หายไปเสียนาน ไม่ทราบว่าลืมกันหรือยัง มีเรื่องมาเล่าให้ฟังค่ะ
อาทิตย์ที่แล้วทั้งอาทิตย์ฉันต้องเข้ารับการตรวจร่างกายหลายอย่าง ทำทีซีสแกน แมมโมแกรม เอ็กโค่หัวใจ เอ็กซเรปอด
ตรวจการทำงานของตับ ตรวจคลื่นหัวใจไฟฟ้า และถูกเจาะเลือดอีก 7 หลอดในวันเดียว เนื่องจากครั้งนี้เป็นอาทิตย์สุดท้าย
ของการเข้าโครงการ (ครบ 3 ปีแล้ว) ซึ่งฉันต้องทำการตรวจเช็ดร่างกายอย่างละเอียดตามโปรแกรมที่โครงการกำหนด
เพื่อเก็บข้อมูลผลการรักษาก่อนจบโครงการ
ขอเล่ากึ่งระบายหน่อยนะคะ ฉันวาดฝันไว้เมื่อตอนที่ต้องเข้าห้องผ่าตัดโดยรมยาเพื่อซ่อมแผลครั้งใหญ่(18 ก.พ.56) อาจารย์
หมอได้ทำการมัดอย่างแน่นหนา และได้ตรวจดูแผลผลงานของท่านหลังตัดไหม(27 มี.ค.) ท่านว่าแผลดีคราวนี้รับรอง
ไม่แยกแน่นอน และนัดอีกที พ.ค.57 (ท่านไปศึกษาต่อต่างประเทศ เม.ย.56 – เม.ย.57) ท่านบอกให้ฉันดูแลทำความสะอาด
แผลด้วยน้ำเกลือและซับให้แห้งเอง จนกว่าสะเก็ดแผลจะหลุดไปเองห้ามแกะ สามีและลูกดีใจบอกว่าถ้าแผลฉันหายดีคราวนี้
เราจะไปเที่ยวไกลๆ กันซัก 10 วัน
ฉันทำตามที่อาจารย์บอกทุกวัน จนวันที่ 2 ส.ค. เกิดมีจุดขาวๆ เล็กๆ ที่สะเก็ดแผล ฉันรีบไปหาหมอที่ รพ.ประจำจังหวัด
หมอให้ยาฆ่าเชื้อมาทาน 7 วัน ยาหมดทานวันที่ 9 ส.ค. แต่จุดขาวที่ว่าได้ขยายจากจุดเล็กๆ จนเป็นรอบสะเก็ดแผลที่มี
ขนาดความยาว 1.5 ซม. ความกว้างเท่าก้านไม่ขีด วันที่ 10 ส.ค. ฉันไปพบหมอที่ รพ.เดิมแต่พบกับหมออีกคน หมอดูแผล
แล้วว่าถามว่าเจ็บหรือปวดหรือเปล่า ฉันบอกว่าไม่ หมอเลยว่า “ดูแล้วไอ้ขาวๆ นี่มันก็ไม่ใช่หนอง และคุณก็ไม่เจ็บหรือปวด
หมอว่าไม่เป็นอะไร ไม่ต้องทำอะไรและไม่ต้องทานยา กลับบ้านได้”
ฉันฟังคำนี้มา 2 ครั้ง ตั้งแต่ฉันพบความผิดปกติด้วยตัวเองทั้ง 2 ครั้ง ซึ่งฉันยังไม่เข็ดกับการบอกว่าไม่เป็นอะไรของหมอ
ฉันไปพบหมอ เพราะฉันยังมีความเชื่อมั่นในวิชาชีพของท่านผู้ได้รับการศึกษามาอย่างดี และคาดหวังว่าท่านเหล่านั้นจะมี
จรรยาบรรณของวิชาชีพ ฉันก็กลับบ้านด้วยความสบายใจเพราะว่าได้ให้ผู้มีความรู้ได้ดูแล้ว
