แชร์ประสบการณ์ ดูแลตัวเองดีแค่ไหน ก็ไม่พ้นโรคมะเร็งอยู่ดี

สวัสดีค่ะ ขออนุญาตใช้แทนชื่อตัวเองว่า ที นะคะ วันนี้อยากจะมาเล่าประสบการณ์ของคนที่ดูแลสุขภาพตัวเองมาดีตลอด แต่ก็ยังเจอ Jackpot ตรวจเจอเซลล์มะเร็งอยู่ดี ปัจจุบันในวันที่มาเขียนตอนนี้อยู่ในระยะที่คุณหมอเรียกว่า “โรคสงบ” ค่ะ หรือเป็นช่วงที่จบแผนการรักษาทั้งหมด ช่วงนี้ก็เป็นการติดตามผลสุขภาพและค่ามะเร็งอยู่เรื่อย ๆ ทุก ๆ 3 เดือน เลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดกับตัวเองมาก่อนเพราะเผลอคิดไปว่าตัวเองดูแลสุขภาพดีพอแล้ว มาให้เพื่อน ๆ ได้ระวังกันมากขึ้น เผื่อบางจุดช่วยอุดรอยรั่วสำหรับคนที่ยังไม่เกิดเหตุแบบเดียวกัน หรือคนที่ประสบปัญหาเดียวกันได้แชร์เรื่องของตัวเองแลกเปลี่ยนกันว่าผ่านเรื่องดังกล่าวมาได้อย่างไรกันบ้างค่ะ

ปัจจุบัน ณ วันที่โรคสงบแล้ว ตอนนี้อายุ 58 ปีแล้วค่ะ ตอนนี้ก็เกษียณอายุออกจากงานราชการมาแล้วเมื่อปี 67 ที่ผ่านมา ซึ่งก็เป็นช่วงที่รักษามะเร็งพอดีค่ะ พื้นฐานแล้วปกติตัวเองเป็น ภูมิแพ้ มานานแล้ว มีอาการหอบหืดบ้างนิดหน่อย รวมไปถึงตรวจเจอว่าตัวเองเป็นพาหะโรคธาลัสซีเมีย ตั้งแต่ปี 2562 ค่ะ โดยพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ต้นเลยคือ เป็นคนดูแลตัวเองดีมาตลอด เลือกทานอาหาร เป็นไปได้ก็จะทำอาหารทานเอง กินคลีน เลี่ยงอาหารแปรรูป ออกกำลังกายอยู่ตลอด อาจจะมีเครียดเรื่องงานบ้าง แต่ก็ไม่ได้เครียดหนักมาก ยังนอนได้ปกติ มีเวลาพักผ่อนวันหยุด มีการตรวจสุขภาพประจำปีทุกปี ก็จะมีปัญหาแค่เรื่องพาหะธาลัสซีเมีย กับภูมิแพ้ที่บอกไปแค่นั้นเองค่ะ

