะเป็นประโยชน์ให้กับผู้อื่นบ้าง
เมื่อต้นปี 2553 รู้สึกคันๆหายๆ ที่ฐานหัวนมข้างขวา จึงไปพบหมอ(รพ.ต่างจังหวัดซึ่งตรวจสุขภาพ
เป็นประจำที่นั่นมา 10 ปีแล้ว)
หมอคลำๆ ที่เต้านมแล้วบอกว่าปกติไม่มีอะไร อีก 4-5 เดือนต่อมาเกิดอาการเสียวซู่ๆ ที่หน้าอกข้างขวาก็ไปหาหมอ
ที่ รพ.เดิมอีก หมอก็คลำๆ ที่เต้านมแล้วบอกว่าปกติไม่มีอะไรกลับบ้านได้ ก็กลับบ้านด้วยความสบายใจ
อีก 3 เดือนต่อมามือไปโดนหน้าอกข้างขวาแล้วรู้สึกเจ็บคลายเป็นฝี คลำดูด้วยตัวเองแล้วพบก้อนเนื้อกลมๆ
จึงรีบไปพบหมอที่ รพ.เดิม หมอคลำๆ ดูแล้วสั่งให้ไปทำแมมโมแกรม ซึ่งคิวนานมากประมาณ 6 เดือน ฉันรอไม่ไหว
1 มิ.ย.53 ลูกสาวจึงพามาตรวจที่ รพ.มีชื่อของรัฐใน กทม. ไปคลินิกนอกเวลาโดยจ่ายส่วนต่างเพิ่ม หมอผู้เชี่ยว
คลำด้วยมือเปล่าแล้วสั่งให้ทำแมมโมแกรม .และใช้เข็มดูดเอาเนื้อเยื่อไปตรวจในวันนั้นเลย
หมอนัดฟังผลวันที่ 5 มิ.ย.53 ตอนเย็น ผลปรากฏว่าเป็นมะเร็งเต้านมจริงๆ หมอบอกว่าเป็นระยะที่ 2 ไป 3
ขนาดก้อนประมาณ 3 ซม.หมอนัดผ่าตัด 16 ก.ค.53
ลูกสาวที่พาไป พอรู้ผลว่าแม่เป็นเท่านั้นแหละร้องไห้แบบไม่อายใครอยู่กลาง รพ. วันนั้นฉันมีความรู้สึกเหมือน
โลกถล่ม เมื่อเห็นลูกใจเสียก็ไม่กล้าบอกลูกว่าเราเองก็ช็อคและตื้อไปหมดเหมือนกัน แต่ไม่กล้าบอกลูก เลยต้องโกหก
ปลอบลูกว่า แม่ไม่เป็นไรหมอบอกโรคนี้รักษาได้ แต่ในใจฉันตอนนั้นมันรู้สึกแห้งแล้ง ห่อเหี่ยว เพราะข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้
เท่าที่รู้มาขณะนั้นมันมีแต่ตายอย่างเดียว ในหัวสมองคิดถึงแต่โรคนี้ในทางร้ายๆ
ระหว่างรอการรักษาอีกเดือนครึ่ง เวลาอยู่ต่อหน้าลูกและสามีหรือคนอื่นก็ทำหน้าชื่นว่าเราไม่เป็นอะไร เดี๋ยวนี้หมอเขาเก่ง
รักษาให้หายได้ แต่เมื่ออยู่คนเดียว ยิ่งเวลากลางคืนเขาหลับกันหมดแล้ว ใจมันคอยคิดฟุ้งซ่านวนเวียนอยู่แต่กับโรคที่เป็น
ทำให้นอนไม่หลับ พาลทำให้กินไม่ค่อยได้ น้ำหนักลดลง (ปกติเป็นคนผอมอยู่แล้ว หนัก 46 ลดลงเหลือ 43) ทั้งสามีและลูก
รู้สึกได้ถึงความรู้สึกลึกๆ ที่เรายังทำใจไม่ได้อย่างปากพูด แม้จะพยายามหลอกพวกเขาแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จ
สามีและลูกพยายามช่วยกันให้กำลังใจ คอยกระตุ้นให้หันมาสู้กับโรค และทำทุกอย่างเพื่อช่วยแบ่งเบาความรู้สึกที่มีอยู่ในใจให้ลดลง