เย็นวันที่ 12 ส.ค. ฉันอาบน้ำเพื่อแต่งตัวไปทำพิธีวันแม่ เมื่อใช้สำลีที่ผ่านการฆ่าเชื้อของ รพ. ซับแผลให้แห้ง ปรากฏว่า
คุณสะเก็ดที่มันคงเบื่อฉันเป็นอย่างมาก ก็ลาจากตัวฉันไปอย่างไม่ใยดี ความรู้สึกเก่าๆ ของฉันกลับมาอีกครั้งคือ คงไม่แคล้ว
ต้องเจ็บตัวด้วยการถูกเย็บแผลอีกครั้งแน่นอน
วันที่ 13 ส.ค. ฉันต้องรีบเข้า กทม.เพื่อพบหมอที่ดูแลฉันต่อจากอาจารย์หมอที่ไปต่างประเทศ ในวันที่ 14 (เนื่องจากทีมหมอ
ที่ฉันรักษาจะออกตรวจทุกวันพุธเท่านั้น) หมอน่ารักมาก ท่านดูแผลแล้วบอกว่าไม่เป็นไรแผลแค่นี้เอง แล้วหมอก็ทำความสะอาด
แผลที่มีขนาดกว้าง 1 ซม ยาว 2 ซม.แล้วปิดแผลด้วยยาตัวใหม่ฉันยังไม่เคยใช้ DUODERM จ่ายเองเบิกไม่ได้ค่ะ (แพง..ขอบอก)
พุธหน้า (21 ส.ค.) มาดูแผลใหม่ โดยให้ 3 วันเปลี่ยนยาแปะแผลครั้ง
ระหว่าง 19 – 23 ส.ค. ซึ่งฉันต้องมาจัดการตรวจร่างกายตามโปรมของโครงการอยู่แล้ว ดังนั้น วันที่ 21 ฉันก็ไปพบคุณหมอ
ท่านเดิมเพื่อดูแผล คราวนี้คุณหมอเปิดแผลแล้วส่ายหน้าค่ะ บอกว่ามันไม่แย่แต่มันก็ไม่ดีขึ้น ว่าแล้วท่านก็บอกว่าให้หมอด้าน
ศัลยกรรมตกแต่งดูแผล
ในใจคิดว่าอะไรอีกละเนี่ย ทำไมมันมีปัญหาไม่สิ้นสุดสักที แต่ไหนๆ แล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องสู้ต่อไป แล้วหมออีกท่านก็มาลูบๆ
คลำๆ แผลฉันแล้วพูดว่า มันก็ไม่เห็นมีอะไรแต่ทำไมแผลมันถึงไม่ติด แล้วหมอก็ไปเรียกอาจารย์ของหมออีกท่านมาดู อาจารย์ดู
แล้วก็ว่าไม่น่าจะมีอะไร แต่เพื่อความแน่ใจขอตัดชิ้นเนื้อไปตรวจอีกครั้ง เพื่อจะเตรียมแนวทางรักษาแผลฉัน หากเป็นเนื้อร้ายอีก
ก็จะได้ผ่าตัดใหม่ทีเดียวไปเลย
วันนั้นไป รพ.คนเดียว เพราะคิดว่าไม่มีอะไร พอได้ฟังอาจารย์หมอพูดเช่นนั้น ใจฉันคิดว่าอาจารย์คงเห็นความผิดปกติแน่ๆ
ฉันอยากจะเป็นลม (ไม่ใช่กลัวการเย็บแผลนะคะ กลัวผลชิ้นเนื้อมากค่ะ) แต่ไม่หรอก ฉันบอกกับตัวเอง ฉันต้องเข้มแข็ง
แล้วหมอก็ฉีดยาชาและตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจ เย็บแผลเสร็จก็ปิดแผลด้วย ALLEVYN AG ADHESIVE (นี่ก็แพง 3 แผ่นเบิกไม่ได้)
ปิดแล้วมัมอยู่ได้ 7 วันไม่ต้องทำแผล แล้วนัดดูแผลและผลชิ้นเนื้อ 28 ส.ค.