แล้วก็เริ่มมาเจอปัญหาสุขภาพตอนปี 2565 ช่วงนั้นก็เป็นการตรวจสุขภาพประจำปีทั่ว ๆ ไป ทุกอย่างปกติดี ยกเว้นมาเจอเนื้องอกที่กระดูกเชิงกราน ช่วงนั้นคุณหมอแนะนำให้ทำการผ่าตัดเนื้องอกออก เราก็รักษาตามแผนปกติผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดี ก็พักฟื้นปกติ ร่างกายกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
และอย่างที่เคยบอกไปว่าเราตรวจสุขภาพประจำปีทุกปี และทำเมมโมแกรมอยู่ตลอด แต่พอช่วงปี 65 ที่ช่วงผ่าตัดนี้ เป็นปีแรกที่ไม่ได้ตรวจเมมโมแกรม พอช่วงปลายปี 2566 ก็ได้เข้าสู่การตรวจสุขภาพประจำปีปกติอีกครั้ง ครั้งนี้พอคุณหมอทำการ Mamogram ผลกลับออกมาว่า เจอก้อนน่าสงสัยที่ราวนมข้างขวา คุณหมอเลยส่งไปทำ MRI ต่อเพื่อให้การตรวจชัดเจนมากขึ้น ผลออกมาว่าเจอก้อนเนื้อที่น่าสงสัยจริง ๆ ขนาด 1.5 cm. คุณหมอเลยเจาะชิ้นเนื้อตรงนั้นไปตรวจ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ตอนนั้นผลออกมาเร็วมาก ๆ เราเข้าไปฟังผลคุณหมอ ปรากฏว่ายังไม่ทันได้เตรียมใจ ก็ได้ยินคำพูดที่เชื่อว่าไม่มีใครอยากได้ยิน นั่นก็คือ ผลออกมาว่าเป็นเนื้อร้าย ตอนนั้นช็อคมาก หูดับไปหมด เราดูแลตัวเองมาดีอยู่แล้ว เลยไม่เคยคิดมาก่อนว่าเราจะเกิดกับเรา แต่ในความโชคร้ายนั้นก็ยังมีเรื่องที่ดีคือ เรารู้เร็ว และคุณหมอบอกว่ายังรักษาได้ เราเจอตอนที่เป็นระยะ 1 แล้วสายพันธุ์ที่ไม่ดุ ตอนนั้นก็พยายามฟังแผนการรักษาที่คุณหมอวางไว้ให้ ซึ่งคุณหมอก็มาครบชุดเลย ทั้งผ่าตัด เคมีบำบัด และฉายแสง ตอนแรกกลัวเคมีบำบัดมาก ด้วยความที่เรารักสวยรักงาม ไม่อยากผมร่วง พยายามคุยกับคุณหมอ หาข้อมูลว่าจะทำยังไงไม่ให้ผมร่วง เครียดมาก แต่เราก็ดึงสติคุยกับหมอ กับลูก กับสามี แล้วก็ดูตามเพจของคนที่เคยผ่านมาก่อน เคยรักษามาก่อน เค้าก็ผ่านจุดนี้มาได้ รักษาเสร็จก็กลับมาผมยาวสวยได้เหมือนเดิม ก็โอเค เราตัดสินใจไปรักษา คิดว่า รีบรักษา รีบหาย เลยเข้ารับการรักษากับคุณหมอ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เริ่มการรักษาคุณหมอก็นัดผ่าตัดเลย (เดือน ม.ค. 2567) หมอผ่าตัดโดยการคว้านเนื้อที่ราวนมออก รวมถึงเลาะต่อมน้ำเหลืองรอบ ๆ ออกด้วยเป็นการกันไว้ คุณหมอบอกว่าควรเอาออกเผื่อเชื้อมะเร็งจะไปอยู่ที่ต่อมน้ำเหลืองใกล้ ๆ และช่วยลดโอกาสการลุกลามของมะเร็งได้ด้วย การผ่าตัดก็ผ่านไปได้ด้วยดี ก็พักฟื้นประมาณเดือนกว่า ๆ

หลังจากนั้น คุณหมอก็นัดมาให้ยาเคมีบำบัดต่ออีก 4 เข็ม เรามารับยาเคมีบำบัดเข็มแรกตอนช่วงต้นปี 67 มารับยาเคมีบำบัดเข็มแรก ก็เอาเรื่องอยู่ค่ะ ผมร่วงหนักเลย เอามือสางผมทีคือร่วงติดมือมาเป็นกำเลย ส่วนตัวแนะนำให้โกนทิ้งไปเลยดีกว่าค่ะ เราจะได้ไม่ต้องพะวงและไม่ต้องเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เราใจเสียเพิ่มด้วย หาซื้อวิกผมสวย ๆ มาใส่ได้ เดี๋ยวนี้วิกผมใส่แล้วดูเหมือนผมจริงมาก ๆ เลยด้วย ไม่ต้องกังวลเลย

พอถึงรอบที่จะต้องไปให้ยาเคมีบำบัดเข็มที่ 2 (หลังจากเข็มที่ 1 ประมาณ 1 สัปดาห์) ก็เจอปัญหาเลยค่ะ (ปกติแล้วก่อนจะให้ยาเคมีบำบัด คุณหมอจะต้องมีการเจาะเลือด ตรวจเช็กค่าเลือดทุกครั้งว่าร่างกายเราพร้อมมั้ย สามารถให้ยาเคมีบำบัดได้หรือไม่ โดยเค้าจะดูทั้งค่าเม็ดเลือดขาว ค่าเม็ดเลือดแดง และค่าเกล็ดเลือด ถ้าค่าเลือดไม่ผ่านก็ต้องเลื่อนการให้ยาเคมีบำบัด)พอเราเจาะเลือดตรวจก็เจอเลยค่ะว่า “ค่าเลือดไม่ผ่าน ไม่สามารถรับยาเคมีบำบัดได้” คุณหมอเลยให้ยากระตุ้นเม็ดเลือดแล้วกลับบ้านมาพักก่อน ต้องเลื่อนแผนการรักษาออกไปอีก