พวกเขาบอกฉันซึ่งยังจำได้มาถึงวันนี้ว่า “ถ้ารักและอยากอยู่ด้วยกันกับพวกเขาจริงๆ ฉันต้องลุกขึ้นมาสู้กับโรคร้ายนี้พร้อมกับพวกเขา
เราทุกคนจะสู้ไปด้วยกัน สู้เต็มที่ ผลจะเป็นอย่างไรเราจะไม่เสียใจ ให้ถือว่าเราสู้เต็มที่แล้ว”
ลูกสาวเริ่มค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้และหาวิธีการรักษาทางเน็ตมาให้อ่านเยอะแยะ หาหนังสือธรรมะมาให้อ่าน
หาหนังสือสวดมนต์มาให้สวด ใหม่ๆ ก็หยิบดูเพื่อไม่ให้ลูกเสียกำลังใจ แต่จิตใจมันไม่รับรู้อะไรเลย นอกคิดแต่ในทางร้ายๆ
เวลาผ่านไป 2 อาทิตย์ที่ฉันจมอยู่กับความรู้สึกซังกะตาย
หลังจากอ่านเอกสารและหนังสือธรรมะแบบเข้าหัวบ้างไม่เข้าหัวบ้างไปหลายเที่ยว และเริ่มมีความคิดว่าถ้าเรายังไม่คิดจะสู้เพื่อ
ช่วยตัวเองแล้วใครจะมาช่วยเราได้ ต่อให้สามีและลูกช่วยหรือทำอะไรให้เรามากมายแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าเรายังอยากมี
ชีวิตอยู่กับคนที่เรารักและรักเรา เราจะต้องลุกขึ้นมาสู้กับโรคนี้ไปพร้อมกับพวกเขา
เมื่อทำใจยอมรับกับโรคนี้ได้แล้ว แต่ในใจก็อยากหาความมั่นใจว่าเราเป็นมะเร็งแน่หรือ หมอวินิจฉัยโรคผิดหรือเปล่า
มันเป็นความรู้สึกค้างคาใจมาก (เป็นมะเร็งระยะ 2-3 มันดูเลวร้ายมาก อีกระยะเดียวตายแน่แล้ว) เพราะคิดว่าเป็นคนดูแลสุขภาพ
ตัวเองค่อนข้างดี อาหารส่วนใหญ่จะทำเอง คิดว่าแค่นั้นพอแล้วดีแล้ว (จริง ๆแล้วไม่ใช่เลย พฤติกรรมการกินและความเป็นอยู่
ของตัวเองล้วน ๆ เช่น ไม่เคยออกกำลังเลยเพราะคิดว่าทำงานนอกบ้าน และงานในบ้านก็เหนื่อยจะแย่แล้ว ถือว่าเป็นการออกกำลัง
ไปในตัวอยู่แล้ว คิดแบบคนขี้เกียจ ไม่ชอบทานผลไม้/ผัก/น้ำ ชอบทานอาหารปิ้ง/ย่าง/ทอด/ของมัน ๆ ทานอาหารซ้ำซาก
ชอบอย่างไหนก็ทานอย่างนั้นโดยไม่รู้สึกเบื่อ)
ฉันบอกลูกสาวว่าอยากไปหาหมออีก 1- 2 รพ.เพื่อดูผลการตรวจว่าจะตรงกันหรือไม่ ลูกสาวตามใจพาไป รพ.ชื่อดังของรัฐอีกแห่งหนึ่ง
โดยที่ฉันไม่ได้บอกหมอว่าเป็นอะไร ให้หมอตรวจใหม่หมด (เป็นความคิดที่ไม่ค่อยดีแต่ว่าอยากเปรียบเทียบผลตรวจ) หมอผู้เชียวชาญ
ก็ทำเหมือน รพ.ที่ผ่านมา และนัดอีก 2 อาทิตย์มาฟังผล ผลออกมายืนยันว่าเป็นมะเร็งจริง แต่เป็นระยะแรก ตกลงเราเป็นคุณมะจริงๆ
แล้วมันเป็นระยะไหนกันแน่