ที่หน้าห้องตรวจจะมีป้ายให้ปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด ซึ่งฉันเห็นว่ามันเป็นมารยาทที่ต้องปฏิบัติ เพราะเป็นการรบกวนการตรวจ
ของหมอเป็นอย่างมาก (เห็นหลายคนไม่ยอมปฏิบัติตาม ก็ไม่ทราบว่าอ่านหนังสือไม่ออก หรือว่าไม่ได้อ่านก็ไม่ทราบ) ระหว่าง
ที่เข้ารับการตรวจฉันจึงปิดโทรศัพท์ จนเสร็จสิ้นการตรวจแล้วจึงเปิดเครื่อง
ทันทีที่เปิดเครื่องลูกสาวที่ทำงานใน กทม.โทรหาฉันทันทีถามว่า วันนี้ทำไมฉันตรวจนานจัง มีอะไรหรือเปล่า พอฉันเล่าให้ฟังเขารีบ
ลางานมาหาฉันทันที ให้ฉันรออยู่ที่ รพ. เขาจะมารับฉัน เขาใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 20 นาที พอเจอหน้าฉันก็ทำตาแดงๆ เข้ามากอด
แล้วบอกว่าไม่เป็นไรนะแม่ ฉันบอกเขาไปว่า ไม่เป็นไร แม่ทำใจได้แล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแม่รับมือมันได้ แล้วเราก็กลับห้องพัก
ด้วยความรู้สึกลึกๆ ที่หนักอึ้งกันทุกคน แต่ไม่มีใครพูด
วันนี้ 28 ส.ค.เป็นวันที่ฉันต้องมาพบคุณหมอตามนัด เพื่อฟังผลการตรวจทั้งหลายเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว รวมทั้งของแถมเนื้อเยื่อเมื่อวันที่
21 ส.ค.ด้วย ซึ่งผลการตรวจทุกอย่างออกมาแล้วไม่มีอะไรผิดปกติ
ฉันและครอบครัว พอรู้ผลตรวจเราดีใจมาก ซึ่งก่อนหน้านั้นทุกคนไม่มีใครพูดถึง แต่ฉันรู้ว่าพวกเขารวมทั้งฉันด้วย ก็กังวลกับผลตรวจ
ที่ออกมาเหมือนกัน เพราะคุณ Her2+ เธอร้ายกาจมาก เฮ้ย ! หายห่วงไปเปราะหนึ่ง
คราวนี้ก็ถึงคราวการรักษาแผลของฉันอย่างจริงจังซักทีแล้ว วันนี้หมอตัดไหมที่เย็บ (หมอเย็บแผลเฉพาะส่วนที่ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจเท่านั้น
ไม่ได้เย็บแผลที่เปิดออกก่อนหน้านั้น) แล้วบอกว่า ผลตรวจออกมาไม่ใช้เนื้อร้ายหมอจะเปลี่ยนการรักษาไม่เย็บปิดแผล เพราะเย็บมา
หลายรอบแล้วก็ไม่ยอมติดสักที หมอจะใช้ยาตัวใหม่ปิดปากแผล IODOFLEX ตามด้วย Tegaderm Diamond Film 3 วันเปลี่ยนที
(เป็นเวชภัณฑ์พิเศษเบิกไม่ได้อีกหลายร้อยค่ะ) อีกอาทิตย์ ( 4 ก.ย.56) มาให้หมอดูใหม่ ว่าจะได้ผลดีหรือไม่ ฉันนึกในใจหากฉันไม่มี
เงินจ่ายค่าเวชภัณฑ์เหล่านี้ แผลฉันจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ มันเป็นเงินหลายพันบาทนะคะสำหรับการรักษาแผลเพียง 3 ครั้ง ซึ่งยังไม่
รู้ว่ามันจะได้ผลหรือไม่ ฉันต้องลองกับเวชภัณฑ์ที่แพงนี้ไปอีกกี่ขนาดก็ไม่รู้ (โดยที่ไม่ว่าจะใช้สวัสดิการอะไรก็เบิกไม่ได้) มันทำให้ฉันนึก
