จัดการกับคนพวกนี้ยังไงดีคะ

กระทู้คำถาม
เกริ่นก่อนว่าเราพึ่งย้ายมาโรงเรียนใหม่ได้ 2 ปี ซึ่งโดยส่วนตัวเราเป็นคนที่ค่อนข้างเข้าสังคมใหญ่ ๆ ได้ยาก ตอนแรกมีกันอยู่ 2 คนกับเพื่อนที่มาจากโรงเรียนเก่า แต่ปัจจุบันก็แยกย้ายกันไปมีสังคมของตัวเองกันแล้ว ก็นอยนิด ๆ แต่ว่าโอเค ปัจจุบันเราก็ไม่มีเพื่อนสนิทเป็นของตัวเองแบบตายตัวเลยค่ะ แบบไปไหนไปกันอะไรแบบนี้ เข้าเรื่องเลย เราขึ้นชั้นใหม่ก็มีเพื่อนจากห้องเดิมมาคนนึง ให้นามสมมติว่าเต่า เรากับเต่าพอสนิทกันอยู่บ้างในห้อง ถ้านอกห้องก็เฉย ๆ ไม่ได้อะไรมาก ช่วงเป็นเพื่อนกันแรก ๆ ก็โอเคเลยค่ะ เราสองคนเข้ากันได้ดีเลยทีเดียว นิสัยเขาก็ค่อนข้างดี แต่หลังจากเริ่มสนิทกัน เขาก็เหมือนเผยสันดานแท้ ๆ ของตัวเองออกมา

1. เอาแต่ใจ
- สั่งเราไม่ให้ไปนู้นนี้กับคนนู้นคนนี้ในห้องเพราะคน ๆ นั้นมาทำอพไรที่ขัดใจตัวเอง อย่างเช่น ไม่ให้แบ่งขนม ( แต่เราต้องแบ่งไปเพื่อให้มันไม่ได้มาก่อกวนอีกรอบ ) , ไม่ให้คุย ( เพราะมันมาแกล้งเต่า ) ซึ่งเราก็ไม่ได้ทำตามเพราะมันไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะทำ แล้วพอเต่าเห็นว่าเราไม่ทำตามก็จะโวยวาย
- ให้ทุกคนเลือกตามที่ตัวเองจะเลือกเพราะอยากให้สิ่งที่ตัเองเลือกชนะโหวต อย่างเช่น เมื่อเทอมที่แล้วจะมีการโหวตเพลงไว้เต้นสำหรับกิจกรรมใหญ่กิจกรรมนึง เต่าโหวต รักข้ามคลอง ส่วนเพื่อนอีกคนในห้องโหวต ดาวมหาลัย เต่าก็บอกเพื่อนในห้องว่าเลือกรีกข้ามคลองทุกคน ทีนี้จะมีเพื่อกลุ่มนึงในห้องไม่เลือกรักข้ามคลอง และพากันโหวตดาวมหาลัยเนื่องจากจะแกล้งเต่าเฉย ๆ แต่พอผลโหวตดาวมหาลัยมันมากกว่ารักข้ามคลอง เต่าเลยร้องไห้ ทุกคนก็พากันเปลี่ยนโหวตเป็นรักข้ามคลองกันเพราะเห็นว่าเต่าร้องไห้

2. เอาเปรียบ เห็นแก่ตัว
- โยนงานให้คนอื่นทำ อย่างเช่น วิชา is จะเป็นวิชาที่ต้องทำกันเป็นกลุ่มใช่ไหมคะ แต่ว่าทั้งกลุ่มก็ทำกันอยู่สองสามคนจากสิบคน เทอมแรกจะทำเป็นไฟล์เวิร์ด ซึ่งเราก็ไม่ได้ทำ แต่จะช่วยหาข้อมูลที่สำคัญ เทอมสองจะเป็นเขียนใบตารางแต่ละบทในกูเกิ้ลฟอร์มในตอนปลายภาคเทอมหนึ่ง อันนี้เราก็ทำกันอยู่ประมาณสองคน ก็คือเรากับเพื่อนอีกคนนึงทำ มีบทนึงที่เต่าช่วยทำแต่ช่วยน้อยมากแทบไม่ต่างอะไรจากการทำคนเดียว อธิบายงานนี้ก่อน จะเป็นการเอาแต่ละคำถามและคำตอบในกูเกิ้ลฟอร์มที่เราทำมาทำเป็นตารางและเขียนสรุปในตาราง ในตารางจะมีหัวข้อและหัวข้อย่อยออกมาแล้วก็เป็นตัวเลขจากหัวข้อย่อยนั้น ๆ ซึ่งค่อนข้างง่ายเลยที่เดียว เพราะแค่ลอกจากในกูเกิ้ลฟอร์ม แต่ส่วนที่ค่อนข้างจะยากขึ้นมานิดหน่อยคือการเขียนสรุปจากในตารางทั้งหมด ซึ่งจะต้องเขียนให้ถูก เว้นวรรคให้ถูก ย่อหน้าให้ถูก มีตัวอย่างก็จริง แต่บางทีก็เผลอทำผิดเหมือนกัน มีแก้อยู่สองสามรอบต่อบทประมาณครั้งสองครั้งก็เริ่มจะสมบูรณ์ททุกบท