ที่นี่ความคิดอยากตรวจอีก รพ.มาเลย เพราะไม่รู้จะเชื่อ รพ.ไหนดี แต่ความคิดนั้นก็ตกไปเมื่อหมอบอกว่าก้อนที่เป็น(3 ซม) เมื่อเทียบ
กลับหน้าอกแล้วถือว่าใหญ่ ฉันควรที่จะไปให้คีโมก่อน เพื่อให้ก้อนมันเล็กลงมาหน่อย คุณหมอ(ผู้ใจดีและน่ารักมากๆ) ก็ส่งต่อไปให้
หมอฝ่ายเคมีบำบัด
เมื่อหมอฝ่ายเคมีบำบัดอ่านผลการตรวจแล้ว ก็บอกให้คนไข้อย่างเราดีใจว่า ในความโชคดีที่ได้เป็นคุณมะแล้ว เราได้โชค 2 ชั้น คือ
เป็นเฮอร์ทูบวก
อะไรอีกล่ะไอ้ตัวเฮอร์ทูบวก คุณหมอและคุณ หน.พยาบาล(ผู้ใจดี) บรรยายสรรพคุณเฮอร์ทูบวกให้ฟัง ฉันฟังแล้วรู้สึกเรานี้ช่างโชคดี ซะจริงๆ (ประชด) เป็นคุณมะก็แย่แล้วยังเป็นเฮอร์ทูบวกเอาเข้าไป (ตอนนั้นทำใจได้แล้ว คิดว่ามันคงเป็นโรคคู่กรรมของฉัน จะเป็นโชค
กี่ชั้นก็เชิญตามสบาย)
2 ท่านได้แนะนำให้เข้าโครงการวิจัยของบริษัทยาต่างประเทศร่วมกับ รพ.โดยบอกข้อดีข้อเสีย และจำนวนผู้เข้าร่วมโครงนี้มาแล้วกี่ราย
หาย ตาย หรือแย่ลงกี่ราย ร่วมทั้งค่าใช้จ่ายที่ทางโครงจะเป็นออกให้ในส่วนไหนบ้าง
เมื่อคิดทบทวนเอาเองแล้วเห็นว่า ถ้าเรายังมีบุญเราจะต้องหาย ถ้าบุญเรามีเท่านี้ไม่ว่าจะได้ยาตัวนี้หรือไม่เราก็ต้องตายอยู่วันยังค่ำ
เนื่องจากตัวยาดังกล่าวอาจมีผลกระทบต่อตับและหัวใจได้ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน (ค่ายาที่ต้องจ่ายโดยไม่สามารถ
ใช้สิทธิอะไรเบิกได้เลย ประมาณ 3 ล้านบาท ซึ่งคิดว่าถ้าต้องจ่ายเองคงไม่เอาแน่นอน ถึงแม้มันจะทำให้หายขาดได้ก็เถอะ) โดย
รพ.มีข้อแม้ว่าคนไข้ที่จะเข้าโครงการจะต้องได้รับการตรวจร่างกายใหม่หมดอีกครั้ง ซึ่ง รพ.จะต้องส่งเลือดและเนื้อเยื่อให้ห้องแลป
ทางบริษัทเจ้าของโครงการตรวจเอง และต้องรอผลการยืนยันจากบริษัทอีกครั้งประมาณ 2 อาทิตย์ ว่าเป็นเฮอร์ทูบวกจริงหรือไม่
และจะเข้าโครงการได้หรือไม่
ฉันตัดสินใจแล้วจึงตอบตกลงเซ็นสัญญาเข้าโครงการ โดยทั้งสามีและลูกไม่เห็นด้วย เพราะกลัวผลกระทบของยา แต่ฉันกลับคิดว่า
ในความโชคร้ายที่ต้องเป็นโรคคุณมะ ฉันก็ยังโชคดี
- ประการแรก มีสถาบันที่เชื่อถือได้ยืนยันโรคและระยะที่ฉันเป็นอีกหนึ่งแห่ง
- ประการที่สอง มีผู้คอยดูแลและนัดหมายเกี่ยวกับการตรวจและการรักษาของฉันตลอด 3 ปี
วันนี้ขอจบเท่านี้ก่อนนะคะ คราวหน้าจะมาเล่าต่อค่ะ ว่าผลตรวจรอบสองเป็นอย่างไร