ไปถึงผู้มีรายได้น้อยพวกเขาจะเข้าถึงยาเหล่านี้ได้อย่างไร แล้วหมอก็เฉลยความในใจในสิ่งที่ฉันกำลังคิดว่า ปกติหมอไม่ค่อยพบเคส
อย่างของฉันที่เย็บมา 4 ครั้งแล้วยังไม่ติด (นึกในใจ แสดงว่าฉันโชคดีกว่าคนอื่นซินะ)
เป็นอันว่าฉันไม่ต้องกังวลกับคุณมะ และคงต้องยอมรับว่ากรรมเก่าของฉันยังมีอยู่ ถึงทำให้ฉันยังต้องเจ็บตัวต่อไปอีก แต่ไม่เป็นไร
ฉันจะสู้ๆ ต่อไป คิดว่าเรื่องแผลของฉันถือว่าเป็นเรื่องเล็กๆ เมื่อเทียบกับอีกหลายคนที่ฉับพบเจอ (พี่คนหนึ่ง เธอเป็น 1 ใน 5 ของผู้เข้า
โครงการ แม้ว่าจะได้ยาตัวนี้ยับยั้งการกลับมาแล้วก็ตาม ภายใน 6 เดือนมันไปโผล่ที่ตับและกระดูก แต่ในความโชคร้ายที่พี่เขาได้รับ
ก็ยังมีความโชคดีของการได้เข้าโครงการคือ การต้องได้รับการตรวจถี่กว่าผู้ป่วยทั่วไป ทำให้คุณหมอตรวจพบได้เร็ว และรักษาโดยเร็ว
เพราะมีประวัติการรักษาคุณมะมาแล้ว แต่พี่เขาเข้มแข็งมากค่ะ เขาบอกเขาขอสู้ให้ถึงที่สุด ฉันและพี่คนนั้นเราต่างให้กำลังใจซึ่งกัน
และกันให้สู้ต่อไป)
และฉันก็ได้รับข่าวดีจาก รพ.แจ้งว่า เจ้าของโครงการขอติดตามผลการรักษาฉันอีก 2 ปี
ดีใจจัง ที่มีคนคอยดูแล คอยนัด และคอยเตือน ฉันต่อไปอีกตั้ง 2 ปี
วันนี้เป็นวันที่มีแต่ข่าวดีๆ ทุกคนในครอบครัวฉันมีความสุขมาก (ที่ไม่ค่อยดีก็ช่างมัน ฉันจะไม่คิด)
ที่นำเรื่องมาเล่าให้ฟัง ก็เพื่ออยากให้ผู้ที่กำลังรู้สึกท้อหรือหมดกำลังใจ ขอให้ทุกท่านลุกขึ้นมาสู้ๆ นะคะ
ขอส่งกำลังใจและความปราถนาดีให้กับทุกๆ ท่าน
อ่านกระทู้เก่าได้ที่..
http://pantip.com/topic/30610945
ฉันรู้ทันเธอนะคุณมะ (เร็ง) ตอนที่ 9
อาทิตย์ที่แล้วทั้งอาทิตย์ฉันต้องเข้ารับการตรวจร่างกายหลายอย่าง ทำทีซีสแกน แมมโมแกรม เอ็กโค่หัวใจ เอ็กซเรปอด
ตรวจการทำงานของตับ ตรวจคลื่นหัวใจไฟฟ้า และถูกเจาะเลือดอีก 7 หลอดในวันเดียว เนื่องจากครั้งนี้เป็นอาทิตย์สุดท้าย
ของการเข้าโครงการ (ครบ 3 ปีแล้ว) ซึ่งฉันต้องทำการตรวจเช็ดร่างกายอย่างละเอียดตามโปรแกรมที่โครงการกำหนด
เพื่อเก็บข้อมูลผลการรักษาก่อนจบโครงการ
ขอเล่ากึ่งระบายหน่อยนะคะ ฉันวาดฝันไว้เมื่อตอนที่ต้องเข้าห้องผ่าตัดโดยรมยาเพื่อซ่อมแผลครั้งใหญ่(18 ก.พ.56) อาจารย์
หมอได้ทำการมัดอย่างแน่นหนา และได้ตรวจดูแผลผลงานของท่านหลังตัดไหม(27 มี.ค.) ท่านว่าแผลดีคราวนี้รับรอง
ไม่แยกแน่นอน และนัดอีกที พ.ค.57 (ท่านไปศึกษาต่อต่างประเทศ เม.ย.56 – เม.ย.57) ท่านบอกให้ฉันดูแลทำความสะอาด