ตอนนั้นเครียดมาก เพราะคิดว่าการเลื่อนแผนการรักษาจะมีผลอะไรมั้ย แล้วถ้าไปอีกรอบแล้วค่าเลือดไม่ผ่านอีกจะทำยังไง ถ้าโดนเลื่อนไปอีกก็ไม่รู้ว่าจะต้องรักษาตัวอีกนานแค่ไหน ต้องปรับเปลี่ยนแผนการรักษาอะไรอีกมั้ย มันคิดเยอะไปหมด คิดวนไปวนมา พยายามหาข้อมูลเยอะมาก ๆ ว่าจะทำยังไงดี พอคิดมาก หาข้อมูลมาก เลยทำให้ตัวเองเครียดมาก ๆ กินข้าวกินอะไรไม่ลง ทำให้ภูมิเราตก ค่าเลือดเราก็ไม่ขึ้นไปอีก ขออนุญาตกล่าวถึงเพจคุณออย ไอรีล Art for Cancer และ คุณพิม สวยสู้มะเร็ง ที่เค้าเป็นผู้ป่วยและอดีตผู้ป่วยมะเร็งมาก่อน เราไปเจอเค้าก็แนะนำว่าอย่าเครียดมาก พยายามกินให้ได้เยอะ ๆ นอนให้หลับ แล้วก็มีสารอาหารตัวนึงที่เรียกว่าเบต้ากลูแคน ที่ตัวนี้มีงานวิจัยว่าช่วยเรื่องค่าเลือดได้ ก็เลยลองไปหาข้อมูลเพิ่มเติมมา ก็มาเจอของ ยัวร์ เบต้ากลูแคน ก็ปรึกษากับทางแอดมินและทานตามที่แนะนำวันละ 12 แคปซูล โดยส่วนตัวเราก็แบ่งทานช่วงท้องว่าง 3 มื้อ มื้อละ 4 แคปซูล ทานมาได้ซักประมาณ 2 สัปดาห์ ส่วนตัวรู้สึกว่าทานแล้วไม่เพลียด้วย พร้อมกับพยายามปรับพฤติกรรม หาอะไรทำที่ทำให้ไม่เครียด ปลูกต้นไม้ ดูซีรี่ย์ งดเสพข้อมูลที่ทำให้เราคิดมากหรือเครียดเกินไป พอได้ทำได้โฟกัสสิ่งที่ชอบ ได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น เราก็เครียดน้อยลงก็ช่วยให้นอนได้มากขึ้นด้วยค่ะ พอถึงเวลาหมอนัดอีกรอบ เราก็ไปตรวจเลือดตามขั้นตอนเหมือนเดิม ผลก็ออกมาว่า ค่าเลือดผ่าน สามารถรับยาเคมีบำบัดต่อได้ ดีใจมากเลยค่ะ เหมือนยกภูเขาออกจากอก รู้สึกดีที่การปรับพฤติกรรมของเรามาถูกทาง แล้วก็ทำต่อเนื่องเลย พอเคมีบำบัดเข็มที่ 3 เข็มที่ 4 ก็ค่าเลือดขึ้นและผ่านทุกรอบ กินข้าวได้ เพลียน้อยลง มันทำให้เรามีกำลังใจที่จะไปต่อเยอะมากๆ แล้วหลังจากรับยาเคมีบำบัดครบ 4 เข็มแล้ว ก็ต่อด้วยฉายแสงบริเวณที่ผ่าตัดอีก 16 แสง ซึ่งก็ผ่านไปได้ด้วยดีครบทั้งหมด ผลข้างเคียงของการฉายแสงของเรามีแค่รอยแดง ๆ เท่านั้นเองค่ะ ตอนนี้ก็จบการรักษาทั้งผ่าตัด เคมีบำบัด ฉายแสง มาได้ปีกว่า ๆ แล้ว อยู่ช่วง Follow-up ไปตรวจ ไปเช็กกับคุณหมอทุก ๆ 3 เดือน ทุกอย่างยังปกติดีค่ะ ตอนนี้ก็ดีใจมาก ๆ แต่ก็ยังตื่นเต้นทุกครั้งที่ไปเจอคุณหมอเลยค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สิ่งที่อยากจะมาเล่า และบอกให้ทุก ๆ คน ที่อาจจะแวะมาอ่าน อาจจะเป็นคนที่เจอว่ามีเซลล์มะเร็ง หรือมีคนรอบตัวเป็นมะเร็ง รวมไปถึงคนที่อาจจะผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มาแล้วแบบเราค่ะ เราเชื่อว่าใครที่ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มาแล้วก็จะรู้ว่า กว่าจะผ่านมาไม่ง่ายเลย สิ่งที่ได้เราเรียนรู้และอยากจะบอกทุกคนคือ
เราควรตรวจสุขภาพ ตรวจคัดกรองมะเร็งเป็นประจำทุกปี รู้เร็ว รักษาทัน มีโอกาสหายได้แน่นอน
ดูแลสุขภาพร่างกายไว้ค่ะ กินให้ดี พักผ่อนให้พอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ มันช่วยเราได้มาก ๆ แม้จะเป็นมะเร็งแล้ว แต่ด้วยที่ร่างกายเราพื้นฐานที่แข็งแรง ผลข้างเคียงการรักษาก็อาจจะไม่ได้มีเยอะ