3. อีโก้สูง
- ตอนนั้นเต่ากับเพื่อนในกลุ่ม ซึ่งเต่าก็มาขอคำปรึกษาจากเราและก็เล่า ๆ ว่าเหตุการณ์ตอนก่อนทะเลาะกันเป็นยังไงแล้วตอนทะเลาะกันเป็นยังไง เราก็ให้คำปรึกษาไปเยอะมาก ๆ และพิมพ์ยาวมาก ๆ และพิมพ์ยกตัวอย่างการพิมพ์ไปหาอีกฝ่ายให้เหมาะสม แต่เต่าตอบมาแค่ว่า เราไม่รู้จะทำยังไงแล้วอะ ทั้งที่เราพิมพ์ไปละเอียดมาก ๆ ถ้าให้แนบแชตได้ก็จะแนบแล้วจริง ๆ ค่ะ แต่ไม่ได้ ครั้งแรกเราก็พอเออเข้าใจได้อาจจะยังอยู่ในอาการที่แบบวิตกกังวลเพราะค่อนข้างจะรุนแรงและเป็นเวลาที่ใกล้จะนอนแล้วด้วย รอบสองรอบสามเต่าก็ยังพิมพ์แบบเดิม ไม่รู้จะทำยังไงแล้วอะ เราเครียดมากเลย พรุ่งนี้ไม่ไปโรงเรียนดีไหม เราเลยพิมพ์ไปแบบเดิมอีกรอบ โดยบอกว่า ให้ลองทักไปขอโทษแบบให้เขารู้ดีไหมว่าเต่ารู้สึกผิดจริง ๆ และพร้อมจะแก้ไข แต่เต่าบอกว่า แกพิมพ์ให้เราหน่อยได้ไหม จังหวะนี้เราตายเลยแหละค่ะ เลยพิมพ์ไปแบบตรง ๆ แบบไม่อ้อมค้อมไม่สนใจแล้วว่าตอนอ่านจะรู้สึกยังไง เพราะมันเป็นความจริงที่เต่าต้องรับรู้ไว้ โดยประมาณว่า เราไม่ได้ไม่อยากช่วยนะเต่าแต่เราขอพูดวามจริงได้ไหม อย่าโกรธกันเลยนะ เรื่องของแกเองแกต้องคิดเองทำเองให้ได้นะ นี่ไม่ใช่เรื่องของเราด้วยซ้ำแต่เราต้องมานั่งคิดนั่งเครียดว่าจะพิมพ์คำแบบไหนให้แกส่งไปขอโทษเขาดี เราเครียดนะจริง ๆ เต่า ถ้าแกรู้สึกผิดแกก็แค่ทักไปขอโทษและแสดงความรู้สึกผิดและห่วงใยความรู้สึกเขา มันไม่ยากเลยนะเต่า อย่าลืมว่าคนโดนกระทำอย่างเขาก็เสียใจไม่แพ้เต่าอะ อย่าทำตัวเหมือนมีอีโก้สูง เราเข้าใจทั้งแกและเขา แต่แกก็เข้าใจเราหน่อยได้ไหม ความจริงยาวกว่านี้แต่ก็จำไม่ค่อยได้เหมือนกันค่ะ เท่าที่จำได้ประมาณนี้เลย เต่าก็เงียบไปแปปเดียวแล้วก็ส่งข้อความขอโทษที่จะส่งไปให้อีกฝ่ายมาหาเรา แล้วเต่าก็บอกว่า แบบนี้พอได้ไหมอะ คัดลอกแกมา จังหวะนั้นเราก็แบบห้ะยังคัดลอกกูอีกหรอ จากนั้นก็คุยกับเรื่องนี้ยาวอีกหลายนาทีเลยค่ะ สุดท้ายก็กลับมาคืนดีกัน คนที่ยังความรู้สึกติดอยู่ที่เดิมก็กลายเป็นเรา โดยปกติเราเป็นคนชอบรับฟังและให้คำปรึกษาคนอยู่แล้วน่ะค่ะ แต่รอบนี้ดันเจอคนแบบเต่าเราเลยเครียดหนักแล้วก็หงุดหงิดมาก ๆ ด้วย นิสัยเราโดยปกติจะเป็นคนใจร้อนแต่พอเป็นช่วงเวลาที่ต่องรับฟังใครสักคนเราก็จะใจเย็นให้มากขึ้น แต่พอเป็นรอบที่ต้องมาเจอคนแบบเต่าเราเกือบจะเย็นไม่อยู่เลยค่ะ ระเบิดไปแล้วด้วยซ้ำแต่ยังสุภาพอยู่เพราะไม่ได้สนิทกัน 5555555 วันนั้นเป็นวันแรกที่เราเข้าใจว่า ทำไมนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ต้องการคน ๆ นั้นให้ตัวเองเหมือนกัน