แผลด้วยน้ำเกลือและซับให้แห้งเอง จนกว่าสะเก็ดแผลจะหลุดไปเองห้ามแกะ สามีและลูกดีใจบอกว่าถ้าแผลฉันหายดีคราวนี้
เราจะไปเที่ยวไกลๆ กันซัก 10 วัน
ฉันทำตามที่อาจารย์บอกทุกวัน จนวันที่ 2 ส.ค. เกิดมีจุดขาวๆ เล็กๆ ที่สะเก็ดแผล ฉันรีบไปหาหมอที่ รพ.ประจำจังหวัด
หมอให้ยาฆ่าเชื้อมาทาน 7 วัน ยาหมดทานวันที่ 9 ส.ค. แต่จุดขาวที่ว่าได้ขยายจากจุดเล็กๆ จนเป็นรอบสะเก็ดแผลที่มี
ขนาดความยาว 1.5 ซม. ความกว้างเท่าก้านไม่ขีด วันที่ 10 ส.ค. ฉันไปพบหมอที่ รพ.เดิมแต่พบกับหมออีกคน หมอดูแผล
แล้วว่าถามว่าเจ็บหรือปวดหรือเปล่า ฉันบอกว่าไม่ หมอเลยว่า “ดูแล้วไอ้ขาวๆ นี่มันก็ไม่ใช่หนอง และคุณก็ไม่เจ็บหรือปวด
หมอว่าไม่เป็นอะไร ไม่ต้องทำอะไรและไม่ต้องทานยา กลับบ้านได้”
ฉันฟังคำนี้มา 2 ครั้ง ตั้งแต่ฉันพบความผิดปกติด้วยตัวเองทั้ง 2 ครั้ง ซึ่งฉันยังไม่เข็ดกับการบอกว่าไม่เป็นอะไรของหมอ
ฉันไปพบหมอ เพราะฉันยังมีความเชื่อมั่นในวิชาชีพของท่านผู้ได้รับการศึกษามาอย่างดี และคาดหวังว่าท่านเหล่านั้นจะมี
จรรยาบรรณของวิชาชีพ ฉันก็กลับบ้านด้วยความสบายใจเพราะว่าได้ให้ผู้มีความรู้ได้ดูแล้ว
เย็นวันที่ 12 ส.ค. ฉันอาบน้ำเพื่อแต่งตัวไปทำพิธีวันแม่ เมื่อใช้สำลีที่ผ่านการฆ่าเชื้อของ รพ. ซับแผลให้แห้ง ปรากฏว่า
คุณสะเก็ดที่มันคงเบื่อฉันเป็นอย่างมาก ก็ลาจากตัวฉันไปอย่างไม่ใยดี ความรู้สึกเก่าๆ ของฉันกลับมาอีกครั้งคือ คงไม่แคล้ว
ต้องเจ็บตัวด้วยการถูกเย็บแผลอีกครั้งแน่นอน
วันที่ 13 ส.ค. ฉันต้องรีบเข้า กทม.เพื่อพบหมอที่ดูแลฉันต่อจากอาจารย์หมอที่ไปต่างประเทศ ในวันที่ 14 (เนื่องจากทีมหมอ
ที่ฉันรักษาจะออกตรวจทุกวันพุธเท่านั้น) หมอน่ารักมาก ท่านดูแผลแล้วบอกว่าไม่เป็นไรแผลแค่นี้เอง แล้วหมอก็ทำความสะอาด
แผลที่มีขนาดกว้าง 1 ซม ยาว 2 ซม.แล้วปิดแผลด้วยยาตัวใหม่ฉันยังไม่เคยใช้ DUODERM จ่ายเองเบิกไม่ได้ค่ะ (แพง..ขอบอก)
พุธหน้า (21 ส.ค.) มาดูแผลใหม่ โดยให้ 3 วันเปลี่ยนยาแปะแผลครั้ง
ระหว่าง 19 – 23 ส.ค. ซึ่งฉันต้องมาจัดการตรวจร่างกายตามโปรมของโครงการอยู่แล้ว ดังนั้น วันที่ 21 ฉันก็ไปพบคุณหมอ
ท่านเดิมเพื่อดูแผล คราวนี้คุณหมอเปิดแผลแล้วส่ายหน้าค่ะ บอกว่ามันไม่แย่แต่มันก็ไม่ดีขึ้น ว่าแล้วท่านก็บอกว่าให้หมอด้าน
ศัลยกรรมตกแต่งดูแผล
ในใจคิดว่าอะไรอีกละเนี่ย ทำไมมันมีปัญหาไม่สิ้นสุดสักที แต่ไหนๆ แล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องสู้ต่อไป แล้วหมออีกท่านก็มาลูบๆ