ถ้าเราเจอว่าเป็นมะเร็ง “สติ” สำคัญมาก ๆ เสียใจได้ ช็อคได้ แต่ขอให้รีบตั้งสติกลับมาให้ได้เร็วที่สุด
ระหว่างเส้นทางการรักษาเครียดได้ แต่ต้องรู้ตัวให้เร็วค่ะ พอรู้ว่าตัวเองเริ่มมีภาวะเครียดให้หยุดอะไรที่ยิ่งทำให้คิดมาก และออกไปเปลี่ยนกิจกรรม หาอะไรที่เราชอบทำ ช่วยได้เยอะเลยค่ะ ส่วนตัวเราเวลารู้ตัวว่าเริ่มเครียด เริ่มคิดมาก เราจะชอบดูซีรี่ส์ ชอบไปปลูกต้นไม้ อ่านหนังสือ
อันนี้ไม่รู้ว่าถูกหรือไม่ แต่ส่วนตัวแล้วช่วงที่เราเป็นมะเร็งและรักษาตัวอยู่ เราไม่ได้บอกใครเลย คนที่รู้ ที่คุยด้วยจะมีแค่ คุณหมอที่ดูแลเรา สามีและลูก แค่นี้เลยค่ะ คนรู้น้อยมาก อาจจะเป็นเพราะเราไม่อยากให้คนอื่นมาเห็นการเปลี่ยนแปลงของเราด้วย แล้วก็บวกกับว่า แค่เราเจอแบบนี้ก็กดดันตัวเองมากพอแล้ว บางทีการเจอคนที่มาบอกว่า กินนู่นนี่สิ ทำนู่นนี่สิ ไปหาคนนู้นคนนี้สิ หายแน่ บางทีเป็นการกดดันผู้ป่วยเกินไปค่ะ
เมื่อจบการรักษามาแล้ว ห้ามคิดว่าตัวเองหายขาดแล้วเด็ดขาดเลยค่ะ อย่าชะล่าใจ ส่วนใหญ่คุณหมอเค้าจะยังใช้คำว่า “โรคสงบ” ค่ะ ซึ่งแปลตรงตัวเลยคือ มะเร็งในร่างกายเรายังมีแต่ตอนนี้เค้าสงบอยู่ ยอมรับว่าเค้าอยู่กับเรานะ ดังนั้นเราต้องดูแลตัวเองให้ดีอยู่ตลอด กินอาหารดี ๆ (ส่วนตัวเราลดเนื้อแดง เน้นกินปลา ไก่ ไข่, ปลูกผักกินเอง, เน้นอาหารปรุงสุก สะอาด) ออกกำลังกายให้หัวใจได้ทำงานอยู่เสมอ พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ แล้วอะไรที่จะเป็นตัวช่วยเราเพิ่มเติม เช่น เบต้ากลูแคน ที่เราทานตั้งแต่ตอนรักษา ตอนนี้ก็ยังทานต่อเนื่อง เพื่อให้ภูมิคุ้มกันเราแข็งแรง ออกไปโดนแดดบ้าง และทุกอย่างต้องอยู่บนพื้นฐานของความไม่เครียด ไม่กดดันตัวเองมากเกินไปด้วยค่ะ
สุดท้าย อาจจะฝากถึงคนที่ดูแลผู้ป่วยมะเร็ง หรือมีคนรู้จัก คนใกล้ตัวเป็นมะเร็งค่ะ อย่าไปกดดันคนป่วยค่ะ คนที่กำลังป่วย กำลังรักษาตัวอยู่เค้าเครียดพอแล้ว ทำเหมือนเค้าเป็นคนปกติได้เลย เพียงแค่อยู่ข้าง ๆ คอยรับฟังกัน หรือแค่ถามว่า เป็นยังไงบ้าง มีอะไรอยากเล่าบอกได้นะ มีอะไรให้ช่วยบอกได้เลย แค่นี้ก็ดีมาก ๆ แล้วค่ะ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านจนจบนะคะ หวังว่าประสบการณ์ที่เราเอามาเล่าในนี้ จะเป็นประโยชน์ให้กับคนที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้นะคะ ในส่วนของใครที่กำลังรักษามะเร็งอยู่ ยังไงเราเป็นกำลังใจนะคะ อย่าไปเครียด อย่าไปกดดันตัวเองมากเกินไป ทำตามคุณหมอ และดูแลสุขภาพโดยรวมให้ดี เราเชื่อว่าจะผ่านไปได้แน่นอนค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่