4. ขี้วีน
- วีนเรื่องไม่เป็นเรื่อง
- ยังไม่มีใครทำอะไร คน ๆ นั้นแค่เล่น ๆ ด้วยแบบเอนจอย เต่าก็จะวี้ดใส่

โดยรวม ๆ จะเป็นประมาณนี้เลยค่ะ ซึ่งเราไม่รู้จะแก้ไขปัญหานี้ยังไงเลยจริง ๆ ชีวิตจริงค่อนข้างหนักพอสมควรเลยค่ะ บางทีก็ไม่อยากไปโรงเรียนเลยค่ะ เหนื่อย ที่เราไม่รู้จะแก้ไขยังไงเพราะว่าปัญหาหลัก ๆ ที่จะตามมาถ้าเริ่มที่จะแก้ปัญหานี้จากตัวปัญหาเลยก็คือ ไม่มีที่ยืนในรั้วโรงเรียนนั้น , คนตามด่าหรือแซะ , โดนมองด้วยสายตาเหยียดหยามหรือเกลียดชัง ฯลฯ เพราะเต่าเป็นเพื่อนกับกลุ่มที่ค่อนข้างใหญ่และนิสัยบางคนในกลุ่มก็พอ ๆ กันกับเต่าเลยล่ะ

ที่เรากลัวที่จะแก้ไขปัญหานี้ไม่ใช่ว่ากลัวแพ้หรือว่ากลัวอะไรที่ไม่สมควรกลัว แต่เรากลัวที่จะเกิดปัญหาเหล่านั้น โดยปกติเรามีปัญหาเรื่องการเข้าสังคมใหญ่ ๆ อยู่แล้ว เราก็เลยไม่อยากให้มีปัญหาเพิ่มเข้ามาอีก ซึ่งสิ่งที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์นั้นมาจากนิสัยของตัวบุคคลในกลุ่มนั้นล้วน ๆ เลยค่ะ เนื่องจากเป็นพวกกลุ่มใหญ่และมีแบล็คหนุนหลังอยู่ตลอดเวลา แถมยังเป็นกลุ่มที่รู้จักคนเกือบทั้งโรงเรียน เขาสามารถประจานเราที่ไปยุ่งกับเขาก่อนได้เลย แล้วทัวร์คงจะลงเราหนักมาก ๆ พวกนางเคยประจานคน ๆ นึงในห้องเดียวกันเมื่อชั้นเดิมของปีที่แล้วมา แล้วคนที่โดนประจานก็จมลงดินจริง ๆ เราก็แอบกลัวว่าจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน ไม่อยากกลัวเลยค่ะ แต่เพราะเราเองมีปัญหาทางด้านจิตใจนิดหน่อยแล้วก็ยังไม่เข้มแข็งพอที่จะแก้ไขปัญหาใหญ่ ๆ นั้น เราเลยกัดฟันทนอย่างเดียวเลยค่ะ บางทีตอนโมโหกับนิสัยเสียของเขาก็แอบอยากจะลุกขึ้นมาแล้วชี้หน้าด่าเขาไปให้มันจบ ๆ เหมือนกัน แต่ถ้าทำออกไปจริง ๆ มันจะไม่จบน่ะสิ บางทีเราก็แอบคิดเหมือนกันว่าถ้าเราเผลอทำแบบนั้นไปแล้วเราจะรับผลรับของมันในสิ่งที่เราเผลอทำไปไหวไหม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่