คลำๆ แผลฉันแล้วพูดว่า มันก็ไม่เห็นมีอะไรแต่ทำไมแผลมันถึงไม่ติด แล้วหมอก็ไปเรียกอาจารย์ของหมออีกท่านมาดู อาจารย์ดู
แล้วก็ว่าไม่น่าจะมีอะไร แต่เพื่อความแน่ใจขอตัดชิ้นเนื้อไปตรวจอีกครั้ง เพื่อจะเตรียมแนวทางรักษาแผลฉัน หากเป็นเนื้อร้ายอีก
ก็จะได้ผ่าตัดใหม่ทีเดียวไปเลย
วันนั้นไป รพ.คนเดียว เพราะคิดว่าไม่มีอะไร พอได้ฟังอาจารย์หมอพูดเช่นนั้น ใจฉันคิดว่าอาจารย์คงเห็นความผิดปกติแน่ๆ
ฉันอยากจะเป็นลม (ไม่ใช่กลัวการเย็บแผลนะคะ กลัวผลชิ้นเนื้อมากค่ะ) แต่ไม่หรอก ฉันบอกกับตัวเอง ฉันต้องเข้มแข็ง
แล้วหมอก็ฉีดยาชาและตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจ เย็บแผลเสร็จก็ปิดแผลด้วย ALLEVYN AG ADHESIVE (นี่ก็แพง 3 แผ่นเบิกไม่ได้)
ปิดแล้วมัมอยู่ได้ 7 วันไม่ต้องทำแผล แล้วนัดดูแผลและผลชิ้นเนื้อ 28 ส.ค.
ที่หน้าห้องตรวจจะมีป้ายให้ปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด ซึ่งฉันเห็นว่ามันเป็นมารยาทที่ต้องปฏิบัติ เพราะเป็นการรบกวนการตรวจ
ของหมอเป็นอย่างมาก (เห็นหลายคนไม่ยอมปฏิบัติตาม ก็ไม่ทราบว่าอ่านหนังสือไม่ออก หรือว่าไม่ได้อ่านก็ไม่ทราบ) ระหว่าง
ที่เข้ารับการตรวจฉันจึงปิดโทรศัพท์ จนเสร็จสิ้นการตรวจแล้วจึงเปิดเครื่อง
ทันทีที่เปิดเครื่องลูกสาวที่ทำงานใน กทม.โทรหาฉันทันทีถามว่า วันนี้ทำไมฉันตรวจนานจัง มีอะไรหรือเปล่า พอฉันเล่าให้ฟังเขารีบ
ลางานมาหาฉันทันที ให้ฉันรออยู่ที่ รพ. เขาจะมารับฉัน เขาใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 20 นาที พอเจอหน้าฉันก็ทำตาแดงๆ เข้ามากอด
แล้วบอกว่าไม่เป็นไรนะแม่ ฉันบอกเขาไปว่า ไม่เป็นไร แม่ทำใจได้แล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแม่รับมือมันได้ แล้วเราก็กลับห้องพัก
ด้วยความรู้สึกลึกๆ ที่หนักอึ้งกันทุกคน แต่ไม่มีใครพูด
วันนี้ 28 ส.ค.เป็นวันที่ฉันต้องมาพบคุณหมอตามนัด เพื่อฟังผลการตรวจทั้งหลายเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว รวมทั้งของแถมเนื้อเยื่อเมื่อวันที่
21 ส.ค.ด้วย ซึ่งผลการตรวจทุกอย่างออกมาแล้วไม่มีอะไรผิดปกติ
ฉันและครอบครัว พอรู้ผลตรวจเราดีใจมาก ซึ่งก่อนหน้านั้นทุกคนไม่มีใครพูดถึง แต่ฉันรู้ว่าพวกเขารวมทั้งฉันด้วย ก็กังวลกับผลตรวจ
ที่ออกมาเหมือนกัน เพราะคุณ Her2+ เธอร้ายกาจมาก เฮ้ย ! หายห่วงไปเปราะหนึ่ง
คราวนี้ก็ถึงคราวการรักษาแผลของฉันอย่างจริงจังซักทีแล้ว วันนี้หมอตัดไหมที่เย็บ (หมอเย็บแผลเฉพาะส่วนที่ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจเท่านั้น
ไม่ได้เย็บแผลที่เปิดออกก่อนหน้านั้น) แล้วบอกว่า ผลตรวจออกมาไม่ใช้เนื้อร้ายหมอจะเปลี่ยนการรักษาไม่เย็บปิดแผล เพราะเย็บมา
หลายรอบแล้วก็ไม่ยอมติดสักที หมอจะใช้ยาตัวใหม่ปิดปากแผล IODOFLEX ตามด้วย Tegaderm Diamond Film 3 วันเปลี่ยนที
(เป็นเวชภัณฑ์พิเศษเบิกไม่ได้อีกหลายร้อยค่ะ) อีกอาทิตย์ ( 4 ก.ย.56) มาให้หมอดูใหม่ ว่าจะได้ผลดีหรือไม่ ฉันนึกในใจหากฉันไม่มี
เงินจ่ายค่าเวชภัณฑ์เหล่านี้ แผลฉันจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ มันเป็นเงินหลายพันบาทนะคะสำหรับการรักษาแผลเพียง 3 ครั้ง ซึ่งยังไม่
รู้ว่ามันจะได้ผลหรือไม่ ฉันต้องลองกับเวชภัณฑ์ที่แพงนี้ไปอีกกี่ขนาดก็ไม่รู้ (โดยที่ไม่ว่าจะใช้สวัสดิการอะไรก็เบิกไม่ได้) มันทำให้ฉันนึก
ไปถึงผู้มีรายได้น้อยพวกเขาจะเข้าถึงยาเหล่านี้ได้อย่างไร แล้วหมอก็เฉลยความในใจในสิ่งที่ฉันกำลังคิดว่า ปกติหมอไม่ค่อยพบเคส
อย่างของฉันที่เย็บมา 4 ครั้งแล้วยังไม่ติด (นึกในใจ แสดงว่าฉันโชคดีกว่าคนอื่นซินะ)
เป็นอันว่าฉันไม่ต้องกังวลกับคุณมะ และคงต้องยอมรับว่ากรรมเก่าของฉันยังมีอยู่ ถึงทำให้ฉันยังต้องเจ็บตัวต่อไปอีก แต่ไม่เป็นไร
ฉันจะสู้ๆ ต่อไป คิดว่าเรื่องแผลของฉันถือว่าเป็นเรื่องเล็กๆ เมื่อเทียบกับอีกหลายคนที่ฉับพบเจอ (พี่คนหนึ่ง เธอเป็น 1 ใน 5 ของผู้เข้า
โครงการ แม้ว่าจะได้ยาตัวนี้ยับยั้งการกลับมาแล้วก็ตาม ภายใน 6 เดือนมันไปโผล่ที่ตับและกระดูก แต่ในความโชคร้ายที่พี่เขาได้รับ
ก็ยังมีความโชคดีของการได้เข้าโครงการคือ การต้องได้รับการตรวจถี่กว่าผู้ป่วยทั่วไป ทำให้คุณหมอตรวจพบได้เร็ว และรักษาโดยเร็ว
เพราะมีประวัติการรักษาคุณมะมาแล้ว แต่พี่เขาเข้มแข็งมากค่ะ เขาบอกเขาขอสู้ให้ถึงที่สุด ฉันและพี่คนนั้นเราต่างให้กำลังใจซึ่งกัน
และกันให้สู้ต่อไป)
และฉันก็ได้รับข่าวดีจาก รพ.แจ้งว่า เจ้าของโครงการขอติดตามผลการรักษาฉันอีก 2 ปี
ดีใจจัง ที่มีคนคอยดูแล คอยนัด และคอยเตือน ฉันต่อไปอีกตั้ง 2 ปี
วันนี้เป็นวันที่มีแต่ข่าวดีๆ ทุกคนในครอบครัวฉันมีความสุขมาก (ที่ไม่ค่อยดีก็ช่างมัน ฉันจะไม่คิด)
ที่นำเรื่องมาเล่าให้ฟัง ก็เพื่ออยากให้ผู้ที่กำลังรู้สึกท้อหรือหมดกำลังใจ ขอให้ทุกท่านลุกขึ้นมาสู้ๆ นะคะ
ขอส่งกำลังใจและความปราถนาดีให้กับทุกๆ ท่าน
อ่านกระทู้เก่าได้ที่..
http://pantip.com/topic/30610945